จิ้นอันจวิ้นอ๋องสาวเท้าเข้าประตูท้องพระโรงมา องค์ชายรองเดินเข้ามาต้อนรับด้วยท่าทางดีอกดีใจ

“ท่านพี่ เราไปดูแผนที่ที่อยู่กับเสด็จพ่อกันเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น

ตั้งแต่วันนั้นมาองค์ชายรองก็สนอกสนใจแผนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังหัวไว ฮ่องเต้จึงให้ขุนนางในสำนักประวัติศาสตร์มาสอนเรื่องภูมิศาสตร์ให้แก่เขา ทั้งยังมิได้ต้องการให้เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย ให้เขาได้สนุกสนานเพียงเท่านั้น

จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้ายิ้มๆ

ในฐานะองค์ชายดูแผนที่ได้ ทว่าในฐานะจวิ้นอ๋องเยี่ยงเขาแล้ว ไม่อาจดูแผนที่บ่อยๆ ได้

“เจ้าไปเถอะ แม่ข้าส่งของขวัญปีใหม่มาให้ ข้าต้องไปตรวจดูและจัดการ” เขาแย้มยิ้มบอก

“จริงหรือ ดียิ่ง ท่านพี่รีบไปเถอะ” องค์ชายรองเอ่ยด้วยท่าทางดีใจ

“ข้าจะเลือกของประจำถิ่นสุดพิเศษไว้ให้เจ้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “น้องชายคนเล็กของข้าอายุพอๆ กับเจ้า เขาต้องส่งของเล่นมาให้ข้าแน่ ถึงเวลานั้นข้าจะเอาให้เจ้าเล่น”

องค์ชายรองหน้าแดงด้วยความเบิกบานใจมากยิ่งขึ้น เขาพยักหน้าหงึกหงักด้วยความดีใจเหมือนกับไก่กำลังจิกข้าว

“องค์ชายเรารีบไปกันเถิดพะย่ะค่ะ อย่าให้ฝ่าบาทต้องทรงรอ” ขันทีที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเตือน “ฮองเฮาสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือ”

องค์ชายรองส่งเสียงอ๋อออกมา แล้วโบกมือให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องก่อนจะจากไปด้วยท่าทางมีความสุข

ส่วนทางด้านองค์ชายใหญ่ก็กำลังถูกผลักออกจากประตู

“ท่านแม่ ข้าไม่อยากไป ข้ายังท่องตำราไม่เสร็จเลยพะย่ะค่ะ…” เขาโอดครวญ

กุ้ยเฟยถลึงตาโต

“ท่องตำรารึ มีอะไรให้น่าท่องกัน! ยามนี้เสด็จพ่อเจ้าทรงโปรดสิ่งนี้ เจ้ายังไม่รีบเรียนรู้เอาไว้อีก” นางเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ตั้งใจเล่าเรียน ถามอะไรเจ้าไปก็ตอบไม่ได้เสียทุกครั้ง”

“แต่ข้าไม่ชอบเรียนสิ่งนี้…” องค์ชายใหญ่บอกอย่างน้อยอกน้อยใจ

“พอได้แล้ว ชอบไม่ชอบเรียนอะไรอยู่ได้ จะเรียนอะไรก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องให้เสด็จพ่อเจ้าเห็นว่าเจ้ากำลังเรียนอยู่” กุ้ยเฟยเอ่ยพลางโน้มตัวไปลูบแก้มเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เด็กดี ซื่อเกอร์เชื่อฟังนะลูก รีบไปเสีย”

องค์ชายใหญ่รับคำ เดินตามขันทีออกไปด้วยความไม่เต็มใจ

……

“มีของขวัญจากแม่นางเฉิงหรือไม่”

เฉินตันเหนียงวิ่งตึงตังเข้ามาพร้อมด้วยเสียงตะโกนของเด็กน้อย

พ่อแม่กับบรรดาพี่ๆ ที่อยู่ในห้องต่างนั่งฟังแม่นมพูดกันอยู่ จู่ๆ นางพุ่งเข้ามาจึงขัดบทสนทนานั้นไป

“เสียงดังเอะอะไร้มารยาท” เฉินเซ่าเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

เฉินตันเหนียงรีบก้มหน้าคำนับขอโทษ แม่นางเฉินสิบแปดกวักมือเรียกนางให้มานั่งด้วยกัน เฉินตันเหนียงรีบเข้าไปนั่งกลางวงพี่ๆ ทันที นางมองแม่นมคนนั้นด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก

“แม่นางเฉิงสบายดีหรือไม่ บอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด” นางกระซิบถามอย่างอดไม่อยู่

แม่นางเฉินสิบแปดส่ายหน้าใส่นาง เป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งพูด

“นางจิตใจซึมเศร้า อารมณ์ไม่เบิกบาน คนของตระกูลฉินก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ” ฮูหยินเฉินเอ่ยถามต่อ

แม่นมพยักหน้า

“นอกจากเพราะเรื่องคดีสินเดิมแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นอีกเจ้าค่ะ” นางบอก

“เช่นนั้นก็เพราะเรื่องนี้แล้ว” ฮูหยินเฉินเอ่ย

เฉินเซ่าส่ายหน้า

“นางเป็นคนฟ้องร้องเอง ยังต้องกลัดกลุ้มใจกับเรื่องนี้อีกหรือ” เขาเอ่ยขึ้น

“สุดท้ายนางก็ยังเป็นเพียงหญิงผู้หนึ่ง อีกทั้งยังอายุอานามพอๆ กับแม่นางเฉินสิบแปด” ฮูหยินเฉินเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ไม่ควรกลับไปเลย กลับไปแล้วมีอะไรดีบ้าง”

แล้วมองไปยังแม่นมอีกครั้ง

“นางยังคงปฏิเสธการทาบทามของตระกูลฉินหรือ”

แม่นมพยักหน้า

“แล้วไม่ถูกใจตระกูลอื่นหรือ” ฮูหยินเฉินเอ่ยถาม

“แม่นางเฉิงบอกว่าพักเรื่องการแต่งงานเอาไว้ก่อน ยังไม่คิดตอนนี้เจ้าค่ะ” แม่นมบอก

เวลาเช่นนี้คงไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องแต่งงานอะไรแน่ อีกอย่างตระกูลแบบนั้นจะเป็นการแต่งงานที่ดีอะไรได้ ฮูหยินเฉินพยักหน้าให้แม่นมกลับไปพักผ่อน เฉินเซ่าจึงลุกขึ้นไปห้องหนังสือ บรรยากาศภายในห้องที่เหลือเพียงเหล่าพี่น้องจึงผ่อนคลายลง

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เฉินตันเหนียงลากแม่นางเฉินสิบแปดมาซักถาม

“ไม่มีอะไร แค่แม่นางเฉินเจอเรื่องยุ่งยากเข้า” แม่นางเฉินสิบแปดบอก

“ไม่เป็นไรหรอก แม่นางเฉิงไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว” เฉินตันเหนียงกล่าวพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก

แม่นางเฉินสิบแปดหัวเราะออกมา ดีดหน้าผากอีกฝ่าย

“ไม่เกี่ยวกับว่านางจะกลัวหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ทำให้นางอารมณ์ไม่ดีต่างหาก” นางบอก “เจ้าคิดดูสิ ตอนที่ท่านพ่อท่านแม่สั่งสอนเจ้า เจ้าเบิกบานใจหรือไม่”

เฉินตันเหนียงพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่เบิกบานเลย” นางเอ่ย

ใช่น่ะสิ ถูกสั่งสอนยังไม่เบิกบาน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ญาติก่อเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลฉีกหน้านางเลย

“ก่อนหน้านี้ยังอิจฉาแม่นางเฉิงที่ไม่เกรงไม่กลัวอะไร” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย “ยามนี้มาคิดๆ ดูแล้ว แต่ละคนล้วนมีเรื่องทุกข์ใจเป็นของตัวเอง”

“หากปล่อยวางลงได้ก็จะมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง จะกระจ่างแจ้งแล้วออกจากทุกข์นั้นมาได้” ฮูหยินเฉินเอ่ยขึ้น “บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ จะอิจฉาคนอื่นไปไย สู้มาคิดดูดีกว่าว่าคนคนนั้นได้สูญเสียอะไรไปตั้งเท่าใดแล้วเพื่อสิ่งๆ นั้น”

บรรดาลูกๆ ต่างพยักหน้าค้อมตัวคำนับขอบคุณมารดาที่สั่งสอน

องค์ชายใหญ่ยืนมองแผนที่ที่แขวนไว้ตรงหน้าภายในตำหนัก ได้ยินเสียงเดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อยอยู่ข้างหู เขาเบิกตาโพลง แต่ก็ยังระงับความง่วงงุนเอาไว้ไม่อยู่

จะง่วงไม่ได้ ห้ามง่วง เพราะคราก่อนง่วงจนเผลองีบไปจึงถูกเสด็จพ่อให้คนส่งกลับมา เขาโดนกุ้ยเฟยลงโทษให้ยืนอยู่เสียค่อนวัน

ท่องตำราเถอะ ท่องตำราแล้วจะไม่ง่วง

“…ผู้ไม่รู้ย่อมได้รู้เพิ่ม ผู้อวดรู้ย่อมไร้ความรู้ ผู้กล่าวว่า นักปราชญ์ไม่เคยอวดรู้ ซักถามจึงได้รู้เพิ่ม…”[1]

ท่องคัมภีร์ที่ออกเสียงยากขึ้นมา แต่เขากลับโปรดปรานเป็นที่สุด เขาชอบตำราเหล่านี้ อ่านเอย ท่องเอ่ย ฟังเอย อธิบายเอ่ย ล้วนเป็นเรื่องกล้วยๆ ไม่เหมือนภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์อะไรพวกนั้น เขาฟังแล้วเบื่อหน่ายนัก

ตำราเหล่านี้อาจารย์ต่างชมว่าเขาอ่านได้ดี ท่องก็ไว ซ้ำยังบอกอีกว่าเขาฉลาด พอเห็นผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม

เขาฉลาดที่สุด…

องค์ชายใหญ่แย้มยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่

“องค์ชาย องค์ชายพะย่ะค่ะ”

เสียงเรียกดังขึ้นข้างหู องค์ชายใหญ่ได้สติขึ้นมาในทันใด เขามองขุนนางในสำนักประวัติศาสตร์ที่อยู่ตรงหน้ามองมาทางนี้ด้วยความกระอักกระอ่วน อีกด้านหนึ่ง องค์ชายรองก็กระพริบตาปริบๆ มองมาทางเขาแล้วขยับเข้ามาใกล้ ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรทอดพระเนตรมายังเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นกัน

เกิดอะไรขึ้น

องค์ชายใหญ่พลันตระหนก

“ซื่อเกอร์ แม่น้ำฮวงโหไหลไปทางใด” ฮ่องเต้ตรัสถาม

แม่น้ำฮวงโห…

องค์ชายใหญ่มองแผนที่ เดิมทีเขามองเส้นๆ จุดๆ พวกนั้นที่ใช้แสดงภูเขาลำธารไม่ออกอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ แม่น้ำอยู่ตรงไหน เขาไม่เคยเห็นแม่น้ำฮวงโหจริงๆ มาก่อนว่าลักษณะมันเป็นเช่นไร เส้นๆ จุดๆ พวกนี้บนแผนที่ที่ใช้อธิบายแม่น้ำยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“กี่…”

หางตาเห็นองค์ชายรองแอบทำปากบอกกับเขา

อะไรนะ

เขากำลังจะหันไปมองให้ชัดๆ อย่างอดไม่ได้

“ซื่อเกอร์ เจ้าไม่ชอบก็อย่ามาฟังเลย” ฮ่องเต้ตรัสบอก

องค์ชายใหญ่สีหน้าตกใจยกใหญ่ขึ้นมาทันใด จะไล่เขากลับไปอีกแล้วหรือ กุ้ยเฟยต้องตำหนิเขาเป็นแน่

‘เหตุใดเจ้าโง่เช่นนี้ เหตุใดจึงโง่เขลานัก ลิ่วเกอร์ทำได้ เหตุใดเจ้าทำมิได้ เจ้าสู้อะไรเขามิได้สักอย่าง’

ข้างหูองค์ชายใหญ่มีเสียงกุ้ยเฟยดังขึ้นมา รวมถึงสีหน้ารังเกียจและโมโหนั่นด้วย

เขากัดปากอย่างอดไม่อยู่

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” จู่ๆ องค์ชายรองก็เอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ เมื่อครู่ข้าฟังไม่รู้เรื่องพะย่ะค่ะ ให้ใต้เท้าพูดอีกรอบเถิด”

องค์ชายใหญ่มองสีหน้าเรียบนิ่งของฮ่องเต้ที่ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนั้นเมื่อก่อนเขาได้เห็นมันบ่อยๆ เป็นตอนที่เขาท่องตำราให้เสด็จพ่อฟัง ทว่ายามนี้…

“ฉลาดนัก” ฮ่องเต้ตรัสพลางพยักหน้าให้ขุนนางผู้นั้น “เช่นนั้นก็พูดอีกรอบเถิด”

ขุนนางเอ่ยรับคำแล้วเริ่มอธิบายใหม่อีกครั้ง

องค์ชายใหญ่เห็นองค์ชายรองยิ้มตาหยีให้ตน แต่เขากลับหันไปมองแผนที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ท่านพี่ ท่านพี่”

ฮ่องเต้ไม่มีเวลามากมายมาอยู่กับเหล่าโอรสนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังมองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเพลิดเพลินเท่านั้น ดังนั้นเพียงไม่นานจึงต่างแยกย้ายกันไป องค์ชายใหญ่ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้เพียงเสี้ยวนาที พอออกมาก็รีบสาวเท้าจ้ำไป มีเสียงตะโกนเรียกขององค์ชายรองดังขึ้นตามหลังมา

เขาทำเป็นไม่ได้ยินเดินต่อไปไม่ยอมหยุดฝีเท้า

องค์ชายรองตัวเล็กผอมบางกว่าเขา ไม่นานก็ตามมาทัน

“ท่านพี่ ท่านสอนข้าท่องตำราได้หรือไม่” เขายิ้มตาหยีเอ่ยถาม “สิ่งที่ท่านอาจารย์สอนข้ามา ข้าล้วนจำไม่ได้ พรุ่งนี้อาจารย์จะถามข้าแล้ว”

องค์ชายใหญ่ไม่เอ่ยคำใด เดินต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด องค์ชายรองก็ไม่โกรธ เขายิ้มตาหยีเดินตามหลังไป

ไม่นานก็เดินมาถึงสวนหลวง องค์ชายรองพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงดึงแขนเสื้อองค์ชายใหญ่ไว้

“ท่านพี่ เราไปเด็ดดอกเหมยกันดีหรือไม่ คราก่อนฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงถูกใจอย่างมาก” เขาเอ่ยบอก

องค์ชายใหญ่ส่งเสียงเฮอะออกมากำลังจะสะบัดแขนเสื้อออก ขันทีด้านข้างก็เอ่ยขึ้นว่า

“จริงด้วยพะย่ะค่ะ ดอกเหมยกำลังบานได้ที่ ไปเก็บเสียหน่อยดีกว่า จะได้เอาไปให้ไทเฮากับกุ้ยเฟยขากลับนี้พอดีด้วย” เขาเอ่ยพลางส่งสายตาให้องค์ชายใหญ่

องค์ชายใหญ่ตัวแข็งทื่อ

เรื่องเหล่านี้เป็นของนางกำนัลขันทีที่ต้องทำแท้ๆ ใยต้องให้เขาทำอยู่ได้ กตัญญู กตัญญู ช่างน่าเบื่อสิ้นดี

องค์ชายใหญ่กัดฟันหันหลังเดินไปทางสวนหลวง

องค์ชายรองเดินตามไปด้วยความดีใจ

ณ สวนหลวงมีภูเขาดอกเหมยตั้งอยู่ พวกเขาเดินเลียบแม่น้ำไปตามทางที่มีต้นไม้ดอกไม้น้อยใหญ่เรียงราย เพียงไม่นานก็เห็นดอกเหมยทั้งขาวทั้งแดงแข่งกันเบ่งบานอยู่เต็มภูเขา

เนื่องด้วยองค์ชายใหญ่ร่างกายอวบอ้วน เดินไปได้ไม่นานก็หอบ เขาจึงชี้สั่งเหล่าขันทีให้ปีนไปเด็ดมาจำนวนหนึ่ง ส่วนองค์ชายรองวิ่งไปวิ่งมาระหว่างภูเขากับใต้ต้นไม้ เลือกสรรอยู่ครู่หนึ่ง

“ท่านพี่ดูสิ อันนี้สวยหรือไม่” เขาถือกลับมาให้องค์ชายใหญ่ดูเป็นครั้งคราว

องค์ชายใหญ่นั่งพักอยู่บนหินที่ขันทีถอดเสื้อมาปูรองให้

“ไม่สวย” เขาตอบ

“ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านมาดูอันนี้” องค์ชายรองเอ่ยพลางยื่นมือไปดึงเขา

องค์ชายใหญ่ลุกขึ้นเดินตามไปอย่างจนใจ

นั่นเป็นเหมยแก่กิ่งยาวที่อยู่ข้างก้อนหิน บานยังไม่เต็มที่ สีแดงขาวผสมกลมกลืน องค์ชายใหญ่ที่ไม่ชอบดอกไม้ยังมองแล้วใจเต้น เขานึกไปถึงภาพเหมยภาพหนึ่งในห้องหนังสือของเสด็จพ่อ…

“ข้าจะเอาอันนี้ไปให้เสด็จพ่อ…” องค์ชายรองยิ้มบอกแล้วเดินออกไป

“ข้าจะเอาอันนี้!” องค์ชายใหญ่เอ่ยสาวเท้าเข้าไปพลางยื่นมือผลักองค์ชายรองอย่างแรง

ขันทีที่ติดตามอยู่ข้างๆ เห็นเข้าจึงรีบสาวเท้าเข้าไปเอ่ยขึ้นว่า

“องค์ชายอย่าได้เล่นกันริมหน้าผาพะย่ะค่ะ…”

เพิ่งจะพูดจบก็เห็นองค์ชายรองถูกผลักจนฝีเท้าซวนเซไปหลายก้าว เสียงร้องดังขึ้น เหยียบเข้ากับดินทรายทั้งชื้นทั้งลื่นจึงลื่นลงไป

องค์ชายใหญ่ยื่นมือไปดึงไว้ตามสัญชาตญาณ ตัวเองก็พลางล้มลงไปด้วย โชคดีที่ร่างกายอวบอ้วนจึงมีเรี่ยวแรง ร่างกายครึ่งท่อนของเขาอยู่บนหน้าผาไม่ได้ตกลงไปด้วย

เหล่าขันทีต่างหวีดร้องกันระงม พากันโผเข้ามาดู

“ท่านพี่ ท่านพี่…”

องค์ชายรองที่ถูกองค์ชายใหญ่จับไว้มือหนึ่งทั้งร้องทั้งตะโกน ทั้งร่างแขวนอยู่กลางอากาศ ตกใจจนไม่กล้าขยับ

ท่านพี่ ท่านพี่…

องค์ชายใหญ่มององค์ชายรอง แม้ว่าเขาจะตกใจและอยู่ในสภาพอเนจอนาถ แต่ใบหน้าน้อยๆ นั่นก็ยังคงแดงก่ำเรียกให้คนเอ็นดู…

ทั้งฉลาด…ทั้งรู้จักพูด…เสด็จพ่อชอบเขา…

เหตุใดเจ้าจึงได้โง่เขลานัก! เหตุใดเจ้าจึงสู้เขามิได้ เขาเด็กกว่าเจ้าแท้ๆ!

ล้วนเป็นเพราะอีกฝ่าย…

มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ต้องไปนั่งฟังสิ่งที่ฟังไม่เข้าใจ ไม่ต้องถูกกุ้ยเฟยตำหนิ ไม่ต้องถูกเสด็จพ่อส่ายหน้าไม่ชอบใจ เดิมทีเขาคือคนที่ทุกคนชื่นชมแท้ๆ แต่ยามนี้ไม่มีใครสนใจที่เขาอ่านหนังสือได้แตกฉานกันสักคน ต่างพากันเยาะเย้ยเขาที่โง่มองแผนที่ไม่ออก

ล้วนเป็นเพราะอีกฝ่าย…

หากไม่มีอีกฝ่ายล่ะก็ คนที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานที่สุดก็จะยังเป็นเขา คนที่ท่านอาจารย์เอ่ยชมว่าฉลาดก็จะยังเป็นเขา กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงก็จะไม่บังคับเขาให้ทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบอีก…

แต่นี่เป็นเพียงความคิดชั่ววูบเท่านั้น เหล่าขันทีรอบด้านต่างตะโกนแล้วถลายื่นมือออกไป ทั้งหมดนี้ราวกับค่อยๆ ช้าลงและไกลออกไป องค์ชายใหญ่มององค์ชายรองที่ทั้งร้องทั้งตะโกนแล้วพลันปล่อยมือ

……………………………………

[1] จากคัมภีร์หลักคำสอน《经学理窟》ของนักปราชญ์นามว่าซ่งจางจ้ายในสมัยเป่ยซ่ง