ทำไมหรือ
เจียงหลียิ้มและพูดเสียงเบา “อีกไม่นานก็รู้แล้ว”
ลู่เสวียนเม้มปาก พยักหน้าไม่พูดจา
“ฮ่าๆๆ…”
จงเจิ้งเหยี่ยหัวเราะแล้วเดินมาทางพวกเขา เจียงหลีหลบสายตา เดินถอยไปด้านหลังแบบเงียบๆ ซึ่งดูไม่โดดเด่น
“หยวนหวัง ยินดีต้อนรับสู่เมืองชิ่งตู” ท่าทีของจงเจิ้งเหยี่ยก็ดูถ่อมตัวและสุภาพเสมอ ท่าทีที่แสดงออกตลอดทาง ทำให้เจียงหลีต้องยอมรับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักการทูตโดยเฉพาะ
ขณะที่ไป๋เซี่ยงไท่ ยังคงมีสีหน้าเช่นเดิมเดิม ในระหว่างทางเกือบจะไม่เคยมาเป็นฝ่ายสนทนากับลู่เสวียนก่อนเลยและมิได้ทำสีหน้าอะไรที่ดีนัก
ใบหน้าของลู่เสวียนมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น เอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “ใต้เท้าจงเจิ้งเหยี่ย พิธีต้อนรับยิ่งใหญ่มาก ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
“หยวนหวังถ่อมตัวไปแล้ว ท่านฐานะสูงศักดิ์ พวกท่านเหมาะสมที่จะได้รับพิธีตอนรับอย่างสูงสุดจากชาวเป่ยโหรว” จงเจิ้งเหยี่ยยิ้มกริ่มเอ่ย
ลู่เสวียนยิ้มอย่างถ่อมตัว เอ่ยถามขึ้นอย่างอำเภอใจ “อ่อ เช่นนั้นหรือ ข้ามาเยือนใช้พิธีต้อนรับสูงสุดแล้ว หากเป็นจักรพรรดินีของเรามาเยือน เป่ยโหรวจะต้อนรับนางอย่างไร”
ถามได้ดี! เจียงหลีที่ยืนหลบสายตาอยู่ด้านหลังลู่เสวียน ชื่นชมสติปัญญาของลู่เสวียนในใจ
ประโยคลองเชิงนี้ ต่อให้เป็นคำตอบจากจงเจิ้งเหยี่ย แต่ก็สามารถคาดเดาเรื่องต่างๆ ได้มาก
มาถึงเมืองชิ่งตูแล้ว เจียงหลีไม่เชื่อว่าจงเจิ้งเหยี่ยจะไม่หลุดสิ่งที่คิดไว้ออกมาเลยแม้แต่น้อย
เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ หลังจากจงเจิ้งเหยี่ยได้ยินสิ่งที่ลู่เสวียนพูดจบ ก็หัวเราะอย่างออกรส “นี่…เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ของข้าทรงคิดพินิจ ในอาณาจักรจยาเซียน คนที่เหมาะสมจะได้รับการต้อนรับอย่างสูงสุดจากเป่ยโหรว มีเพียงหยวนหวังเพียงผู้เดียว”
หึ!
ดวงตาเจียงหลีมองต่ำ และมีแสงประกายอันดุดันกวาดผ่าน
ลู่เสวียนตกใจจนถอดสีหน้าทันที “เรื่องแบบนี้เอามาพูดส่งเดชไม่ได้”
การแสดงที่ยอดเยี่ยมของเขา ทำให้เจียงหลีเหลือบดวงตาขึ้น เพื่อสังเกตเขาอย่างรวดเร็ว ยิ้มบางๆเพื่อเก็บอารมณ์ และยืนรออยู่เงียบๆ
จงเจิ้งเหยี่ยก็ถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พูดกับลู่เสวียนว่า “หยวนหวัง ท่านไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“…” ไม่เป็นธรรมหรือ อะไรไม่เป็นธรรม!
ลู่เสวียนมึนงงเล็กน้อย
แต่จงเจิ้งเหยี่ยก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดต่อ เขาเดินนำลู่เสวียนเดินเข้าประตูเมือง เพื่อให้รับรู้ถึงการต้อนรับที่เป็นมิตรของราษฎรเป่ยโหรว
ลู่เสวียนเดินไปถึงตรงหน้าของหญิงรับใช้ผู้งดงามที่ถืออ่างทองแดงไว้อยู่ จงเจิ้งเหยี่ยส่งสัญญาณ ล้างมือเอาทรายออก แล้วรับสุราชั้นยอดมาดื่ม เพื่อคลายความเหนื่อยล้า หลังจากนั้น ก็เดินไปเหยียบผ้าสีแดง เดินเข้าประตูเมืองชิ่งตู
“หยวนหวัง ท่านนี้คือเฉิงหวัง เป่ยเหมินเจวี๋ย วันนี้ เฉิงหวังเป็นตัวแทนของฮ่องเต้มาต้อนรับหยวนหวัง” จงเจิ้งเหยี่ยที่ยืนข้างลู่เสวียน แนะนำเขา
ลู่เสวียนมองไปทางชายหนุ่มวัยกลางคนที่ยืนตรงข้ามเขา รูปร่างสูงใหญ่ ลมปราณมีพลัง ลักษณะดูเข้มแข็งอดทน ดวงตาดูสงบนิ่ง ทำให้มีความรู้สึกว่าน่าเกรงขามและน่าเคารพยำเกรง
“ที่แท้ก็คือเฉิงหวัง!” ลู่เสวียนยกมือขึ้นแสดงความเคารพ ตอนมา เจียงหลีส่งคนให้มาอบรมเขาเกี่ยวกับข้อมูลของเป่ยโหรว
เฉิงหวังผู้นี้เป็นน้องชายร่วมมารดาของฮ่องเต้เป่ยโหรว สองพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เมื่อสมัยนั้นเป่ยเหมินเวยฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวสามารถขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น ก็เพราะได้รับการช่วยเหลืออย่างสุดกำลังจากเฉิงหวังผู้นี้
เฉิงหวังเป็นจุดกำเนิดของมังกร แล้วยังมีกองทัพทหารครึ่งหนึ่งของเป่ยโหรวอยู่ในมือ เป็นบุคคลที่มีอำนาจอย่างแท้จริง เป็นผู้มีฐานะสูงส่งของเป่ยโหรว เป็นรองเพียงฮ่องเต้เป่ยโหรวเท่านั้น
บุคคลเช่นนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะมาต้อนรับลู่เสวียนด้วยตนเอง ความเป็นมิตรโดยเกินความเหมาะสมนี้ ทำให้คนที่แอบมองทั้งหมดอยู่อย่างเจียงหลีรู้สึกว่าเป่ยโหรวคิดทำการณ์ใหญ่มิน้อย
“หยวนหวังเดินทางมาไกล ตลอดทางคงลำบาก ภายในวังจัดงานเลี้ยงต้อนรับไว้แล้ว รอคอยให้หยวนหวังเดินทางมาถึง เวลานี้ยังเช้าอยู่ เชิญหยวนหวังไปพักที่เรือนรับรองสี่ทิศก่อน เมื่อถึงเวลาแล้ว ข้าจะนำหยวนหวังเดินทางไปพร้อมกับข้า” เฉิงหวังฐานะสูงส่ง หากพูดตามความจริงไม่จำเป็นต้องพูดกับหวังที่อายุน้อยอย่างลู่เสวียนแบบเกรงใจเช่นนี้ก็ได้ โดยเฉพาะลู่เสวียนที่แทบจะไม่มีอำนาจอะไรในมือ แต่ว่า เขายังคงสามารถวางมาด มาต้อนรับตามพิธี โดยมิได้กลั่นแกล้งกัน
เป่ยโหรวแสดงถึงความเป็นมิตรครั้งแล้วครั้งเล่า หากเปลี่ยนเป็นอีกคนมา เกรงว่าจะต้องซึ้งใจจนต้องหลั่งน้ำตาแล้ว เจียงหลีคิดในใจ
“ทั้งหมด ล้วนทำตามที่เฉิงหวังจัดการ” ลู่เสวียนก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงความผิดปกติออกมา
แต่ก่อนจากไป เขารู้ตัวและจ้องไปที่เจียงหลีแวบหนึ่ง
คาดไม่ถึงว่า การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของเขานั้น กลับอยู่ในสายตาของเฉิงหวัง สายตาที่นิ่งเฉยมองไปที่เจียงหลี “แม่นางคือ…”
อึก!
ลู่เสวียนมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อยทันที สถานะของเจียงหลีนั้นไม่ธรรมดา ถึงแม้ตอนนี้การปลอมตัวของนางจะดูแยบยลมาก แต่หากถูกเปิดโปง เกรงว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาได้ “นางคือนางกำนัลรับใช้ข้างกายข้า คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายมาหลายปีแล้ว”
“เช่นนี้เอง” ดวงตาของเฉิงหวังมีประกายเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏให้เห็นรอยยิ้มบางๆ
เจียงหลีย่อเข่าลงอย่างนิ่งๆ แสดงออกถึงสิ่งที่หญิงรับใช้ควรปฏิบัติ
“ได้รับความเอ็นดูจากหยวนหวัง แม่นางต้องมีความสามารถเหนือผู้ใด ในเมื่อแม่นางได้ตามหยวนหวังมาถึงเป่ยโหรว ก็ไม่ต้องทำตัวมีพิธีรีตองมาก ทำตัวเสมือนแขกคนหนึ่งของเป่ยโหรวเถิด” เฉิงหวังเอ่ย
“ขอบพระทัยเฉิงหวังเพคะ” เจียงหลีก้มหัว ภายในใจกลับยิ่งรู้สึกแปลก เป็นกับลู่เสวียนก็ช่างเถอะ แต่ทำไมกับบ่าวรับใช้เยี่ยงนาง ทำไมต้องต้อนรับดีเช่นนี้ด้วย
“จริงสิ เจ้ามีนามว่าอะไร” เฉิงหวังจู่ๆ ถามขึ้น
เจียงหลีเงยหน้าขึ้น มองไปยังดวงตาที่ดูสงบนิ่งและลึกซึ้งคู่นั้นของเขา พูดชื่อที่ตนเองขึ้นไว้แล้วอย่างใจเย็น “เซ่าจวินเพคะ”
“ใช่ นางนามว่าเซ่าจวิน” ลู่เสวียนเปิดปากพูด อยากจะดึงดูดความสนใจมาไว้ที่ตัวเขาเอง
“เซ่าจวินหรือ เป็นชื่อที่ดี” เฉิงหวังหัวเราะ สุดท้ายก็เบี่ยงสายตาออกจากเจียงหลี
เซ่าจวิน เป็นชื่อที่เจียงหลีตั้งขึ้นมา
เดิมที นางคิดจะใช้แซ่ลู่ แต่แซ่นี้มันดึงดูดความสนใจมากเกินไป ทำให้เป็นจุดสนใจได้ง่าย ดังนั้น นางเลยใช้สถานะของตนเองเสียเลย ซึ่งเป็นคำพ้องเสียงคำว่า จวิน ที่แปลว่าฮ่องเต้ เพื่อเป็นการบอกใบ้ถึงสถานะของตนเอง
…
กลุ่มคนจากราชวงศ์จยาเซียนเดินตามเฉิงหวังไปยังเรือนรับรองเป็นขบวนใหญ่
หลังจากจัดการเรื่องรับรองเสร็จ เฉิงหวังเป่ยเหมินเจวี๋ยเรียกจงเจิ้งเหยี่ยมาที่ลับตาคน เอ่ยถามอย่างเบาเสียง “ส่งคนไปตรวจสอบ คนข้างกายของหยวนหวังว่าแม่นางเซ่าจวินปรนนิบัติเขามาหลายปีจริงหรือไม่”
จงเจิ้งเหยี่ยรู้สึกลำบากใจ “ท่านเฉิงหวัง ราชวงศ์จยาเซียนมีการกวาดล้างภายในถึงหลายครั้ง คนที่พวกเราส่งไปสืบก็ถูกจับได้จำนวนไม่น้อย ลู่เสวียนคนนี้ก็ดูเก็บตัวเงียบๆ มาโดยตลอด หากจะสืบเรื่องนี้เกรงว่าจะใช้เวลาไม่น้อย”
เป่ยเหมินเจวี๋ยคิ้วกระตุก สีหน้าดูผิดไป
จงเจิ้งเหยี่ยก็สังเกตเห็นสีหน้านั้น จึงรีบเอ่ยถามขึ้น “ท่านเฉิงหวังสงสัยในตัวเซ่าจวินหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยเหมินเจวี๋ยค่อยๆ พยักหน้า “แค่รู้สึกว่า ลู่เสวียนดูใส่ใจนางเป็นพิเศษ”
“หากเป็นเช่นนี้…” จงเจิ้งเหยี่ยลังเลชั่วครู่ ถึงจะเอ่ย “ไปสอบถามกับท่านชายจิ่งได้หรือไม่ เขาอยู่ในอาณาจักรจยาเซียนมาหลายปี คงจะรู้เรื่องราวของตระกูลลู่ละเอียดกว่าพวกเรา”
“เขาหรือ” เป่ยเหมินเจวี๋ยสายตาดุดันและพูดอย่างดูหมิ่น “ลองไปถามดู”
จงเจิ้งเหยี่ยพยักหน้า “ข้าจะรีบหาโอกาสไปถามท่านชายจิ่งด้วยตนเองอย่างเร็วที่สุด”
“อืม ก่อนที่จะรู้ความจริงทั้งหมด ส่งคนไปคอยจับตาเซ่าจวินนั้นไว้” เป่ยเหมินเจวี๋ยกำชับ
…
ความมืดยามค่ำคืนมาเยือน โคมไฟในชิ่งตูถูกจุดให้สว่าง และดูคึกคักไม่น้อย
ลู่เสวียนนั่งอยู่บนรถม้า มองความคึกคักบนท้องถนนอย่างอยากรู้อยากเห็น เป่ยเหมินเจวี๋ยไปส่งเขาด้วยตนเอง และมุ่งหน้าไปยังพระราชวังของเป่ยโหรว…
………………………………….