อสูรวิญญาณครวญเปลี่ยนร่าง

 

 

 

ในที่สุดสายฟ้าสีเงินก็หายวับไปจากกลางอากาศ เบื้องหน้าม่านลำแสงสีขาว เผยร่างภูตผียักษ์สีดำเปล่งประกายสูงสิบจั้งเศษออกมาตัวหนึ่ง

 

 

หัวของภูตตนนี้มีเขาสองข้าง เรือนกายมีเกล็ดสีดำราวกับเกราะเกล็ด แผ่นหลังมีปีกเนื้อขนาดใหญ่คู่หนึ่ง แขนสองข้างที่ดูเหมือนเหล็กกล้ายาวผิดปกติ กำลังหลับอุตุอยู่บนพื้น เมื่อมองไปยังใบหน้าของมัน ถึงแม้ว่าหานลี่จะรู้สึกใจหายวาบ แต่ก็รู้ขนลุกชันเล็กน้อย

 

 

ใบหน้าของภูตตนนี้แบนเรียบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีใบหน้า ส่วนร่างกายที่ใหญ่โตของมันนั้นเต็มไปด้วยหลุมนับร้อยหลุม นอกจากแขนหนาๆ ทั้งสองแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ

 

 

เห็นได้ชัดว่าไข่มุกอสนีสองเม็ดและกระบี่ลำแสงที่หานลี่ปล่อยออกไปเมื่อครู่ ล้วนถูกภูตตนนี้รับเอาไว้กว่าครึ่ง มิเช่นนั้นคงเพียงพอที่จะทำลายม่านลำแสงกระบี่โลหิตแล้ว

 

 

ภูตยักษ์เงยหน้าเปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงขึ้น ไอทมิฬสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็หมุนวนแล้วจมหายเข้าไปในร่าง

 

 

ร่างกายที่แต่เดิมไม่สมบูรณ์แบบ พลันก็ไร้ซึ่งความเสียหายท่ามกลางไอสีดำ

 

 

“ฮ่าๆ เด็กน้อยเอ๋ย ลองลิ้มลองความร้ายกาจของราชันย์ภูตไร้หน้าที่ข้าเลี้ยงดูมาพันปีหน่อยเป็นไง ความสามารถของภูตตนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตาเฒ่าเลย” คำพูดที่แฝงเจตนาร้ายดังขึ้นที่ข้างหูของหานลี่ แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ

 

 

“ราชันย์ภูต?” หากอยู่ใกล้กับหานลี่สักหน่อย ก็จะมองเห็นว่าหลังจากที่เขาได้ยิน มุมปากก็แสยะยิ้ม เผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมา

 

 

“สหายหานโปรดระวังด้วย ราชันย์ภูตไร้หน้ามีชื่อเสียงมากในแดนภูตผี ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา” สตรีอีกคนหนึ่งถ่ายทอดเสียงออกไปด้วยเสียงเหล็กๆ แหลมๆ แต่กลับเป็นเยี่ยฉู่ที่กำลังยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กันกับสองผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลหล่ง

 

 

นางเห็นหานลี่จัดการกับสตรีเผ่าหงส์ดำได้อย่างคล่องแคล่ว ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน หัวของราชันย์ภูตก็เอียงคอหันมาทางหานลี่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีดวงตา แต่กลับดูเหมือนว่ายังคงมองมาทางหานลี่

 

 

ปากร้องคำรามต่ำๆ ออกมา ราชันย์ภูตไร้หน้าชูแขนยาวๆ ทั้งสองข้างขึ้น ชั่วขณะนั้นพายุก่อตัวขึ้น ไอทมิฬสีดำแผ่ขยายออกมา ทำให้ท้องฟ้าในบริเวณนั้นกลายเป็นสีดำทะมึน ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงกรีดร้องจำนวนนับไม่ถ้วนดังออกมาจากไอทมิฬ ราวกับเสียงภูตผีกำลังกรีดร้องโหยหวนก็ไม่ปาน

 

 

ราชันย์ภูตไร้หน้าที่อยู่ใต้ไอทมิฬสะบัดแขนมาหานลี่

 

 

ไอทมิฬที่อยู่กลางอากาศหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ชั่วขณะนั้นกรงเล็บภูตสีดำขนาดใหญ่จนน่าเหลือเชื่อประมาณร้อยจั้งเศษ ตัวกรงเล็บมีเปลวเพลิงภูตสีเขียวกะพริบระยิบระยับข้างหนึ่งตะปบมาหาหานลี่

 

 

หานลี่รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบตัวบีบรัด พลังมหาศาลไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น คิดจะกักร่างของเขาเอาไว้

 

 

หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ที่ตกอยู่ในสภาวะการโดนพลังมหาศาลกดเอาไว้ เกรงว่าคงยอมจำนนต่อความตายไปแล้ว แต่จากร่างกายที่แข็งแกร่งของหานลี่ กลับดูเหมือนจะไม่เห็นค่าของการกักตนนี้ หลังจากแค่นเสียงอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง มือหนึ่งก็ปัดไปทางแหวนอสูรวิญญาณอย่างรวดเร็ว

 

 

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ร่อนลงเบื้องหน้าของหานลี่ห่างออกไปสองสามจั้ง เผยร่างวานรน้อยสูงครึ่งฉื่อที่มีเส้นขนสีดำเปล่งมันปกคลุมตัวหนึ่งออกมา

 

 

นั่นก็คืออสูรวิญญาณครวญ

 

 

เมื่อวานรน้อยปรากฏตัวขึ้น มันพลันกลอกตาไปมา จมูกใหญ่ๆ ส่งเสียงฟุดฟิดๆ สองตาเปล่งประกาย มือใหญ่ๆ ทุบไปที่หน้าอก ร่างกายเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ขยายขนาดใหญ่ขึ้น แค่กะพริบวาบสองสามครั้งก็กลายเป็นวานรยักษ์ดุร้ายสูงสามสิบจั้งเศษ

 

 

อสูรตัวนี้พุ่งเข้าไปหากรงเล็บภูตที่อยู่กลางอากาศอย่างไม่ลังเล แค่นเสียงหึเล็กน้อย ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากจมูกของมัน ตรงไปยังใจกลางกรงเล็บภูตที่กำลังโจมตีลงมาอย่างพอดิบพอดี

 

 

ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น

 

 

ชั่วพริบตาที่ใจกลางกรงเล็บและลำแสงสีเขียวสัมผัสกัน รูสีดำพลันปรากฏขึ้นทันที ลำแสงสีเขียวม้วนไปรอบๆ ส่วนอื่นๆ ของกรงเล็บภูตสลายออกกลายเป็นไอทมิฬสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ถูกลำแสงผืนนั้นค่อยๆ ม้วนเข้าไปข้างใน

 

 

ชั่วพริบตากรงเล็บภูตทั้งหมดก็ได้รับความเสียหาย แล้วสลายหายไป

 

 

ราชันย์ภูตไร้หน้าที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนั้น ก็ตะปบกรงเล็บอีกข้างมาทางอสูรวิญญาณครวญโดยไม่ปริปากใดๆ

 

 

ลำแสงสีดำห้าสายเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งเข้ามาหาวานรยักษ์ราวกับมีดอันแหลมคมขนาดยักษ์ห้าสาย

 

 

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กรงเล็บลำแสงมาอยู่เบื้องหน้าร่างของวานรยักษ์

 

 

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลำแสงสีดำห้าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของอสูรวิญญาณครวญ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผลเลยสักนิด

 

 

ภูตยักษ์เห็นเช่นนี้ ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

 

 

วานรยักษ์กลับแสร้งทำเป็นไม่เป็น แค่นเสียงออกมาอีกครั้ง ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุงออกมาจากรูจมูกอีกด้าน

 

 

ลำแสงสีเขียวสองสายพัวพันโรมรันกันกลางอากาศ กวาดไอทมิฬกลางอากาศไม่จนเกลี้ยงราวกับลมที่หอบใบไม้ไปในฤดูใบไม้ร่วง จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวดำพุ่งกลับมา ถูกวานรยักษ์กลืนลงไป

 

 

ใบหน้าของวิญญาณครวญเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา ชั่วพริบตาก็ต้องเขม็งไปยังราชันย์ภูตที่อยู่ไกลออกไป

 

 

ราชันย์ภูตไร้หน้าเห็นอสูรวิญญาณครวญทำลายความสามารถของตนเอง ในที่สุดก็ได้สติฟื้นคืนจากภวังค์ ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องอู้อี้ๆ ออกมา เริ่มโกรธเกรี้ยว

 

 

ไม่เห็นว่ามันจะเคลื่อนไหวใดๆ ร่างกายกลับมีเกราะสงครามโบราณปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง ด้านบนมีเปลวเพลิงสีเขียวเปล่งประกาย สองมือพลิ้วไหวด้านล่างมีค้อนกระดูกยักษ์คู่หนึ่งปรากฏขึ้น

 

 

หานลี่จ้องเขม็งไป พบว่าค้อนกระดูกคู่นี้หลอมขึ้นจากหัวกะโหลกภูตปีศาจยักษ์สองหัว ด้ามหนึ่งเป็นสีเหลือง ด้ามหนึ่งเป็นสีดำ ไม่รู้ว่ามีความสามารถอะไร

 

 

วิญญาณครวญกลับไม่สนใจเรื่องนี้ กะพริบตาทั้งสองข้าง พ่นลำแสงสีเขียวสองสายออกมาจากจมูกอีกครั้ง ม้วนไปทางภูตนั้น

 

 

เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ราชันย์ภูตไร้หน้าสะบัดค้อนยักษ์ทั้งสอง ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนค้อน คาดไม่ถึงว่าจะสลายการโจมตีของลำแสงสีเขียวออก

 

 

คาดไม่ถึงว่าลำแสงเทวะดูดวิญญาณของวิญญาณครวญจะไร้ประสิทธิภาพเมื่อเผชิญหน้ากับภูตผีตรงข้าม

 

 

หานลี่มองเห็นฉากนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

 

 

อสูรวิญญาณครวญเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา เปล่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา รอบด้านเกิดวายุทมิฬขึ้น สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น

 

 

ร่างของวานรยักษ์ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง เส้นขนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ตรงหน้าฝากมีเขาหงิกงอสามเขางอกออกมา หว่างคิ้วปูดโปนขึ้น หลังจากมีรอยแตกแยกออก ดวงตาปีศาจสีแดงโลหิตดวงหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันใบหน้าพลันยืดยาวออก เผยเขี้ยวแหลมคมออกมา แผ่นหลังมีกระดูกแหลมๆ สีดำยาวสองสามจั้งสามแท่งงอกออกมา ด้านบนมีไอสีดำรัดพันอยู่ ดูน่าเกรงขามมาก

 

 

คาดไม่ถึงว่าอสูรวิญญาณครวญจะพัฒนาระดับขึ้น กลายเป็นภูตที่โหดร้ายตัวหนึ่งเช่นกัน ไอทมิฬบนร่างเข้มข้นมากกว่าราชันย์ภูตที่อยู่ตรงข้ามเท่าหนึ่ง ดวงตาปีศาจที่อยู่ตรงหว่างคิ้วลืมตาขึ้น เสียงอึกทึกดังขึ้น พ่นประจุไฟฟ้าหนาเท่าปากชามสายหนึ่งออกมา

 

 

คาดไม่ถึงว่าประจุไฟฟ้าสายนั้นจะมีสีแดงสดดุจโลหิต ชั่วพริบตาก็มาอยู่เบื้องหน้าราชันย์ภูตผี

 

 

ฉากที่ยากจะเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!

 

 

ราชันย์ภูตไร้หน้าเห็นประจุไฟฟ้าสีโลหิต กลับเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ด้วยความหวาดกลัวออกมา สองแขนประกบเข้าหากันที่ใจกลาง ในเวลาเดียวกันร่างกายอันใหญ่โตก็พุ่งถลาไปด้านหลัง คาดไม่ถึงว่าจะคิดหนีไป

 

 

เสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น เมื่อค้อนกระดูกสีขาวทั้งสองเต้าปะทะกับประจุไฟฟ้าสีโลหิต ก็กลายเป็นควันสีเขียวสองกลุ่มราวกับพบกับดาวมฤตยูแล้วสลายหายไป

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะประจุไฟฟ้าสีโลหิตจะไม่ถูกยับยั้งไว้ หลังจากระเบิดออก ก็โจมตีไปยังเกราะสงครามเปลวเพลิงสีเขียวบนร่างของภูตผีไร้หน้า

 

 

เกราะสงครามนี้เหมือนกับค้อนกระดูกคู่นั้นอย่างไรอย่างนั้น สลายหายไปอย่างไม่มีผลในทันที ประจุไฟฟ้าทะลวงเข้าไปที่หน้าอกของภูตผี ทันใดนั้นพลันพันรัดเอาไว้ รัดภูตตนนั้นแน่นราวกับอสรพิษวิญญาณ จากนั้นก็ดึงกลับมา

 

 

ภูตยักษ์เปล่งเสียงร้องอันน่าอนาถออกมา ร่างกายถูกม้วนเข้าไปอย่างไม่ยินยอม และหดเล็กลงท่ามกลางการถูกตราตรึงอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็มาถึงปากที่เป็นเหมือนบ่อโลหิตขนาดยักษ์

 

 

ลำแสงสีโลหิตเปล่งประกายถูกกลืนลงไปในท้องของอสูรวิญญาณครวญ

 

 

อสูรวิญญาณครวญอาศัยเพียงแรงเพียงครั้งเดียวก็สามารถกลืนราชันย์ภูตไร้หน้าลงท้องไปได้อย่างง่ายดาย

 

 

ครั้งนี้คู่ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่ง เยี่ยฉู่และหญิงสาวชุดขาวพลันตกตะลึงจนตาค้าง

 

 

นั่นไม่ใช่ภูตวิญญาณทมิฬที่ต่ำต้อย แต่เป็นราชันย์ภูตที่มีระดับเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา? เหตุใดถึงถูกโจมตีราวกับกระดาษแผ่นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น! วานรน้อยที่แปลงร่างไปสองครั้งนี้คืออสูรวิญญาณอะไรกัน เหตุใดประจุไฟฟ้าสีโลหิตที่พ่นออกมาจากดวงตาปีศาจถึงได้มีความสามารถเหนือชั้นขนาดนี้?

 

 

ทุกคนแทบจะมีความคิดนี้ฉายวาบผ่านในหัวพร้อมกัน

 

 

แต่ไม่รอให้พวกเขาได้สติฟื้นคืนมา ร่างของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็เคลื่อนย้ายมาอยู่เหนือม่านลำแสงสีขาว

 

 

แค่สะบัดแขนเสื้อ กระบี่ลำแสงเจ็ดสิบสองสายก็ทะลักออกมา ทันใดนั้นลำแสงวิญญาณที่เปล่งแสงสว่างวาบก็รวมตัวกัน กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีทองยาวสิบจั้งเล่มหนึ่งในพริบตา

 

 

กระบี่ยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ สับลงมาที่ม่านลำแสงอย่างรุนแรง

 

 

เสียง “แควก” ดังขึ้น ลำแสงสีทองและลำแสงสีขาวเกี่ยวรัดกัน ผิวของม่านลำแสงเผยรอยสีขาวบางๆ สายหนึ่งออกมา

 

 

“แย่แล้ว!” เห็นได้ชัดว่าคู่บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งคิดไม่ถึงว่ากระบี่บินเมฆาของหานลี่จะเฉียบคมถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ร้องอุทานด้วยน้ำเสียงแหบแห้งออกมาพร้อมกัน

 

 

เห็นเพียงม่านลำแสงสั่นเทา ทันใดนั้นก็ปริแตกตามรอยแล้วพังทลายลง

 

 

หานลี่อาศัยเพียงพลังของกระบี่บิน สับม่านลำแสงสีขาวที่ถูกเพิ่มพลังเอาไว้นานแล้วลงไปในดาบเดียว

 

 

กระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะเผยตัวขึ้นเบื้องหน้าหานลี่

 

 

หานลี่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ร่ายอาคมกระบี่ในใจ ชั่วขณะนั้นกระบี่สีทองยักษ์พลันเปล่งประกาย หายวับไปจากที่เดิม แต่ครู่ต่อมาก็สับลงมาที่ตัวกระบี่สีโลหิตอย่างแรง

 

 

ได้ยินเพียงเสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีทองและแดงสองสีเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา กระบี่ยักษ์สีทองพลิ้วไหวแล้วถูกดีดออกมา

 

 

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

 

 

ทันใดนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ไข่มุกอัสนีสีเงินสองสามเม็ดพลันพุ่งออกมา

 

 

กระบี่ยักษ์สีโลหิตแค่พลิ้วไหวท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีเงินที่พุ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าจะปลอดภัย

 

 

“ฮ่าๆ เด็กน้อย เจ้ารนหาที่ตายสินะ กระบี่ผลึกโลหิตมหาภารตะยังคงเป็นหนึ่งในสมบัติวิญญาณโกลาหล อาศัยแค่ฝีมือของเจ้าคิดจะทำลายกระบี่เล่มนี้หรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่งที่แต่เดิมกำลังตกตะลึงระคนกังวล กลับเยือกเย็นขึ้นในครานี้ หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก

 

 

หานลี่หางตากระตุกสองสามครั้ง มองลึกไปที่กระบี่โลหิตสองสามแวบ ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็ชี้ไปที่กระบี่ยักษ์สีทอง

 

 

เสียงหึ่งๆ ดังขึ้น กระบี่ยักษ์สั่นคลอน แยกออกท่ามกลางลำแสงสีทอง กลายเป็นกระบี่เล่มเล็กสีทองเจ็ดสิบสองเล่มอีกครั้ง

 

 

กระบี่เล่มเล็กเหล่านี้เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา ทันใดนั้นก็พลิ้วไหวกลายเป็นกระบี่ลำแสงสีทองสองสามร้อยสาย

 

 

กระบี่ลำแสงทุกสายมีขนาดประมาณสองสามฉื่อ หมุนโคจรเริงระบำอยู่กลางอากาศ

 

 

ทันใดนั้นหานลี่พลันบริกรรมคาถาด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา นิ้วทั้งสิบร่ายอาคมไม่หยุดราวกับล้อรถ อาคมสายแล้วสายเล่าโจมตีออกไป

 

 

ชั่วขณะนั้นกระบี่บินทั้งหมดพลันสั่นเทา กระจายตัวออกกลางอากาศ และพุ่งไปรอบด้าน

 

 

ท่ามกลางการเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่ลำแสงสีทองเหล่านั้นก็หายวับไป ราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

 

 

คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะวางเขตอาคมมหากระบี่ทองคำโดยมีกระบี่ยักษ์สีโลหิตเป็นศูนย์กลาง คิดจะอาศัยอานุภาพที่น่ากลัวของกระบี่ยักษ์ บีบปราณแท้ของหล่งตงออกมา แม้กระทั่งคิดจะทำลายสมบัติวิญญาณชิ้นนี้ไปเสียเลย