ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 116 ประกาศ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สวีโหย่วหรง เป็นชื่อที่ทั่วทั้งใต้หล้าต่างล่วงรู้ ทว่าไม่มีผู้ใดจะรู้สึกสลับซับซ้อนขณะได้ยินชื่อนี้มากไปกว่าเฉินฉางเซิง

เมื่อปีนั้นขณะเห็นรายชื่อบนหนังสือสมรสเป็นครั้งแรกที่วัดเก่าเมืองซีหนิง อายุของเขายังคงเยาว์วัยอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องราวมากเท่าไหร่ รับรู้ถึงความเขินอาย เป็นธรรมดาที่จะจินตนาการถึงว่าที่ภรรยาในอนาคต หญิงสาวที่มีชื่อเช่นนี้จะมีรูปร่างลักษณะเช่นไร มีเส้นผมยาวสลวยกับจิตใจที่อบอุ่นงดงามหรือไม่

ภายหลังเป็นเพราะโชคชะตา เขาจึงไม่ได้คิดไปถึงหนังสือสมรสฉบับนี้ ชื่อนี้ก็ค่อยๆ ถูกลืมเลือน จนกระทั่งมาถึงจิงตู พานพบกับเรื่องราวมากมาย ชื่อนี้นำความอัปยศอดสูและความยากลำบากให้เขามากมาย เริ่มแรกทำให้เขารู้สึกเกลียดชังเมื่ออยู่ที่โรงเตี๊ยม เริ่มทำให้เขาโกรธแค้นเมื่ออยู่ที่สวนรกร้าง ทว่าเมื่อเวลาที่สำคัญที่สุดอยู่ในตำหนักเว่ยยาง ชื่อนี้กลับปรากฏอยู่ข้างกายเขา

เขาชัดเจนยิ่งนัก ในจดหมายของนางเห็นด้วยที่จะสมรสกับตน จะต้องไม่ง่ายดายเหมือนที่เห็นภายนอกเช่นนี้ จะต้องมีเจตนาแอบแฝงอื่นอีก หรือที่บอกว่าเขาเป็นสามีในอนาคตแท้จริงแล้วเป็นข้ออ้าง แต่อย่างน้อยเวลานั้น นางช่วยเหลือเขา ครั้นแล้วชื่อนี้ก็ไม่น่ารังเกียจเท่าใดนัก แต่เขาก็ไม่ได้ชื่นชอบนางแต่อย่างใด

เช้าวันนี้ บนทางเดินก่อนหน้านี้ ประสบกับการเยาะเย้ยถากถาง ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับชื่อนี้ ชีวิตของเขาไร้หนทางที่จะสลัดความกดดันและเงามืดที่มากับชื่อนี้ออกไปได้

หรือว่าเขาจะต้องขอบคุณนาง…ไม่ ตอนนี้เขาคิดมีเพียงแค่การสอบใหญ่ ต้องต่อสู้เปลี่ยนแปลงโชคชะตานี้ ถ้าหากสามารถเหนือกว่านางได้ นำความรู้สึกทั้งหมดที่มากับชื่อนี้บดให้แตกละเอียด เขาจะต้องยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ในมุมมองของผู้อื่น นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้

ลั่วลั่วได้เข้าใกล้เจ้าแล้ว ข้ายังห่างจากเจ้าอีกไกลเท่าไหร่

เฉินฉางเซิงชักสายตากลับจากตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ ทอดมองไปยังทิศใต้อันไกลโพ้น ครุ่นคิดเงียบๆ

เสียงของตำหนักประกาศการศึกษาไม่ได้ดังขึ้นอีก การเปลี่ยนแปลงของประกาศชิงอวิ๋นในปลายฤดูใบไม้ร่วงอย่างฉับพลันได้สิ้นสุดลงแล้ว กลุ่มฝูงชนที่อยู่ด้านข้างทางเดินทั้งสองกลับไม่ได้แยกย้ายไปที่ใด อาจารย์ของสำนักหลายแห่งก็มิได้เร่งรัดให้พวกนักเรียนกลับไปเข้าเรียน

เฉินฉางเซิงยังคงยืนอยู่บนทางเดิน

ผู้คนในจิงตูต่างทราบดี สำนักฝึกหลวงมีนักเรียนเพียงสี่คน และในประกาศอันดับใหม่ของประกาศชิงอวิ๋นในวันนี้ ก็มีนักเรียนสามคนอยู่ในประกาศ อันดับสูงสุดก็คือองค์หญิงลั่วลั่วจากอันดับเก้าได้เปลี่ยนมาอยู่อันดับสอง! ไม่ว่าจะนำจำนวนนักเรียนของสำนักฝึกหลวงกับจำนวนคนที่อยู่ใบประกาศมาเปรียบเทียบตำแหน่งกัน สำนักฝึกหลวงเป็นสำนักมีชัยชนะเหนือสุดในประกาศชิงอวิ๋นอย่างไม่ต้องสงสัย สำนักเทียนเต้า หอจงซื่อ และบรรดาสำนักไม้เลื้อยก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้ ถึงแม้จะเป็นสำนักต้นไหว สถานศึกษาหนานซี จนกระทั่งพรรคฉางเซิงที่เฉิดฉายในไม่กี่ปีนี้ก็ไม่อาจโดดเด่นเท่าสำนักฝึกหลวง!

ผู้คนทั้งหมดต่างจับจ้องมาที่เฉินฉางเซิง

เขาเป็นนักเรียนคนแรกของสำนักฝึกหลวง ก่อนที่เขาจะปรากฏตัว สำนักฝึกหลวงเงียบวิเวกเป็นสุสาน จนกระทั่งใกล้จะหายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์แม่น้ำยาวเพราะไม่สามารถรับนักเรียนใหม่ได้มาหลายปี และหลังจากการปรากฏตัวของเขา สำนักฝึกหลวงปรากฏออกมาด้านหน้าผู้คนอีกครั้ง พลันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบเชียบแล้ว

ใช่แล้ว หนุ่มน้อยผู้นี้ไม่อาจชำระล้างกระดูกได้สำเร็จ ไม่อาจบำเพ็ญเพียร เดิมทีไร้คุณสมบัติที่จะเข้าไปอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ทว่าในการวิเคราะห์ของประกาศชิงอวิ๋นชัดเจนอย่างยิ่ง สิ่งที่เรียกว่าโอกาส สิ่งที่เรียกว่าอาจารย์ยอดเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ต่างก็ชี้ไปถึงสิ่งใด สำนักฝึกหลวงสามารถโดดเด่นจนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะเขา!

หนุ่มน้อยเช่นนี้เป็นสิ่งของไร้ประโยชน์ที่ผู้คนเยาะหยันก่อนหน้านี้จริงหรือ ก็เป็นดังเช่นที่ยามเช้าโก่วหานสือได้กล่าวไว้ ถ้าหากเขาเป็นคางคก เช่นนี้นักเรียนพวกนี้นับเป็นอะไรเล่า คนเช่นนี้จะเกาะชายกระโปรงสตรีหรือ จะต้องการหยิบยืมพลังอำนาจขององค์หญิงลั่วลั่วกับหนังสือสมรสแผ่นเดียวถึงสามารถยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ได้หรือ

ก่อนหน้านี้ซูม่ออวี๋กล่าวว่าเขามิได้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เช่นนี้คำว่าแข็งแกร่งสุดท้ายแล้วกำหนดว่าเป็นอย่างไรกัน

ถังซานสือลิ่วจ้องมองกลุ่มนักเรียนหอจงซื่อ จ้องเขม็งไปยังนักเรียนผู้ที่เย้ยหยันสำนักฝึกหลวงเมื่อตอนเช้ามากเป็นพิเศษ แสยะยิ้มพลางเอ่ยว่า “คนที่สายตาไร้แวว ถึงแม้จะปีนป่ายไปยังชั้นบนสุดของสุสานเทียนซู หนึ่งตัวอักษรก็คงไม่เข้าใจ”

นักเรียนผู้นั้นสีหน้าขาวซีด

“…นี่ถึงจะเรียกว่าสุภาษิต หรือว่าคำพังเพย”

ถังซานสือลิ่วจับจ้องไปยังกลุ่มฝูงชน ใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยต่อเนื่อง คำพูดโต้ตอบของเขาแฝงไปด้วยความหมายอย่างชัดเจน หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อย คนจำนวนมากในจิงตูต่างกำลังเย้ยหยันเฉินฉางเซิงเป็นคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์ เช้าวันนี้ก็ยังมีคนเอ่ยถึง จนกระทั่งคำพูดล้อเล่นนี้ใกล้จะกลายเป็นคำพังเพยเสียแล้ว

ข้างทางเดินเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

เวลานี้เอง เฉินฉางเซิงอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

“เจ้าเพิ่งจะพูดว่าแข็งแกร่งที่จริงแล้วเป็นอย่างไร…”

เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เขาจ้องมองซูม่ออวี๋ ท่าทางของนักเรียนสำนักจวนราชวังหลีเปลี่ยนฉับพลัน คิดว่าเขาจะเยาะหยันซูม่ออวี๋เหมือนกับถังซานสือลิ่ว

ผู้คนทั้งหมดต่างเหนือความคาดหมาย เป็นเพราะเขามิได้ทำเช่นนั้น เขาเอ่ยว่า “เจ้าพูดมาที่จริงแล้วมีเหตุผล ข้าสามารถทำให้สหายแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทว่าถ้าหากไม่อยากเป็นภาระพวกเขา ที่จริงแล้วตนก็จะต้องเปลี่ยนเป็นยิ่งแข็งแกร่ง ข้าหวังว่าเมื่อการสอบใหญ่มาถึง ข้าสามารถเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย เมื่อถึงเวลานั้นแล้วค่อยพบกันอีก”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาประสานมือคารวะซูม่ออวี๋ แล้วหันกายมุ่งไปยังทางเดินข้างหน้า

ซูม่ออวี๋จ้องมองภาพด้านหลังของเขา ในท่าทางนั้นมีความรู้สึกเคารพเพิ่มมากขึ้น ประสานมือคารวะพลางกล่าวว่า “ไว้พบกันที่การสอบใหญ่”

เมื่อสองข้างทางไร้เสียงผู้คน ถังซานสือลิ่วรู้สึกสบายอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เมื่อการสอบใหญ่มาถึง เจ้าอยากพบก็คงไม่ง่าย จะต้องรู้ว่าเขาสามารถเอา…”

เฉินฉางเซิงมิได้หันไปมอง กล่าวว่า “เซวียนหยวน หยุดเขาเสีย”

ในใจตอนนี้ของเซวียนหยวนผ้อ เฉินฉางเซิงเป็นสหายร่วมสำนัก อีกทั้งเป็นอาจารย์และผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิต ถ้าหากจากการนับขององค์หญิง เขาก็จะเป็นอาจารย์ปู่ของตน เมื่อได้ยินประโยคนี้หาได้ลังเลแม้แต่น้อยไม่ ฝ่ามือที่ใหญ่ราวกับพัดยื่นออกไป ปิดใบทั่วทั้งใบหน้าของถังซาสือลิ่ว ใช้แรงแบกเขาขึ้นมา

“อื้อ…อื้อ…อื้อ…!”

จากความสามารถของถังซานสือลิ่ว เป็นธรรมดาที่จะสามารถโจมตีกลับเซวียนหยวนผ้อได้ เพียงแค่เขาจะลงมือหนักได้อย่างไร ถูกเซวียนหยวนผ้อปิดปาก เพียงชั่วพริบตาก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้ เพียงแค่ร้องอู้อี้ออกมา คิดแค่ว่าไร้หนทางจะนำประโยคอันเด็ดเดี่ยวนั้นประกาศให้ทั่วทั้งใต้หล้าได้รับรู้ ช่างยากจะยอมรับได้เสียจริง

เซวียนหยวนผ้อมิได้รู้สึกแย่ เขายินดีอย่างยิ่ง การอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นทำให้เขายินดีจนมิอาจควบคุมตนเองได้ กลับไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกมาอย่างไร กำลังวังชาของร่างกายและความเบิกบานยินดีไร้หนทางที่จะระบายออกมา แบกถังซานสือลิ่ววิ่งตะบึงออกไปยิ่งนานยิ่งเร็วขึ้น ยังคงตีหลังเขาอยู่บ่อยครั้ง เวลาไม่นานก็วิ่งมาด้านหน้าประตูใหญ่ของพระราชวังหลี

เฉินฉางเซิงยิ้มออกมา จึงวิ่งตามออกไป จินอวี้ลวี่หัวเราะตามไปข้างหลัง

แสงพระอาทิตย์อบอุ่น ความรู้สึกของฤดูใบไม้ร่วงลึกล้ำ พระราชวังหลีเงียบเชียบ หนุ่มน้อยทั้งสามวิ่งอยู่ในแสงยามเย็น ตะโกนร้องเรียกเสียงดังบ่อยๆ

ภาพนี้ร่วงหล่นในสายตาของผู้คนจำนวนมาก จนกระทั่งหลังจากหลายปีผ่านไปยังคงถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้ง

ไร้ผู้คนสังเกตเห็น ด้านบนบันไดหินที่ทอดยาวคล้ายกับเส้นทางการฝึกบำเพ็ญเพียร ด้านข้างราวจับชั้นบนสุดของตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ ลั่วลั่วกำลังมองพวกเขา แสงอาทิตย์ยามเย็นร่วงกระทบบนใบหน้าเรียวเล็ก นางแย้มยิ้มอย่างเบิกบานมิอาจหาสิ่งใดเปรียบได้

นักเรียนของสำนักฝึกหลวงได้จากไปแล้ว กลุ่มฝูงชนด้านข้างทางเดินทั้งสองก็ค่อยๆ ทยอยจากไป นอกจากเสียงฝีเท้าก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ แม้แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่มี เพราะผู้คนจำนวนมากกำลังตกตะลึง มีผู้คนจำนวนมากกำลังครุ่นคิด

ตกตะลึงที่คนของสำนักฝึกหลวงโดดเด่นในประกาศชิงอวิ๋นมีจำนวนนักเรียนมากที่สุดกว่าทุกสำนัก มีอาจารย์และนักบวชของพระราชวังหลีจำนวนมากยังคงตกในห้วงแห่งการครุ่นคิด พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องคิดมากกว่าหนุ่มน้อยทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้จึงก่อเกิดความไม่เข้าใจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหอความลับสวรรค์ประกาศการวิเคราะห์ออกมา ทำให้พวกเขาคิดไม่ตก

มิใช่เป็นเพราะความสงสัย แต่เป็นเพราะผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์วิเคราะห์พวกเขาทั้งสามแห่งสำนักฝึกหลวงิที่อยู่ในประกาศของชิงอวิ๋นช่างน่าแปลกประหลาด

ดังเช่นเซวียนหยวนผ้อ ไม่เคยต่อสู้แต่กลับได้อยู่บนประกาศ เหตุผลก็คือเพราะคาดหวังเอาไว้ในอนาคต นี่จะต้องดึงดูดการถกเถียงจำนวนไม่ถ้วน หอความลับสวรรค์กลับมิได้ใส่ใจแม้แต่น้อย และดังเช่นเหตุผลการอยู่ในประกาศของถังซานสือลิ่วกับองค์หญิงลั่วลั่ว หอความลับสวรรค์คล้ายกับว่าคิดทะลุไปถึงการใช้ประโยชน์ในการชี้แนะของเฉินฉางเซิง

มีคนกระทั่งคิดไปถึงความเป็นไปได้เลือนราง

ฤดูใบไม้ร่วงวันนี้ประกาศชิงอวิ๋นเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ถึงแม้จะเป็นเพราะองค์หญิงลั่วลั่วมีพละกำลังแบบก้าวกระโดดจนทำให้ผู้คนตกตะลึงก็ตาม ทว่าในเวลาเดียวกันหอความลับสวรรค์ก็ปรารถนาจะให้ทั่วทั้งต้าลู่ทราบถึงการมีอยู่ของเฉินฉางเซิงอย่างนั้นหรือ

ถ้าหากนี่เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นนี่เป็นเพราะเหตุใดเล่า

ในเวลาที่ผู้คนกำลังจะกระจายกันกลับไป อยู่ๆ ก็มีเสียงแก่ชราอยู่ในป่าดังขึ้น

“พวกเจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าตอนสุดท้ายนั่นถังถังปรารถนาจะเอ่ยสิ่งใด เขาอยากจะบอกพวกเจ้าว่า…”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผู้คนที่เตรียมจะผละจากไปจึงหยุดเท้าลง

เสียงแก่ชรานั้นได้กล่าวต่อ “…เฉินฉางเซิงได้ตัดสินใจว่าจะเป็นบุรุษที่เอาอันดับแรกประกาศแรกในการสอบใหญ่”

ในป่าทั่วทั้งผืนเสียงดังเกรียวกราวอื้ออึง!

เฉินฉางเซิง…จะเอาประกาศแรกลำดับแรกของการสอบใหญ่!

ผู้คนตกตะลึงงงงันหันไปมองทางเสียงนั้น

ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา อยู่ภายใต้การประคองของอาจารย์ซินเดินออกมาจากป่าลึก

ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่รู้ว่าใช้ชีวิตมากี่ปีแล้วจนร่างกายค่อมโก่งเช่นนี้ ทั่วทั้งใบหน้าของผู้อาวุโสถูกรอยเหี่ยวย่นปกปิดไว้จนด่างพร้อยเต็มใบหน้า ทว่ากลับมิอาจปกปิดความปลื้มปีติยินดีและความเบิกบานใจที่อยู่บนใบหน้าไว้ได้

เป็นความปลื้มปีติยินดีและความเบิกบานใจที่มีต่อเฉินฉางเซิง

ทุกคนต่างรีบทำความเคารพ มิกล้าเมินเฉยแม้แต่น้อย ใบหน้ายังคงมีความตกตะลึงและแฝงไปด้วยความไม่อยากเชื่อหลังจากประโยคได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ของใต้เท้ามุขนายก

ถึงแม้วันนี้สำนักฝึกหลวงโดดเด่นในประกาศชิงอวิ๋นจะเกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิง ทว่าก็เป็นดังเช่นซูม่ออวี๋กล่าวไว้ เฉินฉางเซิงเองก็ยอมรับเช่นนั้น การสอบใหญ่ถึงที่สุดแล้วตนก็จะต้องลงสนาม เฉินฉางเซิงขณะนี้แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ แล้วจะรับมือกับการสอบใหญ่ที่จะมาถึงนี้ได้อย่างไร ไม่ว่าจะขบคิดเช่นไร การที่เขาจะเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรกก็ไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องพูดถึงอันดับแรกประกาศแรก!

นักบวชฮั่วใบหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนลึกในตากลับปรากฏความตกตะลึง ยังมีสายตาของอาจารย์และนักบวชพระราชวังหลีที่จับจ้องมาอีกหลายคู่ มองเห็นต่างฝ่ายต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่เข้าใจ ตอนนี้คล้ายกับว่าใกล้จะได้รับคำตอบ ใช่แล้ว มีคนคิดว่าการแสดงออกที่การชุมนุมไม้เลื้อย ความกดดันที่มาพร้อมกับหนังสือสมรสที่สวีโหย่วหรงมอบให้เฉินฉางเซิงยังไม่เพียงพอ เป็นดังคลื่นใต้น้ำที่คอยล้นทะลักอยู่ข้างใต้จิงตูเงียบๆ ต้องการที่จะทะลุทะลวงพื้นดินที่แข็งแรงเข้ามา

เพียงแค่ทั้งหมดทั้งมวลนี้สุดท้ายเป็นเพราะเหตุใด

ใต้เท้ามุขนายกจ้องมองกลุ่มผู้คนเอ่ยต่อ “มิได้มีหลักการอะไร และก็ไม่ต้องการเหตุผลอะไร เขายังคงเอ่ยว่าตนสามารถอยู่อันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ได้ ข้าเชื่อมั่นว่าเขาสามารถทำได้”

ผู้คนข้างทางเดินต่างมิกล้ายืดตัวลุกขึ้น

นักบวชฮั่วกับนักบวชในพระราชวังหลีต่างก็นั่งคุกเข่าคารวะ

ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ใต้เท้ามุขนายกในเมื่อกล่าวเช่นนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงรับฟัง

เมื่ออยู่ด้านหน้าของใต้เท้ามุขนายก ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม ไม่มีใครกล้าสงสัย

แต่คำประกาศที่ใต้เท้ามุขนายกกล่าวแทนสำนักฝึกหลวงรวมถึงเฉินฉางเซิง ก็คงจะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งพระราชวังหลี ทั่วทั้งเมืองจิงตู จนกระทั่งทั่วทั้งต้าลู่ในเวลารวดเร็ว เมื่อถึงเวลานั้น จะต้องมีคนจำนวนมากที่เหยียดหยาม ดูถูก เยาะหยันรวมทั้งโกรธแค้นต่อคำประกาศนี้ อีกทั้งความรู้สึกเหล่านี้ก็จะต้องร่วงหล่นมายังสำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิง

ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง

ทั้งหมดทั้งมวลนี้สุดท้ายแล้วเป็นเพราะเหตุใด