ตอนที่ 454 ได้เพียงมองไม่อาจลิ้มรส

พันธกานต์ปราณอัคคี

สตรีผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนเรียบร้อยรอบคอบ เมื่อเจอกับเยี่ยเทียนหยวนก็อึ้งงันไปทันใด แต่ก็ตั้งสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว นางวางถาดชาลงอย่างคล่องแคล่ว แล้ววางชาแต่ละจอกด้านหน้าทั้งสาม 

 

 

ต่อหน้าหญิงแปลกหน้า เยี่ยเทียนหยวนไม่พูดจาอะไร มั่วชิงเฉินพูดคุยตามสบายสองสามคำ แล้วต่อขึ้นว่า “วันนี้เรียกเถ้าแก่เนี้ยมา เพราะมีเรื่องอยากถามสักหน่อย” 

 

 

“ท่านเซียนเชิญกล่าวมาเถิด” นางยิ้มอ่อนหวาน ท่าทีอ่อนน้อมอย่างที่สุด 

 

 

“ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ถังผ่านมาบ้างหรือไม่” มั่วชิงเฉินถาม 

 

 

“แซ่ถังหรือ” หญิงผู้นั้นพึมพำ มองไปยังมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว 

 

 

มั่วชิงเฉินอ่านความคิดได้ทะลุ จากสายตาของหญิงนางนั้นก็รับรู้ได้ถึงความแตกต่างทันที เมื่อนึกถึงนิสัยเจ้าชู้ขี้เล่นของถังมู่เฉิน ก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ครั้นแล้วก็หัวเราะออกมา “อืม เขาคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปชั่วครู่ แล้วกล่าวเสริมขึ้นว่า “คือพี่ชายข้าเอง” 

 

 

หญิงผู้นั้นรีบตอบรับทันที แล้วพูดขึ้นอย่างเข้าใจว่า “เอ่อ ที่ท่านเซียนพูดถึงคือคุณชายถังผู้นั้นนั่นเอง เขาได้ผ่านมา ยังฝากม้วนข้อความและม้วนข่าวไว้ให้น้องสาวของเขา มิรู้ว่าท่านเซียนแซ่อะไรเจ้าคะ” 

 

 

“ข้าแซ่มั่ว” เมื่อได้ยินว่ามีข่าวคราวจากถังมู่เฉิน มั่วชิงเฉินในใจก็เกิดความยินดีขึ้นมาทันที สำหรับสายตาอันอ่อนหวานของหญิงผู้นี้เมื่อเอ่ยถึงถังมู่เฉิน นางเลิกสนใจไปแล้ว 

 

 

“เช่นนั้นก็ใช่แล้ว ท่านเซียนกรุณารอสักครู่ จดหมายม้วนนั้นข้าน้อยเกรงว่าจะทำมันหาย จึงเก็บเอาไว้ในห้อง” หญิงผู้นั้นพูดเสร็จก็หันกายเดินจากไป ไม่นานนักก็เดินกลับมา แล้วยืนยันต์สองแผ่นให้  

 

 

มั่วชิงเฉินเคลื่อนจิตสัมผัส กวาดมองเนื้อหาบนยันต์สื่อสาร แล้วมองไปยังหญิงผู้นั้นปราดหนึ่งสีหน้าเรียบเฉย  

 

 

ถังมู่เฉินทิ้งข้อความไว้บนยันต์ เมื่อสิบกว่าปีก่อนเขาเคยมาพักที่นี่เป็นระยะเวลาสั้นๆ ช่วงหนึ่ง กับเถ้าแก่เนี้ยหอบรรลุเซียนนับว่าสนิทชิดเชื้อกันระดับหนึ่ง ได้รู้ถึงว่าธุรกิจหอบรรลุเซียนนั้นเป็นของสำนักซู่ซินแห่งราชันย์พำนักเข้าโดยบังเอิญ และเถ้าแก่เนี้ยเองก็เป็นคนของสำนักซู่ซิน  

 

 

มั่วชิงเฉินเคยส่งต่อภารกิจที่ต้องไปยังราชันย์พำนักของตนให้ถังมู่เฉิน ถังมู่เฉินพูดถึงมันในยันต์ แต่เขาก็ไม่ได้สืบสาวราวลึกเกี่ยวกับถ้ำสดับอารมณ์ แต่สำนักซู่ซินเป็นเพียงสำนักแห่งเดียวของเกาะราชันย์พำนัก ครอบครองราชันย์พำนักไว้โดยทั้งหมด ดังนั้นภารกิจของนาง เกรงว่าจะเลี่ยงไม่พ้นสำนักซู่ซิน  

 

 

“เก้าแก่เนี้ย ขอบคุณท่านที่ช่วยดูแลยันต์ของพี่ชายข้าเป็นอย่างดีโดยตลอด เป็นการช่วยเหลือข้าอย่างมาก” มั่วชิงเฉินมุมปากอมยิ้ม แล้วไสไหกระเบื้องสีขาวไหหนึ่งออกไป 

 

 

“โอ้ หามิได้ๆ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” หญิงผู้นั้นรีบปฏิเสธ  

 

 

มั่วชิงเฉินเผยรอยยิ้มออกมาหนึ่งที “ได้โปรดรับไว้เถิด หาใช่ของล้ำค่าอะไรไม่ เป็นเพียงน้ำผึ้งวิญญาณไหหนึ่งเท่านั้น สำหรับผู้หญิงอย่างเรา ก็พอจะมีสรรพคุณบำรุงความงามอยู่บ้าง” 

 

 

ได้ยินเช่นนั้น แววตาของนางก็ลุกวาว รับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มยินดี  

 

 

ดูเหมือนว่าผู้หญิง ล้วนไม่อาจปฏิเสธสิ่งซึ่งมีสรรพคุณในการบำรุงใบหน้า 

 

 

แล้วทั้งสองก็เริ่มพูดคุย แววตาเร่าร้อนขึ้นมา จนกระทั่งหญิงผู้นั้นกล่าวคำลา ปฏิเสธการดื่มชาร่วมกับทั้งสามคน 

 

 

“ทั้งสามโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปเตรียมที่พักให้เจ้าค่ะ” 

 

 

จนกระทั่งหญิงผู้นั้นจากไป แววตามั่วชิงเฉินก็เย็นชาลง 

 

 

ยันต์อีกฉบับที่ถังมู่เฉินฝากไว้ คือยันต์ส่งสารหมื่นลี้ นางบิผนึกยันต์ให้แตกออก ถังมู่เฉินผู้อยู่ที่หลิวโจวหากไม่ผิดคาดคงจะรับรู้ได้ เพียงแต่ต่อให้เขารีบตามมาหา ก็ยังไม่รู้ว่าต้องอีกนานเท่าไรจึงจะถึง ทั้งสามคนคงต้องพัก ณ ที่แห่งนี้ไปก่อน 

 

 

เถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ ดูเหมือนจะเป็นมิตรเกินไปหรือเปล่า 

 

 

มั่วชิงเฉินคิดอยู่เงียบๆ พอนึกถึงทักษะการตะล่อมหญิงของถังมู่เฉินขึ้นมา ก็อธิบายทุกอย่างได้ 

 

 

อีกด้านหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ยสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์จัดห้องรองรับชั้นดี แล้วพาทั้งสามไปด้วยตัวเอง พูดคุยด้วยเสียงหัวเราะจนถึงห้องแล้วหับประตูปิด แล้วจึงปรับสีหน้าเก็บรอยยิ้มกลับคืน พลิกมือ รูปภาพหนึ่งปรากฏขึ้นกลางมือ 

 

 

ชายในภาพยืนเอามือไขว้หลัง เสื้อสีครามโบกพลิ้วไปกับสายลม เรือนร่างถูกวาดออกมาดูสูงโปร่งเพรียวบาง 

 

 

ทั้งที่ใบหน้าเยือกเย็นดั่งหิมะ แต่มุมปากกลับยกยิ้ม สายตาทอดออกไปไกลนั้นแฝงด้วยความอ่อนโยน 

 

 

ชายผู้นั้น ก็คือเยี่ยเทียนหยวนนั่นเอง! 

 

 

เถ้าแก่เนี้ยใคร่ควรอย่างละเอียด จึงมั่นใจอีกครั้งว่าคนไม่ได้ดูผิด จึงได้พลิกมือกลับ ก็ปรากฏเป็นพิราบวิญญาณหนึ่งตัว นั่งเขียนข้อความจำนวนหนึ่งแล้วใส่ลงถุงช่องว่างพิเศษบนตัวนกพิราบวิญญาณ แล้วชูนกพิราบขึ้นปล่อยให้มันบิน 

 

 

เกาะเซียนราชันย์พำนักลอยอยู่เหนือน้ำมหาสมุทร ค่อยๆ ขยับเคลื่อน ควันที่อยู่เหนือนั้นลอยหมุน นกกระสาเซียนโบยบิน บรรยากาศสมดั่งแดนเทพ 

 

 

หนึ่งในเกาะที่ลอยอยู่ มีหญิงสาวในชุดชาววังสีม่วงทั้งตัวผู้หนึ่งกำลังเดินอยู่ด้วยท่าทีเบื่อหน่ายเต็มประดา พู่ประดับสีเขียวอ่อนที่แขวนอยู่บนเอวห้อยระย้า ขับเน้นให้ผิวช่วงเอวดูขาวผ่องขึ้น 

 

 

เสียงกระพือปีกดังแว่วเข้ามา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นก็เห็นนกพิราบวิญญาณสีขาวตัวหนึ่งกำลังบินมายังนาง 

 

 

หญิงสาวยกมือขึ้น นกพิราบวิญญาณก็นอนลงบนนิ้วมืออันขาวเนียนดั่งเนื้อหยกของนาง แล้วจิกลงบนฝ่ามือนางอย่างสนิทสนม 

 

 

“เสี่ยวอิน อย่าซนสิ มีข่าวอะไรมาบอกข้าอีกหรือ” หญิงสาวพูด เสียงกังวานใสราวกับเสียงกระดิ่ง แม้นางไม่ได้ยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับไหลผ่านน้ำเสียงออกมาไม่ขาดสาย 

 

 

นกพิราบวิญญาณยกขาซ้ายขึ้น ราวกับกำลังเรียกร้อง 

 

 

เมื่อแสงวิญญาณที่อยู่บนปลายนิ้วหญิงสาวเฉียดผ่านขาขวานกพิราบวิญญาณ แผ่นหยกเล็กๆ แผ่นหนึ่งก็ปรากฏบนมือ บนนั้นมีอักษรอยู่ไม่กี่ตัวเขียนไว้ว่า ‘คุณหนู พบชายผู้นั้นแล้ว ตอนนี้พักชั่วคราวอยู่ที่หอบรรลุเซียน’ 

 

 

หญิงสาวยิ้มออกมาเงียบๆ แล้วพูดพึมพำว่า “หนิงหลาน เจ้าแพ้แน่” 

 

 

เกาะเซียนราชันย์พำนักเป็นเกาะลอยที่มีชื่อของหลิวโจว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้า สำนักบำเพ็ญเพียรซู่ซินบนเกาะเองก็รับเฉพาะผู้หญิง 

 

 

สำนักซู่ซินแม้จะสืบทอดมาเพียงสองพันปี แต่กลับแข็งแกร่งและดำรงอยู่อย่างซ่อนเร้น  

 

 

ว่ากันว่าปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักซู่ซิน คือปรมาจารย์หลอมยาผู้มีความสามารถอันน่าทึ่งท่านหนึ่ง ได้เหลือตำรับยาและวิธีการหลอมโอสถอันล้ำค่าไว้ ให้เหล่าบรรดาสานุศิษย์ในสำนักซู่ซินสามารถกินโอสถต่างๆ มากมาย เพื่อเพิ่มความเร็วในการบำเพ็ญ 

 

 

สำนักซู่ซินยังมีลักษณะแปลกพิเศษอย่างหนึ่ง ในทุกรุ่น จะเลือกสามคนให้เป็นว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ และว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนนั้นจะต้องผ่านการทดสอบต่างๆ ผู้ชนะคนสุดท้ายจะได้เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักซู่ซิน และได้รับมอบแซ่ ‘มั่ว’ 

 

 

ลูกศิษย์ทุกคนแห่งสำนักซู่ซิน ต่างคิดว่าจะสามารถสืบทอดแซ่ของปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งได้ เป็นเกียรติยศอันสูงส่งหาที่เปรียบมิได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในขณะเดียวกันยังสามารถสืบทอดศาสตร์และเคล็ดวิชาการหลอมยา 

 

 

ดังนั้นในการแข่งขันคัดเลือกเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละรุ่น ล้วนแต่เป็นไปอย่างดุเดือด 

 

 

หญิงสาวในชุดสีม่วงผู้มีเสียงเสนาะหูและ ‘หนิงหลาน’ ที่นางกล่าวถึง ก็คือสตรีอีกคนผู้เป็นว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ 

 

 

หญิงสาวในชุดสีม่วงทอดสายตาออกไป คิดถึงสิ่งที่ตนค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

หนิงหลานเพื่อรับการทดสอบของสำนัก จึงไปยังเสวียนโจวกว่าจะกลับก็เนิ่นนาน หลังจากนางกลับมาแล้ว ในฐานะคู่ปรับที่คุ้นเคยของนาง กลับพบว่านางมีบางอย่างที่ผิดปกติ มักจากเหม่อลอยอยู่ลำพังคนเดียวบ่อยๆ 

 

 

มีวันหนึ่ง นางลอบเข้าไปในห้องของหนิงหลาน ก็พบรูปวาดด้วยหมึกที่ยังไม่แห้งผืนหนึ่ง ชายบนภาพวาดทำให้นางสบายใจจนยิ้มออกมา 

 

 

ที่แท้ นี่ก็คือจุดอ่อนของหนิงหลาน แล้วไยนางจะไม่ช่วยหนิงหลานตามหาเล่า 

 

 

การฝึกบำเพ็ญคู่กับบุรุษ ก็เท่ากับเป็นการสละโอกาสในการเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์โดยอัตโนมัติ ถึงขั้นอาจจะต้องย้ายออกจากเกาะราชันย์พำนักไปใช้ชีวิตที่อื่น อย่างเช่นลูกศิษย์ทั้งหลายที่กระจายอยู่ในเมืองหลิวเยียน  

 

 

นี่คือกฎเกณฑ์ที่สืบทอดกันมานับพันปี ไม่มีใครได้รับการยกเว้น  

 

 

หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเหยียดมุมปากยิ้ม เดินตัวเบาท่ามกลางเมฆหมอก ค่อยๆ ไกลห่างออกไป 

 

 

ในวันต่อมา ว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักซู่ซินทั้งสามคนก็ได้รับการทดสอบใหม่ แต่ละคนจะต้องไปยังร้านค้ากิจการสักแห่งนอกเกาะสำนักซู่ซิน เพื่อเรียนรู้ว่าจะสร้างธุรกิจได้เช่นไร  

 

 

และที่ซึ่งหนิงหลานไป ก็คือหอบรรลุเซียน 

 

 

อีกด้านหนึ่ง มั่วชิงเฉินเดินเข้าห้องแล้วก็บิผนึกยันต์ส่งสารหมื่นลี้ให้แตกออก และโผไปยังเตียงเตรียมนอนสักตื่น 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา 

 

 

“ศิษย์น้อง ข้าเข้าไปได้หรือไม่” 

 

 

มั่วชิงเฉินกำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปเปิดประตู ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ สีหน้านางแดงก่ำ แล้วพูดออกไปอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ได้!” 

 

 

คนนอกประตูอึ้งไป เห็นชัดเจนว่าคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ 

 

 

แม้จะมีประตูคั่นกลาง สายตาของมั่วชิงเฉินกลับมองเห็นเยี่ยเทียนหยวนที่ยืนนิ่งอยู่นอกประตูได้ ดูไปแล้วทั้งเซ่อซ่าทั้งน่าสงสาร 

 

 

ไม่รู้ด้วยเหตุใด ใจกลับอ่อน เดินเข้าไปเปิดประตูพูดอู้อี้อยู่หนึ่งคำ “ศิษย์พี่ มีอะไรหรือ” 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเด็กโชคร้ายผู้นี้สังเกตสีหน้าและคำพูดอย่างไม่เข้าใจ เมื่อครู่เพิ่งจะปฏิเสธไปแท้ แต่เมื่อมั่วชิงเฉินถามขึ้นเช่นนี้ ก็ได้แต่ตอบกลับไปอยากสัตย์ซื่อ “ศิษย์น้อง ข้าอยากนอนกับเจ้า” 

 

 

เสียงดังขึ้นปัง ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง มั่วชิงเฉินพูดแว่วมาว่า “ไม่เอา” 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลูบจมูก รู้สึกมืออุ่นไปทั้งแถบ เมื่อยกขึ้นดูก็พบว่าบนนิ้วเต็มไปด้วยเลือด เขายิ้มเอ่ยเสียงขมขื่น “ศิษย์น้อง เจ้าหมายจะสังหารสามีตนหรือ” 

 

 

ประตูถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง มั่วชิงเฉินยื่นมือไปดึงเยี่ยเทียนหยวนเข้ามา หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้เขาเบาๆ แล้วพูดขึ้นอย่างจนใจ “ท่านตอบสนองเชื่องช้าเสียเหลือเกิน แม้แต่ประตูก็ยังหลบไม่ทัน!” 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกะพริบตาปริบๆ ทำเพียงกุมมือมั่วชิงเฉินพลางหัวเราะร่า 

 

 

เด็กโง่ หากหลบพ้น เจ้าก็ไม่ให้ข้าเข้ามาสิ 

 

 

เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาของเยี่ยเทียนหยวนร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินก็แดงไปทั่วทั้งหน้า นางเอ่ยไปว่า “ศิษย์พี่ ท่านอย่าพูดอะไรเหลวไหล เวลาเช่นนี้ไม่อาจจะ…” 

 

 

ยังไม่ทันขาดคำร่างกายก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนโอบเอาไว้ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ทำไมหรือ” 

 

 

เขารู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้างจริงๆ พวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้วแท้ๆ ทุกครั้ง ต่างก็มีความสุขด้วยกันทั้งนั้น แล้วไยนางจึงปฏิเสธ 

 

 

หรือว่า…นางจะรังเกียจที่เขาลีลาไม่ได้เรื่อง 

 

 

ในขณะที่เยี่ยเทียนหยวนกำลังคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ก็เกิดรู้สึกเสียใจขึ้นมาฉับพลันที่ในตอนนั้นไม่ได้ซื้อตำราสูตรลับประจำตระกูลจากถังมู่เฉินไว้ 

 

 

บางทีการพบกันครั้งนี้ น่าจะลองถามเขาดูว่าขายมันไปแล้วหรือยัง… 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าความคิดของเยี่ยเทียนหยวนเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนแล้ว แต่รู้ว่าเรื่องนี้ไม่พูดให้แจ่มแจ้งนั้นไม่ได้ นางขบฟันแน่น แล้วพูดเรื่องละครเร้าใจที่อีกาไฟรับชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายออกมา 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเองก็ตกใจ สักครู่ใหญ่จึงพูดตอบว่า “ศิษย์น้อง มันเป็นสัตว์อสูรของเจ้า พวกเราตอน…ตอนนั้น ทำไมเจ้าไม่ตัดการเชื่อมต่อพวกมันกับโลกภายนอกเล่า” 

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นเพราะสองเหตุผล อย่างแรกคือนับแต่มันและเขาน้อยคอยติดตามข้า ข้าไม่เคยคิดจะตัดขาดสัตว์อสูรอย่างสิ้นเชิงไว้แต่ในถุงสัตว์อสูร สองก็คือ ข้าและอู๋เย่ว์ได้ลงชื่อในพันธสัญญาเสมอภาค จึงไม่อาจจำกัดเรื่องเช่นนี้ได้” 

 

 

เมื่อนึกถึงชีวิตกับศิษย์พี่ในอนาคต ว่าจะต้องมีอีกาตัวหนึ่งคอยเคียงข้างเสมอ มันจะแอบมองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสันดานนกที่เชื่อถือไม่ได้นั่น มั่วชิงเฉินก็รู้มืดแปดด้าน  

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเองก็รู้สึกกลุ้มใจ ไม่สามารถอยู่กับคู่บำเพ็ญได้เพราะอสูรวิญญาณ เกรงว่าใต้หล้านี้จะมีเพียงแค่คู่พวกเขาเท่านั้น 

 

 

“ศิษย์น้อง ข้าอยากคุยกับอู๋เย่ว์” 

 

 

“ไว้ค่อยกลับมาคุย ข้ากำลังฟักไข่อยู่!” ในถุงสัตว์อสูร เสียงอันหนักแน่นของอีกาไฟดังแว่วออกมา 

 

 

พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองได้แต่มองหน้ากัน นึกขึ้นมาได้ว่าทั้งสองลืมเรื่องส่งเสียงไปเสียสนิท… 

 

 

ในวันต่อมา หู่โถวเห็นเยี่ยเทียนหยวนออกมาจากห้องข้างๆ สีหน้าอิดโรย ก็แอบรู้สึกแปลกใจ ตนไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ให้นอนห้องเดียวกัน และยังไม่ได้ไปเคาะประตูเรียกกลางดึกด้วย นี่เขาเป็นอะไรไปน่ะ 

 

 

มั่วชิงเฉินเดินออกมาจากอีกห้อง หู่โถวตามเข้าไปพบ แล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ชิงเฉิน ข้าคิดว่าลั่วหยางมีบางอย่างผิดปกตินะ” 

 

 

มั่วตบฝ่ามือเขาเบา “ไม่ใช่เรื่องของเจ้าหรอก” 

 

 

ทั้งสามเดินลงไปชั้นล่าง ก็เห็นเงาร่างในชุดสีฟ้าทั้งตัว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็หันกายกลับมาราวกับว่ารับรู้ได้