บทที่ 290 พลังแห่งสรรพชีวิต (2)
ท่าทางทั้งหมดของเขาอยู่ในสายตาของผู้ชม ผู้คนมากมายต่างก็เป็นห่วงเป็นใยเขา
“เกิดอะไรขึ้น ท่าทางเหมือนจะเจ็บปวดมากๆ เลยนะ แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่นา”
ค่ายกลแปดทุกข์มีผลต่อจิตใจ อีกทั้งบุคคลภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นโลกในจิตของสวี่ชีอันได้ จึงไม่ได้รู้สึกเหมือนกันกับเขา
“นี่เพิ่งจะเป็นด่านแรก เขายังเจ็บปวดถึงเพียงนี้ แล้วจะปีนขึ้นเขาต่อได้อย่างไรกัน”
ชาวยุทธ์ผู้หนึ่งได้ยินดังนั้นก็เอ่ยทอดถอนใจ “ระดับแตกต่างกันมากโข การประลองครั้งนี้เกรงว่าคงจะจบลงแล้วล่ะ”
พวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือค่ายกลแปดทุกข์ ในสายตาของพวกเขา เห็นเพียงแค่สวี่ชีอันที่เข้าไปใน ‘ม้วนภาพ’ เพื่อเริ่มปีนขึ้นเขา แต่สุดท้ายยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีสภาพเช่นนี้เสียแล้ว
ช่างน่าผิดหวังนัก
ในซุ้มไม้ที่เหล่าราชนิกุลนั่งอยู่ ยายตัวร้ายกำหมัดแน่น ร่างกายเครียดเขม็ง นางจ้องไปที่สวี่ชีอันโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดที่อยู่ภายในใจ
ฮว๋ายชิ่งถือถ้วยชาเอาไว้ตลอด ไม่เคยวางมันลงเลย
“ท่านแม่ พี่ใหญ่เหมือนจะเจ็บปวดมากเลยนะเจ้าคะ” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยด้วยท่าทางคล้ายจะร้องไห้
อาสะใภ้รีบหันไปหาสามี แต่เมื่อเห็นสีหน้าเขาเหมือนคนจมน้ำก็ไม่กล้าเอ่ยถามอะไร เพียงกล่าวปลอบโยนลูกสาวไปว่า “ไม่เป็นอะไรๆ พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนดีมีอนาคต แม้แต่กบฏหลายหมื่นคนที่อวิ๋นโจวเขาก็ยังไม่กลัว นับประสาอะไรกับลาหัวโล้นพวกนี้กันเล่า”
“ท่านลุง พี่ใหญ่ของข้าเป็นอะไรหรือ” สวี่หลิงอินชี้ขึ้นไปบนฟ้า
“ไม่เป็นอะไร”
น้ำเสียงของเว่ยเยวียนเรียบนิ่ง แต่เส้นเลือดที่หลังมือซึ่งวางอยู่บนพนักแขนกลับปูดขึ้นมา ร่างกายก็เอนตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยัง ‘ม้วนภาพ’ อยู่ตลอด ไม่เคยเบนออกไปไหน
“ค่ายกลแปดทุกข์!”
สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินแค่นเสียงเย็น “ค่ายกลนี้นำมาใช้เพื่อขัดเกลาจิตธรรมของภิกษุระดับสูงในศาสนาพุทธ หากจอมยุทธ์เข้าไปในนั้นแล้วทำลายค่ายกลไม่ได้ จิตใจก็จะแตกสลายกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่หากรอดจากค่ายกลนี้ได้อย่างปลอดภัย ก็หมายความว่าบุคคลนั้นมีลักษณะธรรม เจ้าใช้โอกาสนี้เพื่อจะให้เขาเข้าสู่ศาสนาพุทธสินะ อรหันต์ตู้เอ้อร์ช่างมีแผนการดีนัก ตบหน้าต้าฟ่งของข้าด้วยวิธีการเช่นนี้ ไม่กลัวทหารหลายล้านของต้าฟ่งหรืออย่างไร”
ในฐานะที่เป็นสมุหราชเลขาธิการของต้าฟ่ง เมื่อจักรพรรดิไม่อยู่แถวนี้ หวางเจินเหวินจึงเป็นผู้กล่าววาจาได้
เขามีความรู้กว้างขวางและคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ทางการเมือง เพียงคำพูดสั้นๆ ก็เผยให้เห็นแผนการของอรหันต์ตู้เอ้อร์ได้แล้ว
ไต้ซือตู้เอ้อร์ท่องนามพระพุทธเจ้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะ “การเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ไยจะมิใช่พร”
ตอนนั้นเอง ฉู่หยวนเจิ่นถึงได้รับรู้บทบาทอีกหนึ่งอย่างของค่ายกลแปดทุกข์ และเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหมายเลขหกเหิงหย่วนถึงได้ลังเลใจแบบเมื่อครู่นี้
แผนการของอรหันต์ตู้เอ้อร์นั้นน่ากลัวมากจริงๆ
ด่านแรกคือการวัดลักษณะธรรม หากไม่มีลักษณะธรรม สวี่ชีอันก็จะถูกทำลาย และสำนักพุทธก็จะกลายเป็นผู้ชนะ แต่หากเขามีลักษณะธรรม ต่อไปก็ยังมีอีกหลายด่านที่จะโน้มน้าวเขาเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่าได้ แบบนี้ไม่เพียงสำนักพุทธจะชนะ แต่ยังได้ตบหน้าของต้าฟ่งอย่างแรงด้วย
คนที่ส่งไปประลอง สุดท้ายกลับกลายเป็นศิษย์ของสำนักพุทธ ฝ่ามือนี้ตบได้แรงเหลือเกิน
ในแต่ละซุ้มไม้ เหล่าชนชั้นสูงคนสำคัญต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี สตรีชั้นสูงและคุณหนูสกุลดีทั้งหลายที่เดิมเพียงมาชมดูความครื้นเครงก็เก็บท่าทางสนุกสนานของตนไป ไม่หัวเราะออกมาอีก
ยายตัวร้ายร่างเครียดเกร็งขึ้นมา ดวงตาดอกท้อเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างร้อนใจ “ฮว๋ายชิ่งๆ สมุหราชเลขาธิการกล่าวว่าหากไม่ทำลายค่ายกล เจ้าสุนัขรับใช้ก็จะเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว แต่หากทำลายค่ายกลได้ เจ้าสุนัขรับใช้ก็จะบวชเป็นภิกษุ แบบนี้จะทำเช่นไรดีเล่า”
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว แม้นางจะมีความรู้กว้างขวางเท่าคันรถ แต่ในด้านการฝึกตนนั้นรู้แค่พอจะไปวัดไปวาได้ ดังนั้นสถานการณ์ตรงหน้าจึงเกินขอบเขตความสามารถของนางไปแล้ว
“แล้วเจ้าอยากเป็นตัวไร้ประโยชน์ หรือว่าจะเป็นภิกษุกันล่ะ” ฮว๋ายชิ่งถามกลับ
“ข้า…” ยายตัวร้ายอึกอัก ไม่ได้เอ่ยคำตอบที่อยู่ในใจออกมา
คนที่โมโหนั้นไม่ได้มีแต่ชนชั้นสูงที่อยู่ในซุ้มไม้เท่านั้น แต่ยังมีชาวบ้านที่ดูอยู่รอบๆ ด้วย ในต้าฟ่งแห่งนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงเป็นพวกเย่อหยิ่งเป็นที่สุด เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองที่เป็นศูนย์กลางของราชสำนัก ที่ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนทั่วทั้งอาณาจักร
เป็นเพราะการ ‘ยั่วยุ’ ในช่วงนี้ของจิ้งซือและจิ้งเฉิน ชาวเมืองหลวงจึงมีความโกรธแค้นสุมอกมานานแล้ว วันนี้สำนักโหราจารย์ได้ตอบรับคำท้าประลองของสำนักพุทธ ดังนั้นยังไม่ทันจะถึงรุ่งสาง ที่นี่ก็มีชาวบ้านมามุงดูอยู่เต็มไปหมด
“รังแกกันเกินไปแล้ว ราชสำนักอ่อนแอนัก ถูกพวกศาสนาพุทธขี่อยู่บนหัวตั้งหลายรอบ แต่ยอดฝีมือพวกนั้นกลับไม่ปริปากสักคำ”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่สวี่ชีอันพร้อมกับความตึงเครียดจนแทบจะหายใจไม่ออก
อาสะใภ้พลันได้ยินเสียง ‘ตึง’ ที่แท้สามีที่อยู่ข้างๆ ก็ทำพนักแขนของเก้าอี้หักเสียแล้ว
นางขมวดคิ้วเรียวประณีตแล้วเอ่ยอย่างโมโห “เหตุใดถึงเลือกหนิงเยี่ยนไปประลองล่ะ นี่ นี่เป็นเรื่องดีที่ไหนกัน”
สามีของตนเลี้ยงดูและวางรากฐานให้กับหลานชายมาตลอดยี่สิบปี หากเป็นเช่นที่ใต้เท้าผู้นั้นกล่าวจริงๆ ที่ว่าทำลายค่ายกลไม่ได้ก็จะเป็นตัวไร้ประโยชน์ เช่นนั้นการเลี้ยงดูของสามีก็มิใช่ว่าถูกทำลายให้สูญเปล่าในคราวเดียวหรอกหรือ
แต่หากทำลายค่ายกลได้ก็มิใช่เรื่องดี บ้านสายหลักมีเพียงสวี่หนิงเยี่ยนเป็นต้นกล้าเพียงต้นเดียวแล้ว หากกลายเป็นภิกษุไปล่ะก็…
อาสะใภ้หันกลับมามองลูกชายและลูกสาว สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว สวี่หลิงเยวี่ยกัดริมฝีปาก ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความกังวล
…
“ค่ายกลนี้มีวิธีทำลายสามวิธี”
ท่ามกลางความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกกระชากจิต ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน นั่นคือเสียงของไต้ซือเสินซู
“ไม่ต้องตอบ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับข้า เพียงฟังที่ข้าบอก ค่ายกลนี้นำมาใช้ขัดเกลาจิตใจของผู้ฝึกตนในศาสนาพุทธ ผู้ที่เข้ามาในค่ายกลจะเกิดผลสองประการ คือ จิตใจละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น หรือไม่ก็จิตแตกสลาย ผู้ที่ไม่ใช่คนในศาสนาพุทธ หากสามารถผ่านค่ายกลแปดทุกข์ไปได้ ก็แสดงว่าตนมีลักษณะธรรม”
มิน่าเล่า ข้าถึงได้เกิดความคิดอยากเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่า สำนักพุทธต้องการสังหารจิตใจของข้าชัดๆ… เขาคิดไปพลางทนรับความเจ็บปวดทางจิตอันบิดเบี้ยวไปด้วย
ความคิดของไต้ซือเสินซูดังขึ้นอีกครั้ง “นอกจากวิธีทำลายสองข้อแล้ว ยังมีเหลืออีกหนึ่งวิธีคือ ใช้พลังแห่งสรรพชีวิตทำลายค่ายกล!”
สวี่ชีอันรออยู่พักหนึ่ง ไต้ซือเสินซูก็ไม่พูดอะไรอีก และเขาก็ไม่ได้ตะโกนเรียกไต้ซือเสินซูในใจเพราะความหวาดระแวง
ใช้พลังแห่งสรรพชีวิตทำลายค่ายกล…หมายความว่าอย่างไร ทุกข์ในชีวิตมีแปดประการ ก็เลยต้องอาศัยพลังของสรรพชีวิตมาทำลายมันอย่างนั้นหรือ แต่ข้าจะไปเอาพลังของสรรพชีวิตมาจากไหน? เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่พลังที่จอมยุทธ์ผู้หนึ่งจะมีได้…
วัฏจักรแห่งภพชาติยังคงดำเนินต่อไป ค่ายกลแปดทุกข์ยังคง ‘กัดกร่อน’ จิตของสวี่ชีอัน และที่แย่ก็คือ ความคิดที่อยากจะเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่าก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ‘บุคลิก’ ทั้งสองอย่างเข้าปะทะกันจนทำให้จิตใจของเขายิ่งบิดเบี้ยวเข้าไปใหญ่
นั่นแปลว่าสวี่ชีอันไม่มีลักษณะธรรมจริงๆ แต่หากไม่อาจทำลายค่ายกลได้ เขาก็ได้แต่รอให้จิตแตกสลายเท่านั้น
สวี่ชีอันทบทวนกระบวนท่าทั้งหมดที่ตนมี ดาบเดียวตัดฟ้าดิน กระบี่ใจ สิงโตคำราม วิชาเปลี่ยนลักษณ์ เลี้ยงจิต…หือ?
เลี้ยงจิต?
ฉู่หยวนเจิ่นสอนวิชาเลี้ยงจิตกระบี่ให้แก่เขา โดยใช้อารมณ์ของตนมาเป็นพลังแล้วผสานเข้ากับกระบี่พร้อมเหวี่ยงมันออกไป
อารมณ์ของเขาในตอนนี้ย่ำแย่มากจริงๆ แต่ยังไม่พอให้ทำลายค่ายกลแปดทุกข์ได้…แต่ถ้าคิดอีกมุม เหตุใดข้าต้องใช้อารมณ์ของตัวเองล่ะ
เหตุใดไม่ลองหยิบยืมอารมณ์ของคนอื่นดูล่ะ ใช้อารมณ์ของผู้อื่นเพื่อเลี้ยงจิตกระบี่เสียสิ
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา มันก็ควบคุมไม่ได้อีกแล้ว
เขาหลับตาและใช้วิชาลับที่ฉู่หยวนเจิ่นสอนเพื่อสัมผัสถึงอารมณ์ เพียงแต่ผู้ที่เขาสัมผัสนั้นไม่ใช่ตัวเขาเอง ทว่าเป็นโลกภายนอก
ที่น่าประหลาดใจก็คือ เขากลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของโลกภายนอกได้จริงๆ นั่นเป็นอารมณ์ที่มาจากชาวบ้านที่มุงดูอยู่ในเมืองหลวง…อารมณ์เหล่านี้คือมหาสมุทร พวกมันมีความตึงเครียดและความโกรธาเป็นหลัก
พวกเจ้าก็โกรธเหมือนกันหรือ
เช่นนั้นก็ให้ข้ายืมพลังหน่อยเถอะ
สวี่ชีอันแช่ตัวอยู่ในมหาสมุทรแห่งอารมณ์ แล้วดูดซับความกรุ่นโกรธเหล่านั้น จากนั้นเพลิงโทสะไร้ที่สิ้นสุดและรุนแรงก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจ
ราวกับทะเลคลั่ง ราวกับสายฟ้าร่ำร้อง ราวกับเพลิงแผดเผา
เขาจับฝักดาบโดยไม่รู้ตัว ราวกับต้องการจะชักดาบออกมา
“ไม่พอ ยังไม่พอ…”
…
ภูเขาชิงหยุน สำนักอวิ๋นลู่
รูปปั้นรองปราชญ์เอกพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา ปราณมหาศาลพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
กล่องไม้แดงที่แขวนอยู่เหนือรูปปั้นรองปราชญ์เอกสั่นไหว ไม่รู้ว่ามีอะไรถูกผนึกอยู่ข้างใน มันเหมือนกับจะหลุดออกมาจากกล่องให้ได้
แสงกระจ่างใสกะพริบวาบ เจ้าสำนักจ้าวโส่วปรากฏตัวขึ้นในห้องแล้วจ้องมองไปที่กล่องไม้แดงอย่างประหลาดใจ
จากนั้น แสงใสสามสายก็กะพริบวูบตามมา ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามอย่างพวกหลี่มู่ไป๋มาตรวจสอบสถานการณ์แล้ว
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดรูปปั้นรองปราชญ์เอกถึงมีความเคลื่อนไหวอีกครั้งได้เล่า…”
เสียงของหลี่มู่ไป๋หยุดทันใด เขาจ้องไปยังกล่องไม้แดงอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วเอ่ยตะกุกตะกัก “มัน มันเป็นอะไรไป”
เจ้าสำนักจ้าวโส่วเอ่ยพึมพำ “มีคนสัมผัสพลังแห่งสรรพชีวิต มันฟื้นคืนชีพอีกครั้งแล้ว”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมองไปยังจ้าวโส่วราวกับเห็นคนบ้า
จ้าวโส่วไม่สนใจพวกเขา แต่โค้งคำนับให้ “ขอให้ผู้อาวุโสโปรดสงบลงด้วยเถิด”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน พวกเขาพากันโค้งคำนับตาม “ขอให้ผู้อาวุโสโปรดสงบลงด้วย”
กล่องไม้แดงสั่นไหวเบาลงแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ คืนสู่ความสงบ
…
“เขาจะชักดาบแล้ว!” มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา
ในฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบๆ มีบางคนโล่งใจเพราะในที่สุดสวี่ชีอันก็เคลื่อนไหวบ้างแล้ว ไม่เอาแต่จมอยู่ในความเจ็บปวดอีก สิ่งนี้ทำให้พวกเขาราวกับได้รับยาสงบใจ
เริ่มรับมือได้ก็ถือว่าดีแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดคือการพ่ายแพ้โดยไม่อาจต่อต้านได้ต่างหาก
เว่ยเยวียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง งงงวยกับการกระทำของสวี่ชีอัน
ไม่ใช่แค่เขา แต่ทุกคนที่รู้จักค่ายกลแปดทุกข์ต่างก็ไม่เข้าใจเจตนาของสวี่ชีอัน
ค่ายกลแปดทุกข์ไม่ใช่ศัตรู แล้วการชักดาบมีประโยชน์อะไร
หรือจะชักมาฟันตัวเอง
“ท่านพ่อ เขาจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” คุณหนูหวางเอ่ยถามเสียงเบา
“ทำอะไรไม่ได้หรอก” สมุหราชเลขาธิการส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างสิ้นหวัง “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือเขาควรต่อต้านค่ายกลแปดทุกข์สิ…ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดท่านโหราจารย์ถึงเลือกเขา”
บนหอสูง จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านโหราจารย์ นี่คือคนที่เจ้าเลือกหรือ”
ในสายตาของเขา พฤติกรรมเช่นนี้ของสวี่ชีอันไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่กระโดดกำแพงเลย
“ฝ่าบาท…ไม่รู้สึกถึงอะไรเลยหรือ”
ท่านโหราจารย์มองมาที่เขาด้วยแววตาผิดหวังอย่างไม่ปกปิด
ยายตัวร้ายเอ่ยเสียงดัง “ชักดาบสิ ชักดาบสิ”
นางเพิ่งจะตะโกนเสร็จก็ถูกเฉินเฟยหยุดเอาไว้แล้วเอ่ยตำหนิ “โวยวายเสียงดัง เสียกิริยามารยาท”
“เหตุใดถึงไม่ชักดาบล่ะ รีบชักดาบสิ”
ตอนนี้เอง ชาวบ้านรอบนอกก็มีคนตะโกนขึ้นมา
“ชักดาบ!”
มีคนตะโกนตามทันที
คนที่ตะโกนตามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงตะโกนยิ่งดังขึ้นๆ และสุดท้ายรวมเป็น ‘เสียงชักดาบ’ หนึ่งเดียว
“ชักดาบ ชักดาบ…”
เสียงราวกับคลื่นโหมซัด
…
“ได้พอแล้ว!”
จากนั้น สวี่ชีอันก็ชักดาบออกมา
‘ชิ้ง’…
ในแดนพุทธอันสุขสงบ จู่ๆ ก็มีประกายแสงเจิดจ้าบาดตาพุ่งขึ้นมา ราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านความมืดมิด ราวกับแสงที่ตัดแยกความโกลาหล
ลำแสงสายนี้ที่ปรากฏขึ้นมาไม่ใช่พลังของสวี่ชีอัน แต่เป็นพลังของชาวเมืองหลวงหลายพันหมื่นคน เป็นพลังแห่งเจตจำนงที่รวมกันเป็นหนึ่ง
‘แกรก!’
ศิลาหินที่เขียนว่า ‘แปดทุกข์’ เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว จากนั้นก็แตกสลายไปพร้อมกับเสียง ‘ตึง’
‘ครืน’…
ทั่วทั้งภูเขาพุทธสั่นสะเทือนในทันที ราวกับจะพังทลายลงมาให้ได้
สิ่งที่ดาบเล่มนี้ฟันลงไปคือค่ายกลแปดทุกข์ และพลังของค่ายกลแปดทุกข์นั้นก็มาจากแดนพุทธแห่งนี้
ดังนั้นสิ่งที่ดาบเล่มนี้ฟันลงไปก็คือพลังของแดนพุทธนั่นเอง
‘แกรก!’
เสียงดังคมชัดอีกเสียง ทว่าไม่ได้มาจากภูเขาพุทธ แต่มาจากโลกภายนอก
ไต้ซือตู้เอ้อร์ก้มหน้าลงอย่างประหลาดใจ แล้วก็ได้เห็นรอยร้าวเส้นหนึ่งที่บาตรทองคำ
“บาตรทองร้าวแล้ว บาตรทองร้าวแล้ว”
ยายตัวร้ายกรีดร้องแล้วผุดลุกยืนขึ้น ร้องพลางชี้ไปที่บาตรทองคำ กระโดดโหยงเหยงไม่หยุด
เสียงร้องของหญิงสาวดังก้อง
เมื่อได้ยินเสียงของยายตัวร้าย พวกชนชั้นสูงในซุ้มไม้แต่ละแห่งก็ก้มหน้ามองเป็นอันดับแรก และเห็นว่าบาตรทองคำมีรอยร้าวปรากฏอยู่จริงๆ
“อะไรนะ บาตรทองคำร้าวหรือ”
ชาวบ้านรอบนอกและผู้คนในยุทธภพมองไม่เห็นบาตรทอง หรือไม่ก็มองเห็นไม่ชัด ทันใดนั้นในใจจึงพลันร้อนรน คิดอยากจะไปยืนยันให้มันรู้แล้วรู้รอด
“บาตรทองแตกร้าวจริงๆ หรือ เป็นมันจริงๆ หรือ มองเห็นไม่ชัดเลย”
ชาวยุทธ์สองสามคนที่ยืนอยู่หน้าสุดจิกปลายเท้ายืนเขย่ง แล้วผลักดันคนรอบข้างไม่หยุดเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ดีที่สุด และสุดท้ายก็มองเห็นบาตรทองข้างกายอรหันต์ตู้เอ้อร์แล้ว
เมื่อมองอย่างตั้งใจ จึงเห็นรอยร้าวบนบาตรทองคำชัดเจน
“แตกร้าวจริง บาตรทองแตกร้าวแล้วจริงๆ”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมา เสียงโห่ร้องกึกก้องก็ดังขึ้นราวกับคลื่นลูกแล้วลูกเล่า
“เจ้านักบวชหน้าเหม็น เก่งกาจนักมิใช่หรือ ฮึ คิดว่าชาวต้าฟ่งของเราไม่มีคนสู้ได้อย่างนั้นหรือ”
“รีบไสหัวกลับไปแดนประจิมเลย เมืองหลวงไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาอวดเบ่งได้”
ช่างเป็นความโกลาหลวุ่นวายเสียจริง
พวกชาวเมืองสนใจเพียงพูดจาหยาบคายและความรื่นเริง แต่ความสนใจของชาวยุทธภพนั้นอยู่ที่ตัวสวี่ชีอัน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เมืองหลวงมีคนหนุ่มที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาก่อน
…
ด้านบนสุดของหอดูดาว จักรพรรดิหยวนจิ่งที่มองดูชาวเมืองโห่ร้องกึกก้องก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ไม่เลวนี่!”
เขาเอ่ยชมอย่างพึงพอใจแล้วหันมาเอ่ยถาม “ท่านโหราจารย์ พลังเมื่อครู่คืออะไรหรือ”
สวี่ชีอันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
ท่านโหราจารย์ไม่สนใจเขา
ในซุ้มไม้ คุณหนูหวางเม้มริมฝีปากมองไปยังสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ ท่านมิได้บอกว่าเขาแพ้แน่ๆ หรือเจ้าคะ แล้วก็บอกว่าการจะผ่านค่ายกลแปดทุกข์นั้น มีแต่ต้อง…”
“พอแล้วๆ”
สมุหราชเลขาธิการหวางโบกมือขัดอย่างรีบร้อน “พ่อยอมรับว่ามองผิดไป พอใจหรือยัง”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ท่าทีของเขาก็ไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเลย
เขาดื่มชาด้วยท่าทางผ่อนคล้ายแล้วเอ่ยว่า “เว่ยเยวียนมีแม่ทัพแกร่งกล้าเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว”
ตอนนั้น น้ำเสียงของเขาฟังดูหดหู่เล็กน้อย
ในเขตของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เว่ยเยวียนถอนหายใจเบาๆ แล้วลูบศีรษะน้อยของสวี่หลิงอินก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “ดาบเล่มนี้ฟันได้น่าพึงพอใจนัก ถือว่าทำสำเร็จ แต่หากเปลี่ยนเป็นพวกเจ้า จะทำลายค่ายกลได้ด้วยดาบเดียวหรือไม่”
บรรดาฆ้องทองคำก้มศีรษะด้วยความละอาย
ผู้หลงใหลในวิทยายุทธ์หยางเยี่ยนอดใจเอ่ยถามไม่ได้ “เขาทำได้อย่างไรขอรับ”
เว่ยเยวียนนิ่งงัน ฉับพลันก็ฟื้นคืนกลับมาดังเดิม แต่ก็ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับถือครองไข่มุกแห่งปัญญาไว้ในมือ “รอให้เขาออกมาเสียก่อน เจ้าค่อยไปถามเอาเอง”
‘เว่ยกงรู้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ มิน่าเล่าเขาถึงได้มีท่าทีเฉยเมยเช่นนี้’…เหล่าฆ้องทองคำเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาทันใด
ผู้ที่มีความสุขที่สุดก็คือสวี่ผิงจื้อ เขาแย้มยิ้มอย่างเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ แตกต่างกับท่าทางเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“ไม่เลวเลย” ป้าแก่บ่นพึมพำ
เจ้าลามกนี่เก่งกาจจริงๆ เรื่องนี้นางต้องจดจำเอาไว้
บนหลังคาร้านอาหาร เหิงหย่วนทอดถอนใจ “ดาบนี้ช่างน่าอัศจรรย์ ใต้เท้าสวี่ทำได้อย่างไรกัน”
พูดจบก็หันหน้าไปมองฉู่หยวนเจิ่น แต่กลับพบว่าสีหน้าของหมายเลขสี่นิ่งงันไปแล้ว ปากของเขาเอ่ยพึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร…”
ราวกับเสียสติไปแล้ว
ดาบที่ฟันออกไปเมื่อครู่ของใต้เท้าสวี่ส่งผลอย่างรุนแรงเพียงนี้ต่อหมายเลขสี่ได้อย่างไรกัน
เหิงหย่วนงุนงง
ตอนนี้เอง เสียงของไต้ซือตู้เอ้อร์ก็ดังขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำกึกก้องในโสตประสาทของทุกคน
“ค่ายกลแปดทุกข์เป็นเพียงด่านแรก ด่านที่สองคือค่ายกลระดับเพชร อาตมาเห็นฆ้องเงินผู้นั้นฟันดาบเสร็จ ก็คล้ายจะหมดพลังลงแล้ว ยังจะมีแรงเหลือพอให้ผ่านด่านที่สองอีกหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองไปยัง ‘ม้วนภาพ’ อีกครั้ง
สวี่ชีอันนั่งลงบนบันไดหินพลางหอบหายใจ ใบหน้าซีดเผือด
แม้แต่คนธรรมดาที่ไม่รู้จักการฝึกตนยังมองออกว่าสวี่ชีอันกำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้ตัวว่าตนดีใจเร็วเกินไป ตอนนี้เพิ่งจะผ่านด่านแรก ยังอยู่แค่ตีนเขา ห่างไกลจากยอดเขามากนัก
……………………………………………….