บทที่ 391 การต่อสู้ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

“เธอ…”

เย่เทียนเฉินมองตงฟางเมิ่งด้วยความแปลกใจ เดิมทีเขาคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว ด้วยพลังการต่อสู้ของเขาในตอนนี้ไม่สามารถขวางการโจมตีของหลี่ชิวสุ่ยได้เลย ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ กระบี่ไท่อาซึ่งเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ เป็นหนึ่งในสิบกระบี่เทพบรรพกาล ท่ามกลางปราณกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปมีพลังอำนาจที่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจขวางกั้นคละเคล้าอยู่ แต่ยังไม่อาจฆ่าหลี่ชิวสุ่ยได้ ความสามารถของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ จากการคาดเดาของเย่เทียนเฉิน อย่างน้อยขอบเขตการบ่มเพาะของหลี่ชิวสุ่ยคงไปถึงระดับนักรบจอมราชันแล้ว หากเทียบกับตนและตงฟางเมิ่งยังสูงกว่าหนึ่งขอบเขต หากอยู่ในช่วงเวลาที่เย่เทียนเฉินสมบูรณ์ที่สุด บางทีเขาอาจได้สัมผัสกับสถานการณ์การต่อสู้สูสีได้ ยังพอฟัดพอเหวี่ยงกับหลี่ชิวสุ่ย แต่ตอนนี้เขาไม่มีพลังการต่อสู้แล้ว ทำได้เพียงโจมตีไปด้วยความคิดที่ว่าตนต้องตายแน่นอน

ในยามที่คนผู้หนึ่งมีความสามารถแข็งแกร่งและมีความโหดเหี้ยม เธอจะต้องกลายเป็นปีศาจแน่แล้ว ก็เหมือนกับหลี่ชิวสุ่ย เพื่อที่จะไล่ตามพลังที่แข็งแกร่งที่สุดจึงไม่เสียดายที่จะแลกกับทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อให้ต้องฝึกฝนวิชาฝ่ามือสลายกระดูกที่โหดเหี้ยมที่สุด ต่อให้ต้องทรยศเจ้าสำนัก หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์หรือฆ่าศิษย์น้องเล็กของตนด้วยมือตนก็ยังไม่เสียดาย

“นายจะไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว ตอนแรกฉันคิดว่าฉันไม่ต้องลงมือซะอีก!” ตงฟางเมิ่งกล่าวขัดคำพูดของเย่เทียนเฉินแล้วกรอกตาใส่

“ทำไงได้ล่ะ ฉันคนนี้ลงมือโหดเหี้ยมกับผู้หญิงไม่ได้ บางทีสวรรค์คงรักหยกถนอมบุปผาล่ะมั้ง!” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยักไหล่กล่าวด้วยท่าทางจนใจ

ตงฟางเมิ่งได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินพลันรู้สึกอยากจะซัดเจ้าหมอนี่ให้ตายจริงๆ รักหยกถนนบุปผา คำพูดเช่นนี้เย่เทียนเฉินยังพูดออกมาจากปากได้ พระอาทิตย์คงต้องขึ้นทางตะวันตกแล้วล่ะ

“เธอ…เธอสำเร็จวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกแล้วเหรอ?” หลี่ชิวสุ่ยมองฝ่ามือขวาของตน บนมือมีพลังภายในของฝ่ามือสลายกระดูกอยู่ชั้นหนึ่ง แต่กลับถูกซัดจนสลายไปแล้ว จึงได้แต่มองไปยังตงฟางเมิ่งแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจหาใดเปรียบ

“ศิษย์พี่ใหญ่ เห็นแก่ที่พวกเราเป็นศิษย์ร่วมสำนัก เรื่องในวันนี้ฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเธอ หวังว่าจากนี้ไปเธอจะไม่เหยียบย่างเข้ามาในพรรคสุสานโบราณอีกแม้แต่ครึ่งก้าว ไม่งั้นฉันจะจัดการทำความสะอาดพรรคแทนท่านอาจารย์เอง!” ตงฟางเมิ่งมองไปยังหลี่ชิวสุ่ยแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

หลี่ชิวสุ่ยชะงักไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมดุดัน ถลึงตามองไปยังตงฟางเมิ่ง เธอคิดไม่ถึงเลยว่าความลำพองใจของตนจะทำให้ศิษย์น้องฝึกฝนวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกสำเร็จในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ความสามารถและขอบเขตพลังเพิ่มขึ้นมาก บางทีอาจจะเหนือกว่าเธอหลี่ชิวสุ่ยไปแล้ว ตอนนี้เธอจะฆ่าสองคนนี้ได้อย่างไร? แล้วจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้เคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกมา?

“หึ คัมภีร์ดรุณีหยกจะฝึกสำเร็จง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวเหรอ? หากเธอฝึกสำเร็จแล้วจริงๆ ฉันก็อยากจะลองสักหน่อยว่าคัมภีร์ดรุณีหยกจะร้ายกาจเหมือนในคำเล่าลือหรือเปล่า!”

“ถ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วก็เข้ามาลองดูได้เลย!”

เพียงพริบตาเดียวทั่วทั้งอุโมงค์น้ำแข็งก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเป็นปรปักษ์ของผู้หญิงทั้งสอง หลี่ชิวสุ่ยโกรธจนปอดแทบระเบิด เพื่อที่จะได้รับคัมภีร์ดรุณีหยก เธอสิ้นเปลืองความคิดไปมาก ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้อาจารย์ตาย ฝึกฝ่ามือสลายกระดูกของตนจนถึงขั้นเก้าถึงจะกล้าบุกเข้ามาในพรรคสุสานโบราณ ในตอนที่บุกเข้ามาถึงอุโมงค์น้ำแข็งก็สามารถฆ่าตงฟางเมิ่งและเย่เทียนเฉินได้ทุกเมื่อ แต่หลี่ชิวสุ่ยกลัวว่าการกระทำนั้นจะไปกระทบสิ่งอื่น กลัวว่าจะไม่ได้รับเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกอีกจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก ตอนนี้ถึงกับถูกตงฟางเมิ่งถ่วงเวลาจนอีกฝ่ายฝึกคัมภีร์ดรุณีหยกสำเร็จ ไม่เพียงแต่ความลำบากทั้งหมดของเธอจะสูญเปล่า แต่ยังอาจจะถูกฆ่าอีกด้วย หลี่ชิวสุ่ยไม่หดหู่ไม่โกรธก็แปลกแล้ว

ส่วนตงฟางเมิ่งในตอนนี้ก็มีความคิดฆ่าฟันขึ้นมาแล้ว เย่เทียนเฉินที่อยู่ใกล้เธอไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เดิมทีตงฟางเมิ่งก็เป็นผู้หญิงที่เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งอยู่แล้ว ตอนนี้เธอยังมองไปที่หลี่ชิวสุ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอีก ทำให้เย่เทียนเฉินมีลางสังหรณ์ไม่ดี เนื่องจากเขาสัมผัสไม่ได้เลยว่าตงฟางเมิ่งฝึกคัมภีร์ดรุณีหยกสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้ตงฟางเมิ่งไม่เป็นอะไรเลย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น?

เพี๊ยะ!

หลี่ชิวสุ่ยไม่ใช่คนดีอะไร เป็นคนโหดเหี้ยมและยังฉลาดมากอีกด้วย เธอไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าพรสวรรค์ของตงฟางเมิ่งจะสูงส่งขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้เลยว่าในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้จะฝึกฝนวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกจนสมบูรณ์แบบได้ จะต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่นอน

เพี๊ยะ!

เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือสลายกระดูกที่เจือไปด้วยลมปราณชั่วร้ายอันมหาศาลที่ซัดลงมาของหลี่ชิวสุ่ย สัมผัสถูกสิ่งใดเพียงเล็กน้อยก็จะถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นของเหลวในพริบตา พลังฝ่ามือสลายกระดูกของหลี่ชิวสุ่ยถูกกระตุ้นไปจนถึงระดับเก้า เธอโกรธแล้ว ไม่มีความหวาดกลัวและไม่ออมมืออีกต่อไป ต้องการซัดตงฟางเมิ่งฝ่ามือเดียวให้ตาย เนื่องจากหากตงฟางเมิ่งฝึกคัมภีร์ดรุณีหยกสำเร็จแล้ว คนที่จะมีอันตรายถึงชีวิตก็จะเป็นเธอเอง

ซัดฝ่ามือเช่นเดียวกัน ต่อให้สัมผัสได้ถึงพลังฝ่ามือของหลี่ชิวสุ่ยที่โหมกระหน่ำมา ในตอนที่ยังไม่ได้ซัดลงมาก็ทำให้น้ำแข็งหมื่นปีในระยะ 100 เมตรรอบด้านทลายไปทั้งหมดแล้ว ตงฟางเมิ่งยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน แบมือขวาเป็นฝ่ามือ ลอบโคจรพลังภายในคัมภีร์ดรุณีหยก ก่อนจะซัดฝ่ามือออกไป

ตู้ม!

เสียงดังสนั่น มืองดงามดั่งหยกของผู้หญิงทั้งสองโจมตีเข้าด้วยกัน ไม่มีเสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะท้านดินและไม่มีภาพที่ทั้งสองถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป ในตอนที่ฝ่ามือซึ่งแฝงไปด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่งของหลี่ชิวสุ่ยและตงฟางเมิ่งโจมตีเข้าหากัน แขนเสื้อของพวกเธอทั้งสองก็โบกสะบัด ล้วนได้รับพลังฝ่ามือของแต่ละฝ่าย มองกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุดัน

ในใจของเย่เทียนเฉินลอบรู้สึกแปลกใจ แปลกใจที่ผู้หญิงสองคนนี้แข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นห่วงตงฟางเมิ่งด้วย ตอนนี้แม้ดูภายนอก ความสามารถตงฟางเมิ่งจะเพิ่มขึ้นมากในเวลาเพียงชั่วพริบตา และดูเหมือนไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง แต่ความกังวลเช่นนี้ของเย่เทียนเฉินกลับไม่อาจอธิบายได้ เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

หลี่ชิวสุ่ยขมวดคิ้ว ความจริงเธอรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ฝ่ามือนี้ของตนใช้พลังทั้งหมดแล้ว ฝ่ามือสลายกระดูกมีขอบเขตขั้นเก้า ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งจนไม่มีอะไรต่อต้านได้ ยิ่งไปกว่านั้นขอบเขตพลังของตนก็เหนือกว่าตงฟางเมิ่งอยู่หนึ่งระดับเต็มๆ แล้วยังสูงกว่าเล็กน้อย ความแตกต่างของขอบเขตพลังหนึ่งขอบเขตนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว นอกจากจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ผิดปกติเหมือนเย่เทียนเฉินที่สามารถต่อสู้ข้ามขอบเขตได้ ซึ่งอาจจะสามารถสู้กับคนที่มีขอบเขตการบ่มเพาะสูงกว่าตนได้ การต่อสู้ข้ามขั้นเช่นนี้ยากที่จะสัมผัสและยากที่จะทำได้ ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ดาวสิ้นโลกก็เคยทำได้โดยบังเอิญครั้งหนึ่ง เขาสังหารผู้แข็งแกร่งที่มีขอบเขตพลังสูงกว่าตนหนึ่งขอบเขตได้ เพียงแต่ภายหลังไม่ว่าเขาจะบ่มเพาะเช่นไรก็ไม่สามารถควบคุมได้อีก หากต้องการทำให้เกิดขอบเขตพลังที่สามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ทุกที่ทุกเวลานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ มีเพียงอยู่ในสถานการณ์เป็นพิเศษ อยู่ในความอันตรายถึงขั้นเป็นตายหรือในสถานการณ์ที่การต่อสู้อยู่เหนือความกล้าไปแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถเพิ่มพูนขอบเขตพลังความสามารถของตนได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา และสู้กับผู้แข็งแกร่งที่ร้ายกาจกว่าตนได้

“หรือว่าศิษย์น้องเล็กจะฝึกคัมภีร์ดรุณีหยกจนสมบูรณ์แล้วจริงๆ? ไม่งั้นเธอจะสกัดกั้นฝ่ามือที่มีขอบเขตพลังสูงกว่าเธอได้ยังไง?” ภายนอกหลี่ชิวสุ่ยไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ในใจลอบตื่นตระหนักขึ้นมาแล้ว

ตู้ม!

ขณะนั้นเอง ก้อนน้ำแข็งและกำแพงน้ำแข็งทั้งหมดที่อยู่ในอุโมงค์น้ำแข็งล้วนพังทลายจนสิ้น ทำให้เย่เทียนเฉินตกใจจนขมวดคิ้ว ผู้หญิงสองคนนี้ร้ายกาจจริงๆ ในตอนที่ฝ่ามือของพวกเธอปะทะกัน ดูผิวเผินเหมือนไม่มีการผันผวนของพลังและพลังภายในอะไรมากนัก แต่ความจริงกลับอัดแน่นไปทั่วทั้งอุโมงค์น้ำแข็งแล้ว เพียงแต่สองคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป พลังจึงหักล้างและรองรับกัน ทำให้เพิ่งจะส่งผลออกมาในตอนนี้ สั่นสะเทือนน้ำแข็งทั้งหมดที่อยู่ในอุโมงค์น้ำแข็งนอกจากโลงศพน้ำแข็งที่ถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางสุดซึ่งบรรจุศพของผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณและเจ้าสำนักฉวนเจินรุ่นที่สองเอาไว้

โลงศพน้ำแข็งนั้นแข็งแรงมาก ต่อให้เป็นน้ำแข็งภายในอุโมงค์น้ำแข็งทั้งหมด น้ำแข็งหมื่นปีมิแปรเปลี่ยน หรือน้ำแข็งที่ใช้ปืนยิงไม่ทะลุเหล่านั้น ต่างถูกพลังภายในอันมหาศาลทำให้สั่นสะเทือนไปแล้ว แต่โลงศพน้ำแข็งนั้นยังคงสมบูรณ์ไม่มีความเสียหาย กระทั่งการสั่นไหวเล็กน้อยก็ไม่มี บางทีผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณซึ่งเป็นผู้หญิงยอดเยี่ยมที่ทำให้ผู้คนต้องนับถือคงคิดถึงจุดนี้ไว้แล้ว จึงนำเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกส่วนสุดท้ายมาซ่อนไว้ใต้โลงศพโดยใช้กลไกบางอย่าง บางทีอาจมีสักวันหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของพรรคตัวเองหรือคนนอกพรรคที่ต้องการคัมภีร์ดรุณีหยกบุกมาแย่งชิง ดังนั้นจึงใช้พลังภายในที่บริสุทธิ์ที่สุดเสริมความแข็งแกร่งให้โลงศพน้ำแข็งจนยากจะทำลาย

ต่อไปเย่เทียนเฉินกลายเป็นผู้ชมโดยสิ้นเชิง การต่อสู้ของผู้หญิงทั้งสองดำเนินมาถึงจุดไคล์แม็กแล้ว ต่างก็ลงมือเต็มที่ ใช้พลังทั้งหมดมาต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตงฟางเมิ่งในตอนนี้ที่ระเบิดพลังการต่อสู้ออกมาทำให้เย่เทียนเฉินไม่กล้าจินตนาการโดยสิ้นเชิง ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน พลังความสามารถของตงฟางเมิ่งเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีอาการอะไรแม้แต่น้อย คัมภีร์ดรุณีหยกลึกล้ำไม่อาจคาดเดาจริงๆ

ฟิ้วๆ!

เคร้ง!

แรกเริ่มเดิมทีต่อสู้กันด้วยเพลงหมัดและฝ่ามือ สุดท้ายจึงค่อยมีประกายกระบี่ลุกโชน ในมือของหลี่ชิวสุ่ยและตงฟางเมิ่งต่างปรากฏกระบี่หยกขึ้นเล่มหนึ่ง ทั้งสองราวกับนางเซียนก็มิปาน เพลงกระบี่ยอดเยี่ยมงดงามเป็นอย่างมาก เพียงแต่ในความยอดเยี่ยมงดงามนี้ก็แฝงไปด้วยไอสังหารอันมหาศาล ทุกกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปต่างสามารถทำให้อากาศฉีกขาดได้

ตอนนี้ความสามารถของหลี่ชิวสุ่ยและตงฟางเมิ่งเท่าเทียมกัน ทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ร่วมสำนัก หากต้องการต่อสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะภายในเวลาสั้นๆ นั้นเป็นไปได้ยากมาก ตอนนี้เย่เทียนเฉินบาดเจ็บไปทั้งร่าง พลังภายในถูกใช้ไปมหาศาล หากต้องการเข้าร่วมการต่อสู้คงเป็นไปไม่ได้ สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ทำได้แค่มองอยู่เช่นนี้

ฉึก! ไหล่ซ้ายของตงฟางเมิ่งถูกแทงไปครั้งหนึ่ง

พลั่ก! หน้าอกของหลี่ชิวสุ่ยถูกซัดไปฝ่ามือหนึ่ง

ในตอนที่ทั้งสองหยุดมือลง ต่างก็มีเหงื่อท่วมตัว มือขวากำกระบี่หยกเอาไว้ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีดุดัน ทั้งสองต่อสู้กันมา 1 ชั่วโมงกว่าแล้ว ต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง ภายในอุโมงค์น้ำแข็งทั้งหมด นอกจากโลงศพน้ำแข็งก็ไม่มีน้ำแข็งแม้แต่ก้อนเดียวที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ นับว่าอุโมงค์น้ำแข็งแห่งนี้ถูกทำลายลงแล้ว

“คัมภีร์ดรุณีหยกร้ายกาจจริงๆ แต่ศิษย์น้องเล็ก เธอเพิ่งจะฝึกสำเร็จแต่ยังไม่สมบูรณ์ ความสามารถของฉันพอที่จะฆ่าเธอได้!” ระหว่างที่พูดหลี่ชิวสุ่ยก็แทงกระบี่หยกในมือลงบนพื้นในเวลาชั่วพริบตา

“วันนี้ฉันจะทำความสะอาดสำนักแทนท่านอาจารย์เอง ทำความปรารถนาสุดท้ายของท่านอาจารย์ให้สำเร็จ!” ตงฟางเมิ่งเองก็ปักกระบี่ลงด้านข้าง รวบรวมพลังภายในอันยอดเยี่ยมที่สุดของคัมภีร์ดรุณีหยกในฝ่ามือทั้งสอง เตรียมโจมตีครั้งสุดท้าย

“ฝ่ามือสลายกระดูกขั้นเก้า!”

“ดรุณีหยกเซียนร่ายรำ!”

เสียงอันไพเราะทั้งสองดังขึ้น ตงฟางเมิ่งและหลี่ชิวสุ่ยต่างใช้การโจมตีครั้งสุดท้ายออกไป ต้องการตัดสินแพ้ชนะ แต่ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังตงฟางเมิ่งก็เบิกตาทั้งสองกว้าง มองไปยังตงฟางเมิ่งแล้วตะโกนขึ้น “อย่าทำอะไรโง่ๆ…”

…………………