ตอนที่ 19 กลับวิหารหลวง (2)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

“พระเจ้า…”

เลออนมองวิหารหลวงที่อยู่ไกลๆ อย่างสติหลุด หรือพูดให้ชัดคือเมื่อเห็นร่างที่อยู่เหนือวิหารหลวง ส่วนราธบันที่อยู่ด้านข้างก็กำลังมองสิ่งที่เขาจ้องอยู่ด้วยใบหน้าแข็งทื่อเช่นกัน

ร่างขนาดเล็กปรากฏตัวเหนือวิหารหลวง แม้จะเห็นไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าของร่างนั้นคือแอสรันกับลีน่า เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจคือร่างของปีศาจขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่ด้านหลังแอสรันกับลีน่าต่างหาก

สิ่งที่เป็นไม่มากไปกว่าพลังในตอนที่ออกมาจากเกาะของจอมเวทคราแรก บัดนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แม้จะยังเป็นเพียงแค่เงาสะท้อนของร่างเดิม แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นตัวตนที่บดขยี้ทุกสิ่งได้

“นั่นเป็นร่างเดิมของแอสรันที่ทำลายวิหารเป็นเสี่ยงๆ หรือ”

ได้ยินเสียงของเลออนดูเหมือนกำลังเคี้ยวทรายขณะพูด ราธบันก็เข้าใจจิตใจของเขา ภาพของวิหารต่างๆ ที่ถูกทำลายที่เขาเห็นระหว่างเดินทางมาวิหารหลวงพลันผุดขึ้นมาในหัว ภาพฉากอันน่าสยดสยองทำให้ราธบันเข้าใจว่าการทำลายล้างที่สมบูรณ์แบบเป็นเช่นไร มันไม่ใช่แค่การที่อาคารต่างๆ ของวิหารพังทลาย แอสรันยังใช้พลังเวทที่เหนือกว่าของเขาทำให้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่บนพื้นของวิหารที่เป็นจุดที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกัน แปดเปื้อนอย่างสมบูรณ์

วิหารทุกแห่งถูกสร้างขึ้นบนสถานที่ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์มารวมตัวกันตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ดินแดนที่พลังศักดิ์สิทธิ์หายไปเพราะแปดเปื้อนพลังเวทของแอสรัน จะไม่มีวันก่อตั้งวิหารขึ้นมาได้อีกเป็นหนที่สอง

ราธบันจ้องวิหารหลวง แม้จะอยู่ห่างออกไป แต่เสียงโหวกเหวกโวยวายของคนในวิหารหลวงก็ยังคล้ายจะได้ยินมาถึงตรงนี้

‘ตั้งใจจะถล่มกระทั่งวิหารหลวงเลยหรือ’

นั่นจะเป็นไปได้จริงหรือ ขณะที่พวกเขากำลังจ้องมองอย่างครุ่นคิด เหนือวิหารหลวงพลันมีแสงสีครามในรูปร่างครึ่งวงกลมปรากฏขึ้น

“นั่นคืออะไร”

เลออนเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ราธบันตอบกลับทันที

“ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน…แต่วิหารหลวงมีพลังที่คอยปกป้องตัวมันเองอยู่ มันเป็นเกราะป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์”

“…ให้ตายเถอะ เพราะอย่างนี้ต่อให้จักรวรรดิข่มขู่ วิหารหลวงถึงได้ไม่เคยฟังเลย”

เลออนเสยผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดราวกับเพิ่งเข้าใจตอนนี้เอง

ราธบันมองวิหารหลวงอีกครั้งพลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่

หลังจากรู้ว่าคาร์ลลักพาตัวอีริสไประหว่างที่เขาต่อสู้กับเฮกซ่า ราธบันก็พาอัศวินที่เหลืออยู่มุ่งหน้ามาวิหารหลวง

‘เขาจะต้องหลอกใช้งานเหมือนอย่างลีน่าอีกแน่’

อีริสได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์มาอย่างกะทันหันโดยที่ไม่รู้อะไรเลย พอคิดว่าคาร์ลจะหว่านล้อมนางผู้นั้นแล้วใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไปตามที่เขาต้องการ ราธบันก็ไม่อาจข่มความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาได้ เรื่องราวต่างๆ ที่ลีน่าพบเจอกลายเป็นภาพวาดที่ชวนให้อารมณ์แย่ขึ้นมาในหัวของเขา คาร์ลคงพยายามจะวาดภาพแบบเดิมขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่แม้แต่จะเหน็ดเหนื่อย สาเหตุที่เขาอึดอัดใจไม่ใช่เพียงแค่นั้น

พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อีริสครอบครองเป็นของลีน่าอย่างแน่นอน อันที่จริงพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นสมควรจะเคลื่อนไหวไปตามประสงค์ของนาง เขาไม่ต้องการให้คนอื่นใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของนางอีกต่อไปแล้ว

ขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปทางวิหารหลวงอย่างขยันขันแข็ง ราธบันก็เจอเลออนกับหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิ ช่วงเวลาสั้นๆ พลันเกิดความตึงเครียดระหว่างพวกเขา แต่ไม่นานทั้งสองก็ตระหนักได้ว่าหากตอนนี้พวกเขาสู้กันเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

เพราะไม่ว่าจะสู้กับแอสรันหรือคาร์ล แค่ฝ่ายเดียวก็เกินกำลังแล้ว

หลังจากต่างคนต่างอธิบายสั้นๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ทั้งสองก็พาอัศวินใต้บังคับบัญชาของตนมุ่งหน้าไปยังวิหารหลวง และระหว่างนั้นก็ได้เห็นภาพที่วิหารต่างๆ ถูกทำลายล้าง บรรดาผู้รอดชีวิตจากวิหารต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน

“นักบุญหญิงผู้เหลวแหลกพาปีศาจที่ชื่อแอสรันมาทำลายทุกอย่างแล้ว! พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์! เขาตัดบ่อกำเนิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ไปหมดแล้ว! ตอนนี้ ดินแดนนี้ก็คงกลายเป็นที่ซ่องสุมของพวกปีศาจแล้ว!”

ได้ยินดังนั้น ราธบันและเลออนต่างก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ สมควรแล้วที่นักบุญหญิงจะโกรธเกรี้ยว แต่มันกะทันหันเกินไป เมื่อคิดถึงลีน่าที่เห็นมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ความโกรธนี้มันแผดเผาอย่างรุนแรงและรวดเร็วเกินไป ราธบันจำได้ทันทีว่าเขารู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์เช่นนี้เมื่อใด

หลังจากสลบไปครั้งหนึ่ง จู่ๆ นักบุญหญิงก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ราธบันจำนักบุญหญิงคนก่อนได้ นางมอบการดูแคลนหลังจากสั่งให้เขาคว่ำหน้าคลานเข่าเยี่ยงสุนัข ตอนนี้ความเกลียดชังนี้เหมือนกับที่นางมีในตอนนั้นไม่ผิด

‘กลับไปเป็นเหมือนก่อนอีกครั้งหรือ?’

ราธบันเก็บความสงสัยนั้นไว้และวิ่งไปทางวิหารหลวงกับเลออน และสิ่งที่เขาได้เห็นก็คือภาพเหตุการณ์ในตอนนี้

ราธบันมองเกราะที่ทำขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปกคลุมวิหารหลวงอยู่ สุดท้ายแล้วเจ้าสิ่งนั้นจะสกัดกั้นแอสรันได้จริงหรือ?

ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ราธบันที่สงสัยอย่างนั้น ทันทีที่เกราะพลังศักดิ์สิทธิ์ก่อรูปร่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ จู่ๆ ร่างของแอสรันที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันมีเสียงลมพัดแรง พร้อมกับเผยพลังเวทสีแดงออกมา ฉับพลันมันกลายเป็นลูกไฟขนาดเท่าบ้าน ก่อนจะลอยเข้าหาเกราะของวิหารหลวงอย่างรวดเร็วทันที

***

ตอนที่ฉันถูกช่วงชิงอำนาจในการควบคุมร่างกายไป เป็นตอนที่กำลังมีสัมพันธ์กับแอสรัน

จู่ๆ สายตาก็มืดลง ทุกอย่างถูกย้อมเป็นสีดำ ตอนที่ได้สติขึ้นอีกครั้ง ฉันก็ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดต่างจากที่คิดว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาจะอยู่ในอ้อมกอดของแอสรัน แม้จะสงสัยว่าเข้ามาในจิตสำนึกของอีเบลลีน่าระหว่างฝันหรือเปล่า แต่ไม่นานภาพฉากต่างๆ ที่นางเห็นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน

ฉันจึงทำได้เพียงจ้องมองภาพที่วิหารต่างๆ ถูกถล่มหลังจากที่อีเบลลีน่าทำให้สัญญาที่ทำกับแอสรันเสร็จสมบูรณ์โดยที่ร่างกายถูกพรากไปอย่างนั้น

คงเป็นเพราะเป้าหมายไม่ใช่การเข่นฆ่านักบวช อีเบลลีน่าจึงเพียงสั่งให้แอสรันสร้างมลทินให้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และทำลายวิหารเท่านั้น ไม่ได้สนใจผู้คนที่หลบหนีไปเลยแม้แต่น้อย

และตอนนี้ก็กำลังเผชิญหน้ากับวิหารหลวง

‘ทุกคนควรจะหนีไปเสียสิ’

แต่หากทำเช่นนั้นก็รักษาได้เพียงชีวิต วิหารหลวงจึงเลือกที่จะสู้กับแอสรัน ฉันมองเกราะป้องกันที่สร้างขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์ เกราะใสที่มีรูปร่างเหมือนกำแพงแก้วหนากำลังขวางการเข้าออกทั้งหมด ด้วยเหตุนั้น แม้จะมีคนที่วิ่งหนีออกมาจากวิหารหลวงด้วยความตกใจ และทุบกำแพงเพื่อจะออกไปด้านนอก แต่มันก็เปล่าประโยชน์

‘หากปล่อยไว้เช่นนี้…’

แน่นอนว่าเกราะนั้นสกัดกั้นการโจมตีของแอสรันได้บ้าง แต่มันจะสามารถสกัดกั้นไปได้จนจบหรือ?

ระหว่างที่ทำลายล้างวิหารอื่นๆ ในแผ่นดิน ไม่ว่าพลังเวทของเขาจะอ่อนแอลงไปเพียงใด แต่ฉันคิดว่าสุดท้ายแล้วแอสรันจะทำลายเกราะนั้นได้ หากเป็นเช่นนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฉันมองเข้าไปในเกราะอีกครั้ง

วิหารหลวงเป็นสถานที่ที่รับและรักษาผู้ป่วยจำนวนมากกว่าวิหารอื่นๆ ผู้คนที่อยู่ในนั้นจะต้องตายไปอย่างนั้นโดยไม่มีแม้แต่โอกาสให้หลบหนีเป็นแน่

ฉันหวนนึกถึงชีวิตก่อนที่ตอนนี้ได้เลือนรางไปแล้ว ชีวิตที่ทั้งวันได้แต่นอนรอวันตายโดยไม่อาจออกไปไหนได้เลย แม้ว่าในอนาคตฉันอาจจะต้องใช้เวลาที่เหลือเหมือนอย่างเช่นตอนนั้น แต่ฉันก็ไม่เคยอยากจบชีวิตด้วยฝีมือใครอื่น ที่ไม่ใช่โรคที่ฉันเป็นอยู่เลย

ฉันตะโกนไปทางความมืด

“อีเบลลีน่า!”

เสียงของฉันหายไปท่ามกลางความมืดโดยไม่มีแม้แต่เสียงสะท้อน

“อีเบลลีน่า! ปล่อยผู้คนไป!”

ท่ามกลางความมืดที่ไร้คำตอบกลับเช่นเดิม ฉันตะโกนเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

“สิ่งที่เธอต้องการคือคาร์ลกับวิหารไม่ใช่เหรอ! คนพวกนั้นไม่ผิดเลยนะ!”

“สิ่งที่ข้าต้องการคือคาร์ลกับวิหารอย่างนั้นหรือ?”

หลังจากช่วงชิงร่างไป นี่เป็นครั้งแรกที่อีเบลลีน่าตอบกลับเสียงเรียกของฉัน ไม่รู้ว่าเพราะอ่านความคิดของฉันได้หรือไม่ น้ำเสียงเยือกเย็นไร้อารมณ์ของนางจึงดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าคิดว่าถูกชิงร่างไปนี่เอง แต่พูดให้ถูกคือข้าเอาร่างกลับคืนมาต่างหากเล่า”

“…”

ได้ยินคำพูดของอีเบลลีน่า ฉันก็ไม่อาจเถียงกลับได้เลย เพราะคำพูดของนางถูกต้อง ชีวิตของฉันได้จบลงแล้ว การที่ฉันได้รับชีวิตของอีเบลลีน่ามาเป็นโชคที่ได้รับมาอย่างโชคดีเพราะนางเลือกฉัน

ของที่ได้รับมาอย่างกะทันหันโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นหากจู่ๆ สักวันหนึ่งมันจะหายไปก็สมควรแล้ว แต่น้ำตากลับเริ่มคลอ ลำคอพลันตีบตันขึ้นมา

ฉันรู้ว่านี่เป็นความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวและไร้ยางอาย เพราะมันเป็นแค่ของที่ยืมมาใช้ แต่ฉันกลับคิดราวกับว่ามันเป็นของตัวเอง ทว่าฉันยังอยากใช้ชีวิตของนางต่อไป

“…ฉันเป็นคนเปลี่ยน”

ฉันรู้จุดจบของอีเบลลีน่า หากเป็นตามเรื่องราวเดิม นางถูกลิขิตให้ถูกอีริสช่วงชิงทุกอย่างไป และต้องถูกเผาตายท่ามกลางสายตาเยือกเย็นของราธบัน เลออนและแอสรัน

ทว่าทิศทางทั้งหมดเบี่ยงไปแล้ว ถึงแม้อีริสจะได้พลังศักดิ์สิทธิ์ไป แต่ราธบัน เลออน และแอสรันต่างก็รักฉัน และพยายามจะปกป้องฉันมากกว่าใคร แม้จะยังไม่รู้ว่าอีเบลลีน่าจะมีจุดจบอย่างไร แต่สิ่งที่มั่นใจได้ตอนนี้คือนางจะไม่พบจุดจบที่ต้องถูกเผาตายท่ามกลางเปลวเพลิงของพิธีเผาประหารชีวิตอีกต่อไป ดังนั้น…ฉันต้องการย้ำเตือนว่าเพราะความพยายามของฉัน โชคชะตาของนางจึงเปลี่ยนไป

“ฉันเปลี่ยนอนาคตของเธอ ฉัน… ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!”

ความรู้สึกที่อยากมีชีวิตต่อส่งผลให้ฉันแผดเสียงตะโกนออกไปสุดกำลัง ได้ยินเสียงของฉัน อีเบลลีน่าก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอีกครั้ง

“อืม ข้าก็คิดขอบคุณเจ้าอยู่หรอก ตอนเห็นเจ้าครั้งแรกยังคิดว่าจะทนได้ไม่เท่าไร…แต่กลับอดทนได้เป็นอย่างดี แล้วยังทำให้แอสรัน ราธบันแล้วก็เลออนมาอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้าได้อีก เพราะอย่างนั้นข้าถึงบรรลุเป้าหมายได้ง่ายกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก”

“เป้าหมาย? ทำลายล้างวิหารหลวงคือเป้าหมายของเธอเหรอ? แค่ฆ่าคาร์ลก็พอแล้วนี่นา! ทำไมคนที่ไม่มีความผิด…!”

“ไม่มีความผิดอย่างนั้นหรือ?”

อีเบลลีน่าถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ได้ยินดังนั้น ฉันก็ตอบกลับอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ใช่สิ คนที่มาวิหารเพื่อเข้ารับการรักษามีความผิดอะไรล่ะ? คนที่ทำผิดก็คือคาร์ล! ดังนั้นแค่ฆ่าเขา…!”

“แค่คาร์ลอย่างนั้นหรือ?”

ตอนนี้น้ำเสียงของอีเบลลีน่าดูเหมือนจะร้องไห้

“อย่ามาตลกนะ ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด”

“อะไรของเธอ…”

ขณะที่ฉันกำลังจะถามกลับอย่างไม่เข้าใจคำพูดที่บอกว่าผู้สมรู้ร่วมคิดของนาง น้ำเสียงอันไร้เรี่ยวแรงของอีเบลลีน่าพลันดังขึ้น

“…ข้าเป็นคนแรกอย่างนั้นหรือ?”

จู่ๆ ฉันก็รู้สึกมึนงงราวกับถูกค้อนกระแทกหัวขึ้นมาฉับพลัน

ฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของคาร์ล คิดว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากนักบวชที่ไม่เที่ยงธรรมและมีความโลภชั่วช้า แต่คาร์ลจะเป็นนักบวชคนเดียวที่มีจิตใจเช่นนั้นเหรอ? นักบุญหญิงที่มอบพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองให้โดยที่ไม่รู้อะไรเลยจะมีเพียงแค่อีเบลลีน่าคนเดียวเท่านั้นเหรอ?

ทุกคนคือผู้สมรู้ร่วมคิด คำคำนั้นทำให้ขนลุกซู่

จนถึงตอนนี้ มีนักบุญหญิงมาแล้วมากมาย และปัจจุบันนี้ วิหารหลวงก็ยังยืนหยัดอย่างหนักแน่นราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ใต้ล่างวิหารหลวงจะมีนักบุญหญิงมากเท่าไรที่ถูกฝังลงไปเงียบๆ

“เจ้าถามว่าการทำลายล้างวิหารหลวงคือเป้าหมายของข้าใช่หรือไม่ ใช่แล้ว ข้าจะทำลายวิหารทุกแห่งบนแผ่นดินนี้ มิให้พลังศักดิ์สิทธิ์สามารถคงอยู่ได้อีกเป็นหนที่สอง ไม่ให้มีพระกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้าอยู่บนแผ่นดินนี้อีก และ…”

อีเบลลีน่ากล่าวอย่างเฉียบขาดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“ไม่ให้มีสิ่งที่เรียกว่านักบุญหญิงปรากฏตัวขึ้นบนโลกนี้อีกต่อไป”

ชั่ววินาทีต่อมา พลังเวทของแอสรันก็พุ่งเข้าหาวิหารหลวงด้วยพลังงานอันเฉียบคม