องค์หญิงอันหยางฟังแล้ว กลับมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นอยู่ในใจ ทว่าไม่กล้าเอ่ยถามนางกำนัลอีก นางแอบคิดอยู่เงียบๆ ไม่รู้ว่าใต้เท้าเย่มีภรรยาแล้วหรือยัง หากยังไม่มี… 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้านางก็ยิ่งแดงเรื่อขึ้นแล้ว 

 

 

ครั้นเห็นนางหน้าแดงเรื่อ นางกำนัลเอ่ยปากถามทันทีว่า “องค์หญิง ท่านเป็นอะไร ทำไมหน้าแดงเช่นนี้ เป็นไข้แล้วหรือเปล่าเจ้าคะ” 

 

 

“เปล่า เจ้าไม่ต้องกังวล บางทีอาจเป็นเพราะอากาศร้อนเกินไป!” เป่ยเฉินหลิวอวี่ตอบส่งๆ ไปประโยคหนึ่ง เรื่องนี้ก็ผ่านพ้นไปได้ 

 

 

ตอนนี้นางกำนัลไม่กล้าถามอะไรอีกแล้ว เงยหน้ามองฟ้าทีหนึ่ง ตอนนี้เป็นต้นฤดูร้อน รู้สึกร้อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นนางจึงไม่เอ่ยมากความ 

 

 

… 

 

 

ส่วนบนถนน หลังจากรถม้าของเป่ยเฉินหลิวอวี่จากไป เย่จื่อหนานยังคงอยู่ที่เดิมมองส่งรถม้าจากไปไกล 

 

 

เขาหัวเราะเบาๆ “คุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวงแต่ละคนถูกเลี้ยงมาอย่างพะเน้าพะนอเอาใจ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูผู้นี้ หลังจากรถม้าเสียแล้วยังไม่โมโห ยืนรออยู่ข้างๆ ทั้งยังจิตใจดีงามอีกด้วย!” 

 

 

องครักษ์ด้านหลังทนไม่ไหว ถามขึ้นว่า “ใต้เท้า ท่านยืนมองมาตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว ซ้ำยังยืนชมผู้อื่นอยู่ที่นี่ด้วย ท่านคงไม่ได้ชอบผู้อื่นแล้วหรอกกระมัง” 

 

 

เย่จื่อหนานหันกลับไปมองเขาทีหนึ่ง ยิ้มตอบอย่างเปิดเผย “สตรีดีเพียบพร้อมบุรุษต่างหมายปอง ข้าชอบนางแล้วจะทำไม จะแต่งภรรยาก็ต้องแต่งกับสตรีเช่นนี้ อ่อนโยนมีเมตตา!” 

 

 

องครักษ์ด้านข้างมุมปากกระตุก คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าของเขาที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยข้องแวะกับสตรี ไม่เที่ยวหอนางโลมโรงระบำ ในวันนี้ถึงขนาดยอมรับอย่างเปิดเผยว่าสนใจสตรีนางหนึ่ง ชั่วขณะนี้เขาไม่รู้ว่าสมควรดีใจหรือตกใจดี 

 

 

เขาเขย่งเท้ามองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยกับเย่จื่อหนานว่า “ใต้เท้า ดูจากรถม้าเมื่อครู่คล้ายเป็นรถม้าของเสนาบดี หรือว่าจะเป็นบุตรสาวของท่านเสนา” 

 

 

คราวนี้ใบหน้าเย่จื่อหนานเปลี่ยนไปไม่น่าดูชมยิ่ง 

 

 

อย่างไรเสียคนทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่า เสนาบดีมีธิดาจากภรรยาเอกเพียงคนเดียวนั่นก็คือซือถูเฉียงที่ถูกสังหารแล้ว ธิดาจากภรรยารองได้รับพระราชทานสมรสให้เป็นพระชายาองค์ชายใหญ่  

 

 

เมื่อคิดถึงวิธีการออกมาข้างนอกของคุณหนูผู้นั้นเมื่อครู่ ก็สมควรเป็นคุณหนูจวนเสนาบดี ดูท่าไม่น่าจะเป็นแค่แขกของจวนเสนาบดี เมื่อคิดเช่นนี้ไม่รู้เพราะอะไรในใจของเย่จื่อหนานคล้ายถูกทิ่มแทง 

 

 

นี่หมายความว่าแม่นางคนเมื่อครู่ก็คือว่าที่พระชายาองค์ชายใหญ่ในอนาคตแล้ว? 

 

 

หากไม่ใช่เพราะซือถูเฉียงตายแล้ว ตำแหน่งพระชายาองค์ชายใหญ่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางตกไปอยู่ที่ลูกภรรยารองอย่างแน่นอน ด้วยฐานะของเขาเย่จื่อหนาน คิดตบแต่งลูกภรรยารองจวนเสนาบดีไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ คิดว่าท่านเสนาบดีคงไม่คัดค้าน น่าเสียดาย…ซือถูเฉียงเกิดเรื่องแล้ว ฮองเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้ลูกสาวจากภรรยารองเสนาบดีแต่งกับองค์ชายใหญ่ 

 

 

เมื่อคิดแล้ว เย่จื่อหนานรู้สึกปวดหัวนัก 

 

 

ความรู้สึกแค้นใจที่ไม่ได้พบกันก่อนแต่งงานคงเป็นเช่นนี้แล้วกระมัง ยามนี้นางมีสัญญาหมั้นหมาย ต่างอะไรกับคนแต่งงานแล้วกันเล่า ในโลกนี้ใครจะกล้าแย่งชิงลูกสะใภ้กับราชวงศ์ 

 

 

เห็นสีหน้าไม่น่ามองของเย่จื่อหนาน องครักษ์พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ 

 

 

มุมปากกระตุก รู้สึกว่าผู้เป็นนายช่างน่าสงสารนัก ไม่ง่ายเลยกว่าจะสนใจสตรีสักนางหนึ่ง คนผู้นั้นกลับเป็นว่าที่พระชายาองค์ชาย 

 

 

ไม่แน่อาจเป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดินในอนาคตด้วยซ้ำ 

 

 

เขารีบเอ่ยปากปลอบว่า “ใต้เท้า ทั่วหล้าใช่ไร้บุปผา ไฉนต้องปักใจกับบุปผาเพียงดอกเดียวด้วย! ท่านเพิ่งได้พบแม่นางผู้นั้นแค่ครั้งเดียว ภายหน้าไม่แน่ว่ายังจะมีโอกาสได้พบแม่นางที่ดีพร้อมคนอื่นอีก ถึงเวลานั้นก็คงลืมแม่นางผู้นี้ไปแล้ว” 

 

 

“บางทีก็คงเป็นเช่นนั้น!” 

 

 

เย่จื่อหนานตอบรับอย่างหดหู่ พลิกกายขึ้นม้า กลับจวนด้วยสีหน้าหมองหม่น หากไม่ใช่เพราะเขาไม่หวั่นไหวง่ายๆ เขาคงแต่งงานไปนานแล้ว แม้แต่อนุก็ยังไม่รับเลย 

 

 

…… 

 

 

ตกดึก 

 

 

เยี่ยเม่ยได้รับข่าวแรกที่ไป๋หลี่ซือซิวส่งมาให้ บอกกับนางว่าพวกเขาเลือกสามีให้องค์หญิงอันหยางได้แล้ว ชื่อว่าเย่จื่อหนานเป็นจอหงวนคนใหม่ของปีนี้ ไม่ว่าภายหน้าใครจะเป็นฮ่องเต้ อนาคตของเขานั้นจะกว้างไกลไร้ขอบเขต 

 

 

เพราะว่าคนหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงเป็นทั้งจอหงวนบุ๋นบู๊ ทั้งยังฉลาดเป็นอย่างมาก ยามอยู่ในท้องพระโรงไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่เคยสนใจเรื่องการแย่งชิงอำนาจในราชวงศ์ เพียงคิดทำเพื่อประชาชน ไม่ว่าใครเป็นฮ่องเต้เขาล้วนจงรักภักดี เช่นนั้นต่อให้วันใดวันหนึ่งที่เป่ยเฉินเซี่ยวสละบัลลังก์ เขาก็ไม่มีความคิดจงรักภักดีจนยอมฝังตัวตายไปพร้อมผู้เป็นเจ้านายอย่างแน่นอน 

 

 

นับว่าเหมาะสมกับองค์หญิงอันหยางพอดี  

 

 

หลังจากเยี่ยเม่ยได้รับข่าวก็ให้ส่งไปหาลั่วซิงเฉิง สั่งให้เจ้านี่ไปวังหลวงสักครั้งเพื่อส่งข่าวนี้แก่องค์หญิงอันหยาง  

 

 

ส่วนอีกข่าวก็คือ ต่อให้ครั้งนี้เซี่ยชูมั่วถูกสั่งสอน แต่นางหาได้คิดรามือ ทั้งยังกำลังวางแผนเพื่อลงมือกับเยี่ยเม่ยอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกแปลกใจนัก “ตอบตามตรง ข้าไม่เข้าใจมู่หรงเหยาฉือและเซี่ยชูมั่วสองคนนี้เลย ทำไมถึงได้ดื้อดึง ถึงบอกว่าพวกนางมีจิตใจโหดร้าย แต่ว่าคนทั้งสองก็เหมือนกัน ตั้งแต่ต้นจนจบทำเหมือนว่าไม่มีองค์ชายสี่และอี้อ๋องแล้วชั่วชีวิตนี้จะอยู่ต่อไปไม่ได้ เห็นใครก็พาลขัดตาไปหมด!” 

 

 

อย่างไรเสียก็เป็นพวกจิตใจชั่วร้าย มีข้อด้อยจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ว่าอันที่จริงตั้งแต่แรกจนถึงจุดจบก็เป็นพวกคลั่งรัก ยังพอฝืนว่าเป็นข้อดีได้กระมัง 

 

 

เยี่ยเม่ยกลับไม่แปลกใจเลยสักนิด นางเอ่ยนิ่งๆ ว่า “นั่นก็พิสูจน์ว่า การอบรมสั่งสอนในครอบครัวมีผลกระทบกับลูก พ่อของมู่หรงเหยาฉือตายในสนามรบ มารดาก็ตรอมใจตาย ส่วนเซี่ยชูมั่ว หลังจากมารดา ตายไป เซี่ยฉุนเหวยไม่แต่งงานใหม่ ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ ในสายตาของลูกก็เหมือนรหัสพันธุกรรมสลักฝังอยู่ในนิสัยของลูก ดังนั้นพวกนางเป็นเช่นนี้ ข้าไม่แปลกใจเลย!” 

 

 

คำว่ารหัสพันธุกรรมที่เยี่ยเม่ยพูดถึง ซือหม่าหรุ่ยไม่เข้าใจ 

 

 

นางมักรู้สึกว่าระยะเวลาสี่ปีที่เยี่ยเม่ยหายตัวไป ดูท่าคงไปอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดแล้ว ดังนั้นถึงได้รู้เรื่องที่นางไม่รู้จำนวนมาก 

 

 

แต่ความหมายที่เยี่ยเม่ยต้องการบอก นางฟังเข้าใจ 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยกล่าวว่า “เฮ้อ นิสัยที่พ่อของพวกนางส่งคนถ่ายทอดมาให้ลูกสาว แต่ว่าพวกนางกลับทำเรื่องเลวร้าย นี่…ก็ช่าง…” 

 

 

เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก “เพราะว่าเซี่ยฉุนเหวยยุ่งกับงานราชสำนักและการทหาร ถึงได้ละเลยการอบรมสั่งสอนเซี่ยชูมั่ว ฝ่ายมู่หรงเหยาฉือ หลังจากพ่อแม่นางตายไป ทั้งตระกูลมู่หรงก็เหลือนางอยู่คนเดียว ไม่มีใครอบรมสั่งสอน ทั้งสองคนจะเสียคนก็ไม่แปลก ยามที่ลูกยังเล็กเปรียบเหมือนกระดาษขาว เจ้าเขียนสีอะไรลงไปย่อมเป็นเช่นนั้น ข้าไม่เชื่อว่าคนเราเกิดมามีจิตใจดีงาม ข้าเชื่อว่าคนเกิดมามีจิตใจชั่วร้าย เพราะว่าเด็กทุกคนล้วนเหมือนกันหมด หากไม่ได้รับการชี้แนะที่ดี ก็จะยึดแต่ความต้องการและความคิดของตัวเองเป็นหลัก จึงทำเลวได้ง่าย ดังนั้นพวกนางสองคนก็ถือว่าปกติมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!”  

 

 

ซือหม่าหรุ่ยฟังแล้วรู้สึกตะลึงงัน 

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่านิสัยของมู่หรงเหยาฉือและเซี่ยชูมั่วล้วนมีที่มาที่ไปชัดเจน 

 

 

เห็นท่าทางคล้ายตะลึงของซือหม่าหรุ่ย เยี่ยเม่ยเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “เรื่องราวบนโลก มีเหตุก็ย่อมมีผล ทางพุทธเรียกว่าเวรกรรม!” 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ถึงเข้าใจแล้ว แต่พวกนางสองคนไม่ยอมเลิกราเสียที เช่นนี้ก็หาใช่ทางออก!”  

 

 

เยี่ยเม่ยไม่ใส่ใจ “การกระทำของเซี่ยชูมั่วในครั้งนี้ ข้าทำให้เซี่ยฉุนเหวยรับปากข้าเรื่องหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องนี้จะทำให้ข้าสามารถขับไล่เป่ยเฉินเสียงออกจากกองทัพทหารสองแสนนายได้! ดังนั้น เซี่ยชูมั่วทำเช่นนี้ ในทางกลับกันได้ช่วยให้ข้าสมปรารถนา!”  

 

 

ตอนนี้ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจแล้ว “ดังนั้นเจ้าไปจวนโหวเอง ที่แท้ไม่ได้ไปเพราะเซี่ยชูมั่ว ที่สำคัญคือเพราะเซี่ยฉุนเหวยแล้ว” 

 

 

นับตั้งแต่เซี่ยฉุนเหวยปรากฏตัว เยี่ยเม่ยยื่นข้อเสนออย่างตรงไปตรงมา ซือหม่าหรุ่ยก็เริ่มสงสัยแล้ว 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ถูกต้อง! ดังนั้นหากเซี่ยชูมั่วยังเล่นตุกติกไม่เลิก ข้ายินดีนัก เพราะว่านางก่อเรื่องครั้งหนึ่ง บิดาของนางจะช่วยข้าเรื่องหนึ่งเพื่อปกป้องนางไว้ เซี่ยฉุนเหวยเป็นคนที่เป่ยเฉินเซี่ยวไว้ใจมากเป็นพิเศษ ขอบเขตในการหาผลประโยชน์จากเขาจะช่วยพวกเราได้ไม่น้อยเลย!”  

 

 

คราวนี้ซือหม่าหรุ่ยค่อยนับว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้ เยี่ยเม่ยในวันนี้ทำให้นางตกใจอย่างแท้จริง แม่นางน้อยไร้เดียงสาที่ไม่รู้เรื่องราวในกาลก่อนเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ เสมือนดั่งเหล่าขุนนางที่น่าจับตา คอยวางหมากอยู่ทุกฝีก้าว 

 

 

นี่คงเป็นดังที่เยี่ยเม่ยกล่าวแล้ว เรื่องราวในโลกนี้ มีเหตุย่อมมีผล หากมิใช่เพราะราชสำนักจงเจิ้งล่มสลาย เยี่ยเม่ยก็คงไม่เปลี่ยนไปเช่นนี้ 

 

 

เห็นซือหม่าหรุ่ยมีท่าทางใช้ความคิด เยี่ยเม่ยส่งสายตามองนาง เอ่ยว่า “เจ้าตกใจที่ข้าไวต่อเรื่องในราชสำนัก และการวิเคราะห์นิสัยคนของข้าใช่หรือไม่” 

 

 

ขอเพียงกุมจุดอ่อนของเซี่ยชูมั่วได้ ก็สามารถหาวิธีขับไล่เป่ยเฉินเสียงพ้นจากกองกำลังทหารองครักษ์สองแสนนายในมือนางได้แล้ว ความก้าวหน้าเช่นนี้ ออกจะมากเกินไปหน่อย  

 

 

ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้าและยอมรับตรงไปตรงมา “เยี่ยเม่ย ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว เกรงว่าเจ้าจะฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้มาก!” 

 

 

แววตาเยี่ยเม่ยทอประกายเย็น กลับเอ่ยว่า “พูดถึงเรื่องการวางแผน ข้ายังต้องขอบคุณเป่ยเฉินอี้ หากไม่ใช่เพราะช่วงที่อยู่ชายแดนต้องประลองกับเขา ความสามารถด้านนี้ของข้า คงไม่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้!” 

 

 

สำหรับนางแล้วเป่ยเฉินอี้เป็นทั้งศัตรูและอาจารย์ 

 

 

เยี่ยเม่ยไม่ได้เอ่ยคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงแกมประชดประชัน ความเกลียดชังที่นางมีต่อเป่ยเฉินอี้ไม่ใช่ว่าคำพูดเพียงสองสามคำจะอธิบายได้หมด 

 

 

ครั้นกล่าวถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยพลันเงยหน้าขึ้นมองซือหม่าหรุ่ย ถามว่า “จริงสิ อาหรุ่ย ตอนนั้นเจ้าบอกว่าหลังจากราชสำนักจงเจิ้งล่มสลาย น้องชายของข้าถูกส่งกลับมา แต่ว่า…ถูกฆ่าแล้ว ตอนนั้นเป่ยเฉินอี้ถูกพิษสลบไป ฮ่องเต้ก็คงไม่รั้งอยู่ที่ราชสำนักจงเจิ้งนาน เช่นนั้นน้องชายข้าตายด้วยน้ำมือของใครกันแน่ ทั้งใครเป็นคนสั่งการ” 

 

 

อย่างไรเสียหากเป็นไปตามที่เป่ยเฉินอี้เล่า ตอนที่ฮ่องเต้นำราชโองการของอดีตฮ่องเต้ไป เป่ยเฉินอี้ก็ถูกพิษแล้ว ฮ่องเต้ก็สมควรละเว้นชีวิตของคนราชสำนักจงเจิ้งทั้งหมด แต่คนอื่นๆ รวมถึงนางไม่ทันถูกปล่อยตัว 

 

 

ดังนั้นน้องชายของนางเล่า 

 

 

ตอนที่น้องชายนางกลับมาถึงราชสำนักจงเจิ้ง ทำไมถึงปล่อยตัวเขาไม่ทันด้วยเล่า ต่อให้ยามนั้นเป่ยเฉินอี้สลบไม่ได้สติ ฮ่องเต้ก็น่าจะคิดว่าหากเป่ยเฉินอี้ฟื้นขึ้นมา เหลือชีวิตน้องชายนางเอาไว้สักคนก็นับว่ามีข้อสรุปให้เขา อย่างไรเสียในยามนั้นเป่ยเฉินอี้มีกำลังทหารอยู่ในมือ ฮ่องเต้ไว้ชีวิตน้องชายนาง ก็ไม่เท่ากับว่าไม่ผิดต่อคำพูดทั้งหมด ทั้งยังกันไม่ให้เป่ยเฉินอี้ก่อกบฏอีกด้วย 

 

 

ถึงหลังจากเป่ยเฉินอี้ฟื้นขึ้นมา สองขาและวรยุทธ์ล้วนถูกทำลายแล้ว ฮ่องเต้ไม่ต้องยำเกรงเขาอีก ถอนกำลังทหารกลับมา แต่ว่าช่วงเวลาที่เป่ยเฉินอี้สลบไปนั้น ฮ่องเต้ไม่มีทางไม่เหลือทางรอดสักทางเดียวไว้ให้ตัวเอง เสี่ยงทำให้เป่ยเฉินอี้ก่อกบฏโดยการฆ่าเด็กอายุสิบสองที่ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องในราชสำนัก  

 

 

ปัญหานี้ เยี่ยเม่ยคิดอยู่ตลอดแต่ก็คิดไม่ตก ระยะนี้ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ถึงเอ่ยปากถาม 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยอึ้งไปเล็กน้อย ตอบ “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ เพียงรู้ว่าตอนนั้นหลังจากราชสำนักจงเจิ้งถูกทำลาย ฮ่องเต้ก็นำทัพกลับราชสำนักเป่ยเฉิน ตอนนั้นเป่ยเฉินอี้บาดเจ็บสาหัส คนของเขาคุ้มครองกลับไปด้วย ดังนั้นเรื่องสังหารน้องชายเจ้า ไม่น่าเป็นพวกเขาสองคน! อีกอย่างข้าก็แปลกใจเช่นกัน ตอนน้องชายเจ้าตาย เป่ยเฉินอี้ยังสลบอยู่ มีทหารคนสำคัญของเขาคุ้มครอง ใครก็ไม่รู้ว่าหลังจากเขาฟื้นขึ้นแล้ววรยุทธ์และขาสองข้างจะไม่อาจจรักษาไว้ได้อีก ฮ่องเต้จะสั่งการสังหารน้องชายเจ้าได้อย่างไร เขาไม่กลัวว่าหากเป่ยเฉินอี้ฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยไร้เรื่องแล้วจะก่อกบฏหรืออย่างไร” 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้าใช้ความคิด “ดังนั้นถึงบอกว่าเรื่องนี้มีเลศนัย! ต้องสืบให้ได้ว่าปีนั้นใครเป็นคนจัดการเรื่องของราชสำนักจงเจิ้งในภายหลัง จึงจะเข้าใจชัดเจน!” 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่น่าสืบได้ยาก ไม่อย่างนั้นให้ใต้เท้าไป๋หลี่ช่วยเจ้าสืบดูสักหน่อยดีหรือไม่” 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ดี! ส่งข่าวให้ไป๋หลี่ซือซิว!” 

 

 

เมื่อกล่าวจบ เยี่ยเม่ยก็นวดหว่างคิ้ว ฉุกคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา เอ่ยปากว่า “ถึงแม้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไม่สนใจเรื่องราวใดในราชสำนักเป่ยเฉิน แต่ไม่แน่ว่าเขาพอจะรู้อะไรบ้าง อย่างไรเสียเขาไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้ เมื่อถึงเวลาข้าจะลองถามเขาดูด้วยเช่นกัน!” 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ก็ดี!” 

 

 

…… 

 

 

ในวังหลวง องค์หญิงอันหยางพูดคุยกับฮองเฮาไม่น้อย 

 

 

หนึ่งในนั้นรวมถึงเรื่องที่เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับฮ่องเต้และฮองเฮายากจะรักษาได้ แต่เพราะว่าระยะนี้เสด็จพี่สี่ได้รับความไว้ใจจากเสด็จพ่อมากขึ้น ดังนั้นเสด็จพี่สี่มักพูดชมเสด็จพ่ออยู่เสมอ ฮองเฮาได้ฟังก็รู้สึกวางใจ 

 

 

ดูท่าพี่ชายของนางจะคิดมากเกินไปแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ยล้วนไม่มีปัญหา 

 

 

จากนั้นองค์หญิงอันหยาง ก็เล่าต่ออีกว่า นางสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับเยี่ยเม่ยที่จวนองค์ชายสี่อยู่นาน ทั้งคู่สนิทกันไม่เลว ดังนั้นเยี่ยเม่ยหวังว่านางจะไปเยี่ยมบ่อยๆ 

 

 

ฮองเฮากลับไม่คัดค้าน หลังจากพยักหน้าแล้วยังเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง “หลังจากเจ้าไปถึง ก็ถามความคิดเห็นของเสด็จพี่สี่และพี่สะใภ้ของเจ้าที่มีแต่เสด็จพี่ใหญ่เจ้าให้มากหน่อย กลับมาค่อยเล่าให้แม่ฟัง แม่มักกังวลว่า เพราะเรื่องเสด็จพ่อกับแม่จะทำให้เสด็จพี่สี่เจ้าเกลียดชังเสด็จพี่ใหญ่ กระทบต่อความรู้สึกพี่น้อง ดังนั้นทันทีที่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับเสด็จพี่ใหญ่ เจ้าต้องเล่าให้แม่ฟังทันที!” 

 

 

องค์หญิงอันหยางพยักหน้า 

 

 

นางรู้อยู่แก่ใจว่าเสด็จแม่หาได้สนใจว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อันดีหรือไม่ เพียงคิดให้นางช่วยสืบข่าว แต่นางก็ไม่เปิดโปง ต่อไปได้ออกจากวังอีกก็พอแล้ว! 

 

 

ส่วนเรื่องทรยศพี่สะใภ้สี่ที่นางชื่นชอบนั้น? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ! 

 

 

หลังจากนางคุยกับฮองเฮาอีกสักพัก ก็กลับตำหนักของตน ในเวลานี้ลั่วซิงเฉิงก็เข้ามาส่งข่าวแล้ว เขากระโดดอยู่ที่หน้าต่าง เห็นว่ามีเพียงองค์หญิงอันหยางอยู่คนเดียว เอ่ยเสียงเบาว่า “เยี่ยเม่ยบอกว่า คนผู้นั้นคือเย่จื่อหนาน!”  

 

 

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ไปแล้ว 

 

 

องค์หญิงอันหยางตะลึง หน้าพลันแดงระเรื่อขึ้นมา เป็นเขา