บทที่ 389 อันตรายจริงๆ!

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คู่มือของหลี่ชิวสุ่ย เคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณสืบทอดกันมาหลาย 1000 ปี กว้างของลึกซึ้งจริงๆ ทั้งยังลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ยิ่งไปกว่านั้นจากคำอธิบายของจางอีเต๋อ พรรควรยุทธโบราณในโลกใบนี้ยังเกี่ยวข้องกับความลับจากโบราณกาลอันห่างไกลจำนวนหนึ่ง การค้นหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาว เนื่องจากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ต่อให้เป็นจักรพรรดิ มีพระองค์ใดที่ไม่อยากมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะบ้าง?

ถูกฝ่ามือสลายกระดูกโจมตีไปสองครั้ง เกรงว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนแรกที่รับฝ่ามือสลายกระดูกตรงๆ ได้ การบ่มเพาะของเขาไม่อาจเทียบหลี่ชิวสุ่ยได้ รวมกับที่ฝ่ามือสลายกระดูกที่หลี่ชิวสุ่ยฝึกฝนมีความโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เย่เทียนเฉินในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้แม้แต่น้อย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลี่ชิวสุ่ยที่เดินบีบเข้ามาทีละก้าว เย่เทียนเฉินทำได้เพียงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นกับตงฟางเมิ่ง ทำการดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย มองท่าทีเหงื่อไหลเต็มหน้าของตงฟางเมิ่ง หากคิดจะทะลวงพลังฝึกฝนส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกให้สำเร็จ เกรงว่ายังต้องการเวลาอีกเล็กน้อย ขอเพียงฝ่ามือเดียว เพียงหลี่ชิวสุ่ยซัดออกมาอีกฝ่ามือเดียวก็ดูเหมือนว่าเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย

“ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมศิษย์น้องเล็กถึงเก็บเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกเอาไว้ในอุโมงค์น้ำแข็งที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งหมื่นปีมิแปรเปลี่ยน เดิมทีเคล็ดวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกก็เป็นเคล็ดวิชาฝึกฝนกำลังภายในที่เหมาะกับเพศหญิง แต่สุดท้ายยังต้องให้ผู้ชายร่วมฝึกฝน สิ่งที่ต้องใช้ก็คือพลังหยางของผู้ชายมาทำให้พลังหยินที่สะสมจากการฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกสงบลง มีเพียงทำแบบนี้ถึงจะสำเร็จส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกได้ แต่ในขั้นตอนนี้ พลังหยางต้องแข็งแกร่งกว่าพลังหยิน หากฝึกฝนร่วมกันโดยไม่ระวัง ทั้งสองก็จะธาตุไฟเข้าแทรก และในอุโมงค์น้ำแข็งแห่งนี้มีประโยชน์ในการช่วยลดทอนความร้อนลง!” ฝ่ามือทั้งสองของหลี่ชิวสุ่ยรวบรวมพลังฝ่ามือสลายกระดูกเอาไว้ บนฝ่ามือทั้งสองปรากฏของบางอย่างที่ดูคล้ายกับโครงกระดูกซึ่งเกิดจากการรวบรวมพลังปราณหยินของฝ่ามือสลายกระดูก ดูแล้วน่าหวาดกลัวและโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง

เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิวสุ่ยเย่เทียนเฉินจึงเพิ่งรู้ตัว คิดไปถึงตอนที่เขาเพิ่งจะแบกตงฟางเมิ่งเข้ามาในอุโมงค์น้ำแข็ง ความเย็นเสียดกระดูกเช่นนั้น ความรู้สึกราวกับว่าแม้แต่โครงกระดูกก็ยังถูกแช่แข็ง น่าหวาดกลัวมากจริงๆ แต่ตอนนี้พวกเขาฝึกฝนวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกร่วมกันอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็งแห่งนี้มาสองวันสองคืนแล้ว แต่กลับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กระทั่งบนร่างก็ไม่มีส่วนใดถูกแช่แข็ง ที่แท้ก็มีสาเหตุมาจากการปะทะกันของพลังภายในจากการฝึกฝนร่วมกันนี่เอง

“ศิษย์น้องเล็ก เธออย่าโทษฉันเลย ในเมื่อเธอไม่ยอมบอกว่าเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกอยู่ที่ไหน ฉันก็ทำได้แค่ฆ่าพวกเธอสองคนก่อนแล้วค่อยๆ ไปหา!” หลี่ชิวสุ่ยพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ถ้าฆ่าพวกเราสองคน เธอก็อย่าหวังจะหาเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกเจอไปชั่วชีวิตเลย…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้า

หลี่ชิวสุ่ยที่เดิมทียกฝ่ามือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งแล้วพลันหยุดลงทันที เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ เคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักแต่ละรุ่นบอกต่อกันด้วยปาก ตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่อยู่แล้ว ส่วนศิษย์น้องเล็กตงฟางเมิ่งก็เป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของพรรคสุสานโบราณ หากฆ่าศิษย์น้องเล็กทิ้ง เป็นไปได้มากว่าจะไม่อาจหาเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกได้อีกจริงๆ

“ทำไม? กลัวขึ้นมาแล้วเหรอ? ถ้ากลัวก็ท่องเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกออกมาซะ แล้วฉันจะเหลือศพสมบูรณ์ให้พวกเธอ เป็นไง?”

ตงฟางเมิ่งค่อยๆ ลดฝ่ามือทั้งสองลง เมื่อเทียบกับการฆ่าศิษย์น้องเล็กตงฟางเมิ่งและเย่เทียนเฉินแล้ว ในใจของเธอเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกมีความสำคัญมากที่สุด ขอเพียงได้คัมภีร์ดรุณีหยกมา ถึงตอนนั้นก็ฝึกฝนไประหว่างทาง และหาผู้ชายมาร่วมฝึกฝนให้สำเร็จ เมื่อถึงตอนนั้นก็ฆ่าผู้ชายที่ร่วมฝึกฝนกับตนทิ้งซะ เดิมทีในโลกของพรรควรยุทธโบราณ เธอก็เป็นยอดฝีมือระดับต้นๆ อยู่แล้ว หากฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกอีก เช่นนั้นก็เกรงว่า ภายในโลกของพรรควรยุทธโบราณนี้ นอกจากเหล่าปรมาจารย์และเจ้าสำนักใหญ่บางสำนักแล้ว คงยากจะมีใครทำอะไรเธอหลี่ชิวสุ่ยได้

“ไสหัวไปด้านโน้นให้พวกเราเดี๋ยวนี้ อย่ารบกวนการฝึกฝนของพวกเรา ไม่งั้นเธอก็อย่าหวังจะได้คัมภีร์ดรุณีหยกไปตลอดกาล!” เย่เทียนเฉินมองหลี่ชิวสุ่ยแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“แก…”

หลี่ชิวสุ่ยโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งนับเป็นอาหารในจานของเธอโดยสิ้นเชิง ตอนนี้หากต้องการฆ่าพวกเขาสองคนก็ง่ายประดุจพลิกฝ่ามือ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดเย่เทียนเฉินจะจับจุดอ่อนของหลี่ชิวสุ่ยได้ ทำให้หลี่ชิวสุ่ยที่เดิมทีกุมอำนาจชี้นำอยู่ในมือและสามารถควบคุมความเป็นความตายของพวกเขาได้ถูกบีบจนพ่ายแพ้ในพริบตา โมโหจนแทบจะมีควันพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ด

ในตอนแรกสุดเย่เทียนเฉินยังไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งตอนที่หลี่ชิวสุ่ยใกล้จะซัดฝ่ามือทั้งสองลงมาเขาถึงได้เข้าใจ หลี่ชิวสุ่ยไม่กล้าฆ่าพวกเขา หรืออย่างน้อยก็ไม่กล้าฆ่าพวกเขาง่ายๆ เนื่องจากในตอนแรกหลี่ชิวสุ่ยมีอำนาจชี้นำอยู่ในมือ ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมและยังมีความสามารถแข็งแกร่งสูงส่ง ต่อให้ตงฟางเมิ่งและตนไม่ได้ถูกพันธนาการเข้าด้วยกันก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิวสุ่ย สามารถพูดได้ว่าแรกเริ่มเดิมทีหลี่ชิวสุ่ยก็สามารถลงมือเต็มที่เพื่อสังหารพวกเขาได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้กลับยังทรมานอยู่นานขนาดนี้ ท่าทางในใจของเธอคงจะรู้สึกกังวล และสิ่งที่ทำให้ปีศาจสาวที่ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตาอย่างหลี่ชิวสุ่ยผู้นี้กังวลได้ คงมีแค่คัมภีร์ดรุณีหยกเท่านั้น

“แกอะไรของเธอ? ไสหัวไปด้านโน้นซะ ไม่งั้นก็ฆ่าพวกเราเลย ยังไงซะพวกเราก็ตกอยู่ในมือเธอแล้ว เพียงแต่คัมภีร์ดรุณีหยกนั้น…” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลี่ชิวสุ่ยอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น

“ฮ่าๆๆๆ นายคิดว่าเพื่อคัมภีร์ดรุณีหยกแล้ว ฉันจะไม่กล้าฆ่าพวกนายรึไง?” หลี่ชิวสุ่ยโกรธจนหัวเราะออกมา มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วเอ่ยถาม

“กล้าฆ่าก็ฆ่าเถอะ แต่เธออย่าได้คิดจะได้รับคัมภีร์ดรุณีหยกอีกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดออกไปตามใจ

หลี่ชิวสุ่ยมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ในใจคิดว่าเจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่เพียงแต่ฝีมือแข็งแกร่ง กล้าปะทะกับฝ่ามือสลายกระดูกตรงๆ แล้วยังฉลาดเหนือผู้คนอีกด้วย ท่าทางศิษย์น้องเล็กจะหาผู้ชายที่ไม่เลวได้คนหนึ่งจริงๆ นี่ทำให้หลี่ชิวสุ่ยยิ่งรู้สึกอิจฉาขึ้นเรื่อยๆ

“วางใจเถอะ ก่อนจะได้คัมภีร์ดรุณีหยกมา ฉันจะไม่ฆ่าพวกเธอหรอก แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทำให้พวกเธอท่องเคล็ดวิชาออกมาไม่ได้…”

ฉัวะ!

คำพูดเพิ่งจะถูกกล่าวออกมาก็มีกระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือขวาของหลี่ชิวสุ่ย แทงลงไปบริเวณเป้ากางเกงของเย่เทียนเฉินในพริบตา ทำให้เย่เทียนเฉินตกใจจนหด “น้องชาย” ไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว หากผู้ชายถูกตอน นับว่าอยู่ไม่สู้ตายจริงๆ อยู่ไปก็ไม่มีความหมายอะไร

“นี่ เธอคิดจะทำอะไร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามไปด้วยความเคร่งเครียดอยู่บ้าง นี่เกี่ยวพันถึงรากฐานของชีวิต เกี่ยวพันถึงเรื่องความสุขทางเพศชั่วชีวิต ไม่อาจล้อเล่นได้ ไม่ว่าใครก็ต้องเครียดทั้งนั้น ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับโลก เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ก็ยังต้องร้อนรน!

“หึ ทำอะไรเหรอ? ไอ้นี่ของนายเพิ่งจะผสานกับศิษย์น้องเล็กของฉัน ได้ลิ้มรสชาติคนงามไปแล้ว คงไม่มีห่วงแล้วล่ะมั้ง?” หลี่ชิวสุ่ยยิ้มอย่างหื่นกระหาย จ้องมองไปยังเป้ากางเกงของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“นี่ เธออย่าทำอะไรมั่วซั่ว ไอ้นี่เทียบกับอย่างอื่นไม่ได้หรอก อีกอย่าง มันยังไม่ได้เล่นกับเธอเลย เธอจะต้องเสียใจแน่!” เย่เทียนเฉินรีบเอ่ยปากพูด

“วางใจเถอะ ในโลกนี้มีผู้ชายมากมาย ไอ้นี่ก็มีมากเหมือนกัน ฉันหาไปมั่วๆ ก็หาได้แล้ว…”

หลี่ชิวสุ่ยไม่เขินอายแม้แต่น้อยและไม่รู้จักอับอายด้วย มองไปยังเป้ากางเกงของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ กระบี่ในมือขวาของเธอชูขึ้นสูง ขอเพียงกระบี่นี้ร่วงลงไป เย่เทียนเฉินก็จะกลายเป็นขันที นั่นเป็นโศกนาฏกรรมจริงๆ

“เห้อ ศิษย์น้องเล็ก เธออย่ามาว่าฉันโหดร้ายเลย หลังจากตอนผู้ชายของเธอแล้ว เธอก็จะมีความสุขของผู้หญิงน้อยลง แต่ไม่เป็นไร เรียนรู้ให้ได้เหมือนกับฉันซะ ผู้ชายในโลกนี้มีมาก หากต้องการก็ไปหามาซักคนก็พอแล้ว!” หลี่ชิวสุ่ยยิ้มราวกับดอกไม้เบ่งบาน พูดด้วยท่าทีหื่นกระหายหาใดเปรียบ

“หน้าไม่อาย…” ตงฟางเมิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป ลืมตาขึ้นมองไปยังหลี่ชิวสุ่ยแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“หน้าไม่อายเหรอ? หน้าไม่อายอะไรกัน ศิษย์น้องเล็กพูดกับศิษย์พี่แบบนี้ ศิษย์พี่รู้สึกเสียใจมากจริงๆ เรื่องของชายหญิงนับเป็นการเสพสุขโดยกำเนิดอยู่แล้ว ตอนนี้เธอเองก็เป็นผู้หญิง เจ้าหมอนี่ดุดันไม่เลว เรื่องแบบนั้นคงแข็งแกร่งมากเหมือนกันสินะ ฉันคิดว่าเธอได้เสพสุขในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่มีอะไรน่าอายหรือไม่น่าอาย คนเราแรกกำเนิดก็จิตใจดีหรือไง!” หลี่ชิวสุ่ยยิ่งพูดก็ยิ่งลามก ยิ่งพูดก็ยิ่งดูไม่น่าไว้ใจ

“อยากฆ่าก็ฆ่าเถอะ ทำไมต้องพูดจาไร้สาระมากมายขนาดนี้ด้วย ท่าทางการที่ท่านอาจารย์ไล่เธอออกจากสำนักเพราะรู้นานแล้วว่าหากเก็บเธอไว้ในพรรคสุสานโบราณ เธอจะทำให้ชื่อเสียงนับ 1000 ปีของพรรคสุสานโบราณต้องพังทลาย!” ตงฟางเมิ่งพูดด้วยท่าทางย่ำแย่

ตอนแรกตงฟางเมิ่งคิดว่าหลี่ชิวสุ่ยเพียงต้องการคัมภีร์ดรุณีหยกเท่านั้น นี่คือเคล็ดวิชาฝึกฝนที่เทียบได้กับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลิน ยั่วยวนผู้คนเป็นอย่างมากจริงๆ ผู้ที่เดินในเส้นทางการบ่มเพาะ มีใครบ้างที่ไม่อยากได้พลังที่แข็งแกร่งที่สุด? ในโลกของพวกเขา เดิมทีก็เป็นโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กอยู่แล้ว หากไม่แข็งแกร่งก็ต้องพบกับอันตรายถึงตายได้ตลอดเวลา

ตอนนี้ตงฟางเมิ่งเพิ่งจะเข้าใจ ศิษย์พี่ใหญ่หลี่ชิวสุ่ยเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปวิปริตขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์และคุณธรรมแม้แต่น้อย ในสายตาของเธอมีเพียงการฆ่าฟันเท่านั้น ขอเพียงมีพลังล้วนนับเป็นจักรพรรดิ กระทั่งทัศนคติพื้นฐานอย่างความอับอายและความเคารพอาจารย์ให้ความสำคัญกับคุณธรรมก็ไม่มีเหลือ เข้าสู่ทางมารลึกล้ำเกินไปจนไม่อาจช่วยเหลือ

“ดี ศิษย์น้องเล็ก ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันยังอยู่ในพรรคสุสานโบราณ ลูกศิษย์ในพรรคคนอื่นๆ มักจะเปรียบเทียบเธอกับฉัน ใบหน้านี้ไม่สวยเท่าศิษย์น้องเล็กจริงๆ แต่วันนี้ฉันอยากจะทำลายมันจริงๆ อยากเห็นมันไม่งดงามจนฉันอยากจะหอมสักครั้งแล้ว!” หลี่ชิวสุ่ยราวกับเสียสติไปแล้วก็มิปาน ระบายความอิจฉาและความไม่พอใจตลอดหลายปีมานี้ออกมาทั้งหมด ในขณะที่พูด กระบี่ในมือก็เลื่อนออกจากตำแหน่งเป้ากางเกงของเย่เทียนเฉินไปชี้หน้าตงฟางเมิ่งแทน

“คนคนหนึ่งมีจิตใจอัปลักษณ์ ต่อให้ใบหน้างดงามแล้วมีประโยชน์อะไร?” ตงฟางเมิ่งพูดอย่างเย็นชา

ฉัวะ!

หลี่ชิวสุ่ยตวัดกระบี่ไปยังใบหน้าของตงฟางเมิ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ในตอนนี้เอง ประกายกระบี่อีกเล่มหนึ่งพลันส่องสว่าง ฟาดฟันไปบริเวณลำคอของหลี่ชิวสุ่ยโดยตรง หลี่ชิวสุ่ยตกใจจนหน้าถอดสี เนื่องจากเธอสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของปราณกระบี่นี้ หากเธอหลบไม่ได้ต้องหัวขาดแน่นอน ถอยไปหลายก้าวโดยไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย ร่างกายโผทะยานออกไป ในขณะเดียวกันก็ตวัดกระบี่ในมือขวามาขวางไว้บริเวณหน้าอก

เคร้ง!

ตู้ม!

ปราณกระบี่อันรุนแรงดุดันฟาดฟันลงไปบนกระบี่ในมือขวาของหลี่ชิวสุ่ย ฟาดฟันกระบี่ในมือหลี่ชิวสุ่ยจนหัก ทำให้หลี่ชิวสุ่ยถูกซัดจนกระเด็นออกไปทั้งร่าง กระแทกเข้ากับกำแพงน้ำแข็งก้อนใหญ่จนแตกกระจายไปหลายก้อน…

…………………….