เล่ม 1 เล่มที่ 1 ตอนที่ 2 อย่าทอดทิ้งรางวัลจากพี่สาว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีพยายามส่ายหัวแรงๆ เพื่อเรียกสติของตนกลับคืนมา ทว่ามือไม่รักดีของนางไม่สามารถควบคุมได้ มันเริ่มสัมผัสร่างกายของบุรุษผู้นั้นทีละนิด

        เข็มขัดสวยหรูและกระดุมทำมือลวดลายละเอียดงดงามถูกปลดทีละชิ้น เมื่อนางมองเห็นลอนหน้าท้องที่ล่ำสันทั้งหก สติที่มีอยู่ของนางก็ขาดสิ้น แล้วนางก็กลายร่างเป็นปีศาจตัวน้อยในทันที

        ……

        ลมหนาวเย็นยะเยือก หิมะขาวดั่งสำลีและดอกเหมยสีชาดโปรยปรายเต็มท้องนภา

        ไม่ช้าสวนหลังจวนสกุลซูก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นสนามพลอดรักขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยเสียงหอบซึ่งเกิดจากการกอดเกี่ยวของสองร่าง

        เมื่อทุกอย่างสงบลง ซูจิ่นซีก็พยุงร่างกายที่ปวดร้าวขึ้นมาแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยความรู้สึกผิด ซูจิ่นซีกอดรองเท้ามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วจึงกระโดดออกมาจากป่าต้นเหมยราวกับโจร

        เมื่อเดินไปได้สองก้าวจึงนึกขึ้นได้ว่าชายที่นอนอยู่บนพื้นด้านหลังในขณะนี้กำลังต่อสู้กับความเป็นความตาย นางก็ยากที่จะใจร้ายทำเมินเฉยตัดใจไม่ช่วยได้

        ในช่วงเวลากลางดึก ซูจิ่นซีใช้ฝ่ามือเล็กๆ หยิบยาจีนออกมาจากระบบถอนพิษแล้ววางไว้บนร่างกายของบุรุษผู้นั้น

        ซูจิ่นซีแสร้งเอ่ยอย่างมีหลักการมากว่า “น่า นี่เป็นรางวัลเล็กๆ ที่พี่สาวจะมอบให้ ท่านอย่าคิดว่ามันไร้ค่า มันมีประโยชน์มากนะ! แม้ว่าอาจจะไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บให้หาย แต่ก็สามารถลากท่านออกมาจากเงื้อมมือของยมบาลได้ วันหลังถ้าเรายังได้พบกันอีก… ”

        เดิมทีซูจิ่นซีอยากจะพูดว่า วันหลังถ้าหากได้พบกันอีกครั้งก็จะช่วยจนถึงที่สุด เพื่อให้อาการบาดเจ็บของเขาหายสนิท

        แต่พอกลับมาคิดดูอีกที วันนี้ตนเองทำเรื่องแบบนั้นลงไป ถ้าหากได้พบกันอีกเขาจะยังปล่อยนางไปหรือไม่?

        นางโบกมือแล้วหันหลังวิ่งไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ ทางที่ดีที่สุดข้ากับท่านไม่ควรพบกันอีก”

        ซูจิ่นซีวิ่งไปจนหยุดอยู่ตรงทางเดินที่ไม่มีใคร แล้วลูบอกด้วยความตกใจ

        แม้ว่านางจะมาจากศตวรรษที่ 21 แต่ในช่วงเวลานี้ก็ยังเป็นเพียงสาวบริสุทธิ์ เมื่อมองย้อนกลับไปในเรื่องที่ตัวเองพึ่งทำลงไปก็รู้สึกทั้งละอายและหวาดกลัว

        สุดท้ายนางก็บังคับให้ตนเองใจเย็นลงได้ ยามปกติถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลามืดมิดเพียงใด ทว่าสายตาของนางกลับดีมาก เมื่อครู่นางอยู่ใกล้เขามากขนาดนั้นแต่กลับมองเค้าหน้าของชายผู้นั้นไม่ชัดเท่าไร

        บุรุษผู้นั้นอ่อนแอถึงเพียงนี้ ซ้ำร้ายยังอยู่ในสภาพสติไม่สมบูรณ์ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นรูปร่างหน้าตาของนางได้อย่างชัดเจน

        คิดเช่นนั้นแล้ว ซูจิ่นซีก็โล่งใจมากขึ้นจึงเดินต่อไปยังทิศทางในตอนต้นที่นางมา

        ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงใส่เสื้อสีเขียววิ่งเข้ามาคว้ามือของซูจิ่นซีแล้วร้องห่มร้องไห้ “คุณหนู ท่านไปไหนมาเจ้าคะ ข้าน้อยกังวลใจจะตายอยู่แล้ว นายน้อยของจวนท่านประมุขสิ้นชีพในจวนของพวกเรา ทั้งฮูหยินและคุณหนูใหญ่ต่างก็พูดว่าคุณหนูฆ่าเขา ท่านรีบหนีเถิด! ไปพบท่านชายหรงที่ประตูเทียนอี แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีกเลย ท่านรีบไปเสียเถิดเจ้าค่ะ! ”

        ในตอนนี้ซูจิ่นซีสามารถแยกแยะความทรงจำของนางกับเจ้าของร่างเดิมได้แล้ว

        เจ้าของร่างเดิม เดิมทีก็ชื่อซูจิ่นซีเช่นกัน เพียงแต่เขียนไม่เหมือนกับชื่อของนาง

        หญิงสาวเสื้อเขียวที่อยู่ตรงหน้าเป็นสาวใช้ของเจ้าของร่างเดิม ชื่อหวนลวี่หลี

        ลูกชายคนรองในตระกูลของจวนนายท่านที่ลวี่หลีกล่าวถึงคือฮั่วอวี้ เขามีหน้าตาที่อัปลักษณ์และโง่เง่า เป็นหลานชายฝ่ายแม่ของฮูหยินฮั่วซื่อแห่งสกุลซู ซึ่งก็คือสกุลของซูจิ่นซี ร่างเจ้าของเก่าที่นางพึ่งข้ามภพมาอาศัยร่างและถูกกล่าวหาว่าเป็นเบื้องหลังฆาตกรอำมหิต

        เขาตายแล้ว?

        ตายในจวนของนางอย่างนั้นหรือ?

        ใช่แล้ว! คนที่ต้องการใส่ความให้นางเป็นฆาตกรก็คงจะต้องอยู่ในจวนนางแน่นอน กระทั่งตอนที่นางตายไปแล้ว ก็ยังมีคนที่มีเจตนาทำเรื่องร้ายๆ แล้วโยนโทษให้คนอื่นอีกหรือ? แล้วเช่นนี้จะไม่อยู่ในจวนของเจ้าของที่โดนป้ายสีได้อย่างไรกันเล่า

        ซูจิ่นซีชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจอย่างชัดเจน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถึงแม้ว่านางจะมีสิบปากก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ทั้งหมด

        ลวี่หลีพูดไม่ผิด  ในตำราพิชัยสงครามสามสิบหกกลยุทธ์ การหนีไปตั้งหลักคือยอดกลยุทธ์

        ฉะนั้นซูจิ่นซีจึงหันหลังคิดจะวิ่งหนี ทว่าทันใดนั้นโคมไฟแถวหนึ่งก็สว่างวาบ บนสะพานไกลๆ มีกลุ่มคนเดินพลุกพล่านมาในความมืด

        ทางข้างหน้าถูกปิดกั้น ซูจิ่นซีจึงหันหลังเตรียมกลับไปทางเดิม คิดไม่ถึงว่าด้านหลังก็มีคนมากมายเช่นเดียวกัน

        เสียงที่คมชัดราวกับระฆังเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เจ้าคนต่ำช้ามันอยู่ตรงนั้น เร็ว! อย่าให้นางหนี รีบไปจับนางมา”

        ด้านซ้ายเป็นแท่นสูงหนึ่งจั้ง [1] ด้านขวาเป็นกำแพง หมาป่าที่โหดเหี้ยมล้วนรวมตัวอยู่ด้านหน้าและด้านหลัง ซูจิ่นซีไม่มีที่ให้หลบหนีได้แล้ว ท้ายที่สุดก็เหมือนกับเสือตัวเล็กๆ ในผิงหยางที่ถูกเชือกคล้องคอพร้อมกับผูกแขนทั้งสองข้างไพล่หลังเข้าด้วยกัน

        ……

        ในขณะเดียวกัน ชายที่ถูก “ปีศาจตัวน้อย” กวาดต้อนไปกินใต้ต้นดอกเหมยจนหมดจดก็ฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงขึ้น หลังจากได้รับยาที่ซูจิ่นซีทิ้งไว้ให้

        เขาสวมเสื้อผ้าที่ยับย่นขาดรุ่งริ่งแล้วค่อยๆ เดินออกมาจากป่าดอกเหมย สรรพางค์กายเต็มไปด้วยกลิ่นอายชวนกดดันที่เย็นยะเยือก

        ด้วยแสงริบหรี่จากระยะไกลจึงทำให้สามารถมองเห็นใบหน้าคนๆ นี้ได้อย่างชัดเจน เยี่ยโยวเหยา! คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบุคคลที่ผู้คนต่างขนานนามว่าราชาแห่งความสงัดเงียบที่น่าเกรงกลัวแห่งแคว้นจงหนิง

        ในเวลานี้เขาเหมือนเทพเจ้าที่หลบอยู่ในความมืด  ความเกรี้ยวโกรธแล่นทั่วตัวตนจนราวกับจะทำให้คนหยุดหายใจด้วยความครั่นคร้าม

        เมื่อเขายกมือขึ้น องครักษ์เงาสั่นสะท้านคำนับอยู่แทบเท้าของเขา รังสีความน่ากลัวแผ่ออกไปในระยะไกลอย่างน่าเกรงขาม

        “ไป เจ้าไปตรวจสอบว่ามันคือสัตว์เดรัจฉานตัวไหนของสกุลซูนั่น! ”

        เมื่อองครักษ์เงาได้รับสาส์นจากเจ้าชีวิตก็รีบบินหายวับไปกับตา คล้ายกลัวว่าถ้าทำให้เจ้านายตนขุ่นเคืองใจแม้เพียงนิดก็อาจจะโดนปลิดลมหายใจ

        เมื่อสมุนเงาหายวับเข้ากลีบเมฆไปแล้ว เยี่ยโยวเหยาที่ยังยืนอยู่ที่เดิมกำหมัดแน่นทั้งสองข้าง เสียงหักข้อนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ เป็นที่น่าหวาดกลัวของผู้คนในยามค่ำคืนที่แสนเงียบสงัด

        ทันใดนั้นเขาทุบกำปั้นลงบนต้นเหมยที่อยู่ด้านหลังของตนจนดอกเหมยร่วงหล่นกระจัดกระจาย ก่อนที่เขาจะบินทะยานขึ้นสู่ฟ้า ถลาไปตามชายคาจวนสกุลซู

        ……

        ในห้องโถงใหญ่ที่งดงามที่สุดของสกุลซู ซูจิ่นซีถูกมัดด้วยเชือกคล้องคอพร้อมกับผูกแขนทั้งสองข้างไพล่หลังเข้าด้วยกัน นางถูกโยนลงไปที่เท้าซูจ้งผู้เป็นประมุขแห่งสกุลซูอย่างไม่ยั้งแรง

        “พี่ชาย ท่านตายอย่างน่าอนาถเสียจริง! ฮือๆ เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดของท่านก็นับว่าปล่อยวางเถิด แต่ท่านจะให้ท่านแม่อธิบายกับท่านยายและบรรพบุรุษของตระกูลอย่างไรกัน ฮือๆ … ”

        “เป็นเช่นนี้แล้ว อวี้เอ๋อร์ เจ้าจะให้ป้าของเจ้าทำอย่างไรดี ทำอย่างไร ฮือๆ … ”

        ในห้องโถงสกุลซู ฮูหยินฮั่วซื่อและลูกสาวของนางซูเซียนฮุ่ยกอดศพร่ำไห้ ดูเหมือนว่าพวกนางจะเศร้ายิ่งกว่าเสียลูกชายที่แท้จริงของตัวเองอีกกระมัง

        ซูจิ่นซีเริ่มคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบข้างอย่างรวดเร็ว

        ที่นี่นอกจากซูจ้งและฮั่วซื่อที่อยู่ข้างกาย ยังมีซูเซียนฮุ่ยบุตรสาวคนโต เหล่าอนุและข้ารับใช้ใกล้ชิดหลายคน ประมุขสกุลซูไว้เนื้อเชื่อใจฮั่วซื่อขนาดนั้น ซูจิ่นซีพูดอะไรออกไปก็คงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ

        หรือจะพูดอีกแง่ก็คือ ชายผู้นี้ถูกแม่ลูกคู่นั้นชักจูงกระทั่งตอนนี้พวกนางสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้ ซูจ้งที่หูเบาก็คงจะถูกแม่ลูกจูงจมูก ไม่ว่าคนพวกนั้นพูดอะไรออกมาก็คงจะเชื่อไปเสียหมด

        ยิ่งไปกว่านั้น คนที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นให้ซูเซียนฮุ่ยร้องห่มร้องไห้เจียนจะขาดใจก็เป็นลูกชายของไหวหยางจวิ้นจู่พี่สาวแท้ๆ ของฮูหยินฮั่วซื่อ

        ถึงขนาดที่ว่าฮั่วซื่อน้องสาวแท้ๆ ของถังถังจวิ้นจู่ [2] แต่งเข้าสกุลซูที่วงศ์ตระกูลไม่แม้แต่จะมีศักดินาเทียบชั้นนางได้เลยเช่นนี้? มันจะต้องมีเบื้องหลังอันใดอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ลูกชายของถังถังจวิ้นจู่ผู้สง่างามตายในเรือนของสามัญชนซึ่งไม่ใช่ทั้งราชวงศ์หรือข้าราชบริพารมันไม่ใช่เรื่องตลกเสียเลย

        หลังจากที่ซูจิ่นซีแยกแยะความคิดเหล่านี้ออกได้ พอจะเข้าใจตื้นลึกหนาบางของเรื่องขึ้นมาบ้าง ในเมื่อนางไม่สามารถหลบหนีได้ อย่างนั้นต่อไปนี้นางก็จะเป็นซูจิ่นซีเสียเลย คิดกลั่นแกล้งกันหรือ?

        ฝันไปเถอะ!

        “เจ้านี่มันเนรคุณ ทำให้ชีวิตซูจ้งผู้นี้มีแต่เรื่องเดือดร้อน วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า! ”

        ซูจ้งโกรธจนยกเท้าขึ้นมาและกำลังจะถีบไปที่ซูจิ่นซี

        ทันใดนั้นแววตาของซูจิ่นซีก็สลดลง “ท่านพ่อ ท่านต้องคิดให้รอบคอบ รอยเตะที่ถีบลงมานี้ของท่าน ไม่เพียงแค่เป็นการสั่งสอนบุตรสาวที่เนรคุณเท่านั้น แต่เป็นการทำร้ายร่างกายพระชายาในอนาคตของไท่จื่อ [3] ด้วย ความผิดใหญ่หลวงนี้ หากคิดจะทำร้ายข้า ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าบรรพบุรุษสกุลซูจะสามารถชดใช้โทษนั้นได้หรือไม่”

        เมื่อซูจิ่นซีพูดสิ่งนี้ออกไป ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึง

        นังโง่นี่…กำลังพูดอะไรของเจ้า?

        คาดไม่ถึงว่าจะเอาฐานะของไท่จื่อมาข่มขู่ข้า แถมยังพูดอย่างไหลลื่น นี่หาใช่ซูจิ่นซีผู้โง่เง่าของสกุลซูแน่หรือ?

————–