ตอนที่ 121 เรื่องชั่ว ๆ ก็กระจ่างออกมา

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

นางเป็นคนส่งข่าวแก่แม่นางจ้าวตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้มีเรื่องสนุกให้นางดูแก้เบื่อแล้ว!

เมื่อเห็นใบหน้าไร้สีของอีกฝ่าย ซูหวานหว่านก็รู้สึกสบายใจ

“เจ้า…นังคนร้ายกาจ!” ไป๋ซุนชุ่ยกัดฟันกรอด

“ข้าเนี่ยนะร้ายกาจ? เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้คนที่ทำร้ายน้องสาวข้าอยู่อย่างสุขสบายงั้นหรือ!” ซูหวานหว่านยกยิ้ม เด็กสาวเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปรอทั้งคู่บริเวณโขดหินข้าง ๆ

ความเร็วของรถม้าค่อย ๆ ลดช้าลง เมื่อเห็นเกวียนวัวที่ขวางทางรถม้าของพวกเขาอยู่ก็ตะโกนออกมาว่า “ได้โปรดเปิดทางให้ข้าที! บนรถม้าของพวกข้าคือคุณหนูจ้าวซิ่วฉ่ายจากในเมือง”

เมื่อได้ยินว่าบนรถม้าคือแม่นางจ้าว ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้นพลันหน้าซีด และรีบหมุนตัวหันหลัง

คนบังคับรถม้าเองก็รู้สึกลำบากใจเพราะเกวียนเป็นเกวียนที่ทางการจ้างมา! พวกเขาไม่ยอมเปิดทางให้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน!

“เหตุใดพวกเขาถึงยังไม่หลีกทางอีก?” ม่านบนรถม้าถูกเปิดออกโดยหญิงสาว นางสวมเสื้อคลุมยาวสีชมพู กระโปรงสีเขียวอ่อน หญิงสาวผู้นั้นไว้ผมยาวประดับด้วยปิ่นปักผม ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อยทว่าไม่ได้ทำให้ความดูดีของนางลดลง

เมื่อได้ยินเสียงนี้ไป๋ซุนชุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง สตรีบนรถม้าเหลือบมองใบหน้าของเขาพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ไป๋ซุนชุ่ย! เจ้า… เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทั้งยังถูกจับมัดข้อมืออีก! แล้วทำไมร่างกายถึงสกปรกเช่นนี้!”

ใบหน้าของไป๋ซุนชุ่ยพลันเปลี่ยนสี ทันใดไป๋หยวนซูที่อยู่ข้างกันผุดลุกขึ้นยืนเตรียมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่าไป๋ซุนชุ่ยได้ตะโกนออกมา “ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระจากพวกเขา! ซูหวานหว่านกุเรื่องขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของข้า! ซูเสี่ยวเหยี่ยนนางตายของนางเอง! เจ้าอย่ามากล่าวหาข้า นางกำลังบอกว่าข้าเป็นคนลงมือ ข้าจึงโดนจับมัดลากตัวมาแบบนี้ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”

จ้าวซิ่วฉ่ายขมวดคิ้วสงสัยในคำพูดของไปไป๋ซุนชุ่ย นางเริ่มได้กลิ่นเหม็นลอยมาจากเกวียนวัวจึงสั่งให้คนบังคับรถม้านำม้าไปจอดที่อื่นก่อน ทว่าไป๋ซุนชุ่ยคิดว่านางกำลังจะจากไปก็เริ่มตื่นตระหนกและตะโกนออกมาว่า “ซิ่วเอ๋อร์! เจ้าช่วยข้าด้วย!”

“หุบปาก! เจ้ามันคนน่าละอาย! เมื่อคืนพวกเรารู้เรื่องอื้อฉาวที่เจ้าเป็นคนทำหมดแล้ว!” ชายที่ลงมาจากรถม้ามีอายุราว ๆ 40 ปี ท่าทางดูมีภูมิฐาน “ไป๋ซุนชุ่ย! เจ้าทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก!”

ชาวบ้านต่างมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นคนเยอะขึ้นใบหน้าของจ้าวซิ่วฉ่ายพลันเปลี่ยนสี นางหยิบกระดาษออกมาจากแขนเสื้อและพูดออกมาว่า “ไป๋ซุนชุ่ย! นับตั้งแต่วันนี้ข้าขอถอนหมั้นเจ้า! ไม่ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร ตระกูลจ้าวของข้ากับตระกูลไป๋ของเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป!”

“…”

ผู้คนส่งเสียงซุบซิบนินทาและดีใจที่ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่อาของไป๋ซุนชุ่ยพูดเพื่อปกป้องไป๋ซุนชุ่ย

ไม่มีตระกูลจ้าวคอยหนุนหลังแล้ว ตระกูลไป๋ยังจะเหลืออนาคตอันใดอีก!

ไป๋ซุนชุ่ยตกใจนั่งนิ่งราวกับคนเป็นอัมพาต สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อแม่นางจ้าวเห็นว่าเรื่องราวทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้ จ้าวซิ่วฉ่ายจึงรู้สึกว่าเขาไม่มีประโยชน์อะไรกับนางอีกต่อไป นางเดินขึ้นรถม้าและจากไปโดยที่ไม่หวนกลับมา

ไป๋หยวนซูพาไป๋ซุนชุ่ยและคนอื่น ๆ ออกจากหมู่บ้านไป ภายในหมู่บ้านเกิดวุ่นวายไปหมด ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านใกล้เคียงในเวลาไม่ถึงวัน แน่นอนว่าชื่อเสียงของตระกูลไป๋นั้นเสียหายหมดสิ้น

ซูหวานหว่านกลับมาที่หมู่บ้านของตนเองอีกครั้ง เด็กสาวจ้างคนจำนวนมากเพื่อออกตามหาร่างของซูเสี่ยวเหยี่ยน ทว่าก็ยังไม่พบร่างผู้เป็นน้องสาว จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะต้องยอมแพ้และปล่อยวาง ซูหวานหว่านรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก จนนางต้องอาศัยการคิดเรื่องเพาะปลูกแทนเรื่องนี้ก่อน

ต้นพริกในมิติฟาร์มโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมาะแก่การขุดต้นกล้ามันออกมาเพาะปลูกข้างนอก ทว่าซูหวานหว่านไม่มีที่ดินอื่นเลยนอกจากที่บ้าน เพราะราคาที่ดินนั้นแพงเกินกว่าที่นางจะซื้อได้และยังต้องจ่ายภาษีสูง เด็กสาวพยายามขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรู้ตัวว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะหาเช่าที่ดินเพาะปลูก สู้รับซื้อวัตถุดิบน่าจะดีกว่า

เมื่อคิดได้แบบนี้ซูหวานหว่านก็ได้ไปพูดคุยเรื่องนี้กับผู้เป็นพ่อ ซึ่งซูต้าเฉียงเองก็เห็นด้วยกับความคิดของลูกสาวจึงไปบอกเล่าเรื่องนี้ให้กับสหายสนิทของตัวเองในหมู่บ้านอื่นอย่างดีใจ

ซูต้าเฉียงไม่สามารถเก็บเรื่องบางอย่างเอาไว้ได้ แม้ว่าเขาจะบอกสหายของตนไปคนเดียว หากมีผู้อื่นเอ่ยถาม มีหรือที่เขาจะไม่ยอมพูดออกมา

เมื่อเขากลับมาที่หมู่บ้านของตน ก็พบว่ามีคนประมาณ 20-30 คนมารวมตัวกันที่หมู่บ้านของเขาแล้ว

นางยังไม่เริ่มลงมืออะไรเลย! เหตุใดถึงมีคนมากมายเช่นนี้! ซูหวานหว่านรู้สึกปวดหัวขึ้นมาและนางจึงเอ่ยปากเล่าความคิดของตนเองให้กับทุกคนได้รับรู้ มีหลายคนที่ไม่เชื่อคำพูดเด็กสาว “เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการปลูกต้นพริกงั้นหรือ? พวกเราไม่เคยปลูกมันมาก่อน หากปลูกไม่ขึ้นจะทำอย่างไร?”

“พวกท่านทุกคนโปรดวางใจ พวกท่านแค่มีที่ดินในการปลูก พวกท่านก็ย่อมสามารถซื้อต้นพริกและนำไปปลูกได้ อีกทั้งข้าจะแนะนำวิธีการปลูกพริก เมื่อพริกเหล่านั้นโตขึ้น ข้าจะรับซื้อผลผลิตจากพวกท่านทุกคน แต่ว่าท่านจะต้องซื้อต้นกล้าพริกไป 1 ชั่ง ในราคา 8 เหรียญ พวกท่านคิดว่าอย่างไร?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนต่างตกใจ “8 เหรียญสามารถซื้อเนื้อได้เลยนะ!”

“อีกทั้งยังสามารถซื้อบะหมี่ดี ๆ ได้ตั้งสามก้อน!”

“…”

แน่นอนว่ามันมีราคาค่อนข้างสูง ทว่าทุกอย่างนางได้เตรียมเอาไว้แล้ว

ซูหวานหว่านพูดออกมาอีกครั้งว่า “ตอนแรกข้าจะให้เงินพวกท่านไป 8 เหรียญก่อน หากใครปลูกต้นพริกได้ผลผลิตที่ดี ๆ ข้าก็จะรับซื้อมันเอง”

เช่นนี้คงไม่มีใครมีข้อกังขาในการปลูกต้นพริกแล้ว ซูหวานหว่านแนะนำพริกที่กำลังเป็นที่นิยมในเมืองให้แก่ชาวบ้านทุกคน เมื่อได้ยินดังนั้นพวกเขาต่างก็ตกตะลึง

ชาวบ้านหลายคนคิดว่าวิธีการปลูกพริกของซูหวานหว่านนั้นเป็นวิธีที่ดี ทว่าก็มีบางคนคิดว่าซูหวานหว่านทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์แก่พวกเขา

เสียงผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาว่า “ทุกคน อย่าไปเชื่อคำพูดของซูหวานหว่าน! หากพวกเราทำตามที่นางบอกแล้ว ต่อไปพวกเราจะไม่มีที่ดินเอาไว้ปลูกข้าวกินเองอีก!”

ซูหวานหว่านมองหาต้นตอเสียงว่าชายผู้นั้นเป็นใคร พร้อมกับครุ่นคิดขึ้นมาภายในใจ นางรู้สึกว่าชายคนนี้น่าจะเป็นสามีของป้าหลี่

เขาไม่ใช่ฮวงต้าถงนักพนันผู้เป็นสามีของป้าหลี่งั้นหรือ? เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้? เด็กสาวพยายามคิดคำพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ก่อกวน ทว่าเขายังพูดขึ้นมาว่า “เมื่อพวกเราไม่มีอาหาร ถึงจะปลูกพริกแล้วได้เงินมาแต่เราก็ยังต้องใช้เงินซื้อข้าว! อีกทั้งยังต้องเข้าไปซื้อในเมืองเอง แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว! สู้ปลูกเอาไว้กินเองไม่ดีกว่าหรือ!”

เมื่อชาวบ้านได้ยินแบบนี้พากันคิดตามคำพูดของชายผู้นั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงหลายคนที่คิดได้แบบนี้จึงไม่ต้องการฟังคำพูดของซูหวานหว่านอีกต่อไป และเดินหนีออกมา ตอนนี้ผู้คนบริเวณหน้าบ้านของนางเหลืออยู่ประมาณ 10 คนเท่านั้น แต่ฮวงต้าถงยังไม่เดินออกไปไหน “ซูหวานหว่าน! แม้ว่าเจ้าจะมีจิตใจที่ไม่ดี แต่ข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้ หากเจ้าจะให้เงินเพิ่มขึ้นมากกว่านี้เล่า?”

ที่แท้ก็เรื่องเงิน!

ไล่ให้คนอื่นออกไปเพื่อให้คนน้อยลงงั้นหรือ? คิดว่านางจะตกใจและเพิ่มเงินอย่างงั้นเหรอ?

ฝันต่อไปเถอะ!

ซูหวานหว่านกลอกตาไปมาและพูดว่า “อันที่จริง ข้าได้ทำสัญญาเอาไว้กับหมู่บ้านอื่นแล้ว แต่ข้าให้เงินหมู่บ้านอื่นไปเพียงแค่ 6 เหรียญเท่านั้น! หมู่บ้านของเราข้าให้มากกว่าเป็น 8 เหรียญ! พวกเจ้าอย่าพูดไปล่ะ”

เมื่อชาวบ้านได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกว่าคำพูดของฮวงต้าถงก่อนหน้านี้ไม่มีผลอะไรต่อนาง แน่นอนว่าพวกธัญพืชเหล่านั้นมีราคาถูก และจำนวนเงินขนาดนี้พวกเขาสามารถซื้อข้าวกินได้มากกว่าที่จะลงแรงปลูกธัญพืชเอาไว้กินเองด้วยซ้ำ!

เมื่อเห็นชาวบ้านกำลังโอนเอนคล้อยตามคำพูดของซูหวานหว่าน เขาก็รู้สึกว่าเป้าหมายของตัวเองยังไม่สำเร็จ ชายวัยกลางคนได้พูดขึ้นมาอีกว่า “ซูหวานหว่าน! หากเจ้าคิดถึงพวกชาวบ้านของเราจริง ๆ เจ้าควรจะแจกจ่ายต้นกล้าพริกให้พวกเขา! และบอกวิธีการปลูกพริกด้วย! อีกอย่างหากพวกเราขายพริกให้กับเจ้า แล้วเจ้านำไปขายให้คนอื่นต่อ เราก็ไม่รู้ด้วยว่าถ้าเจ้าขายให้พ่อค้าคนกลาง มันจะมีราคาต่างกันขนาดไหน! สู้เราเอาไปขายเองไม่ดีกว่าหรือ!”

บุคคลนี้ช่างไม่ยอมแพ้จริง ๆ!

ซูหวานหว่านยิ้มเย็นชา “ตอนนี้ข้าแค่แนะนำและขอความร่วมมือกับพวกเจ้าเท่านั้น หากพวกเจ้าไม่เชื่อใจข้า เจ้าสามารถไปซื้อต้นกล้าพริกในตลาด มาปลูกและขายเองได้ ข้าก็แค่พยายามทำในส่วนของข้าอย่างดีที่สุด ซึ่งหากพวกเจ้าเชื่อใจข้า เจ้าสามารถเอาที่ดินหนึ่งแปลงมาพูดคุยกับข้าเรื่องสัญญาและการร่วมมือกันทำการค้าได้ แต่ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีก ข้าก็ทำอะไรไม่ได้”

ฮวงต้าถงจ้องไปที่ซูหวานหว่านอย่างโกรธเคือง “อย่าซื้อของนาง!” ฮวงต้าถงเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้วพูดต่อ “ถึงอย่างไรก็มีต้นกล้าพริกที่ตลาดในเมืองขายอยู่แล้วจะซื้อของนางไปทำไม! เราจะเสียเปรียบนางได้! ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ร้านอาหารไท่อันนั้นกำลังรับซื้อพริก 1 ชั่งในราคา 20 เหรียญ!”

เขามาที่นี่เพื่อมาทำการตีตลาดสินะ เขาคิดว่านางจะไม่มีวิธีจัดการและรับมือกับเขาอย่างงั้นเหรอ? ซูหวานหว่านก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา