ภายในหีบมีม้วนหนังสัตว์สีเหลืองซีดที่ถูกผูกด้วยเชือกสีแดงที่ซีดไม่ต่างกันวางสงบนิ่งอยู่ ม้วนหนังสัตว์นี้ดูเก่าแก่โบราณเป็นอย่างยิ่ง
“ลงทุนใช้หุ่นมายาที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเพื่อปกป้องของสิ่งนี้น่ะหรือ ?!”
เมื่อเห็นม้วนหนังสัตว์ที่ก้นหีบ อสูรมายาทั้งหลายในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่ต่างก็อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
ไม่ว่าเจ้าสิ่งนี้จะเป็นอะไรก็ตาม ทว่าในสายตาของพวกมันหนังสัตว์ม้วนนี้ดูไม่น่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าของวิเศษอย่างใดได้เลย
ฉินอวี้โม่เองก็อึ้งไปเล็กน้อย นายหญิงคนงามเอื้อมมือลงไปหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้นมาจากหีบ
จากลักษณะของมันแล้ว ม้วนหนังสัตว์นี้น่าจะเป็นสารหรือจารึกหนังสัตว์ที่มีใช้กันในสมัยโบราณ
ไม่ทราบเช่นกันว่าจารึกเล่มนี้ทำมาจากหนังสัตว์ชนิดใด ทว่าเมื่อจับดูแล้วมันกลับให้ความรู้สึกที่นุ่มลื่นอย่างเหลือเชื่อ นอกจากนั้น ฉินอวี้โม่ยังรู้สึกได้ชัดเจนว่ามันกำลังส่งผ่านความร้อน ให้ความอบอุ่นแก่มือของนางอยู่ด้วย
เรื่องนี้ทำให้อดีตนักฆ่าจากศตวรรษที่ 21 ตกใจไม่น้อย หลังจากที่ถูกทิ้งไว้เป็นเวลายาวนาน ภายในถ้ำที่ค่อนข้างหนาวเย็นเช่นนี้ จารึกหนังสัตว์ม้วนนี้กลับรักษาอุณหภูมิไว้ได้ นี่คงเป็นความพิเศษอย่างหนึ่งของมันเป็นแน่ และมันแสดงให้เห็นว่าจารึกเล่มนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“นายหญิง ข้าว่ารีบเปิดดูข้างในกันเถอะ”
หงส์แดงผู้ใจร้อนอยากจะรู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร อสูรสาวจึงเอ่ยปากเร่งเร้าให้ผู้เป็นนายเปิดมันออกมา
ฉินอวี้โม่ค่อย ๆ คลายเชือกสีแดงที่ผูกอยู่ออก แต่เดิมนางคิดว่ามันจะต้องเป็นสารหรือจารึกที่ซึ่งจะต้องมีข้อความหรือลายแทงสำหรับบางอย่างเขียนหรือสลักไว้ ทว่าเมื่อคลี่ออกดูแล้ว นางก็พบว่าภายในนั้นว่างเปล่า ไม่มีรูปหรือข้อความ ไม่มีแม้แต่รอยหยดหมึก มีเพียงความเรียบลื่นที่เอ่ยได้ทันทีว่า มันคือแผ่นหนังสัตว์เปล่า
“โหย อะไรเนี่ย ?”
เสี่ยวเฮยที่อยู่ภายในมิติเชื่อมอสูรอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาด้วยความฮึดฮัดขัดใจ เจ้าม้าหนุ่มทั้งขุ่นเคืองทั้งเสียดาย ทว่าสิ่งที่มีอิทธิพลมากกว่าคือความงุนงงและสับสน
มีใครบางคนลงทุนอย่างมหาศาลด้วยการใช้ผู้พิทักษ์ระดับสูงส่งอย่างหุ่นมายาที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวเพื่อเฝ้ารักษาของบางอย่างเอาไว้ ไม่ว่าใครก็คงต้องคิดว่ามันจะต้องเป็นของที่วิเศษจนยากจะจินตนาการเป็นแน่ อย่างน้อยก็จะต้องเป็นเคล็ดวิชาลึกลับหรือลายแทงขุมสมบัติ ทว่าผลลัพธ์กลับกลายเป็นสิ่งไม่คาดฝัน…เพราะมันเป็นเพียงแผ่นหนังสัตว์ว่างเปล่า เรื่องนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งยวด
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ นางไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งแปลกปลอมหรือความแปลกประหลาดจากหนังสัตว์ผืนนี้ได้เลย ดูเหมือนมันเป็นเพียงแผ่นหนังสัตว์เปล่าธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีความพิเศษใด ๆ
อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์ของนาง การที่ของเช่นนี้มาปรากฏอยู่ภายในถ้ำลึกลับที่มีการป้องกันแน่นหนานี้ ย่อมต้องไม่มีทางเป็นเพียงหนังสัตว์ธรรมดา ๆ ไปได้
มันจะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่แน่ เพียงแต่นางยังค้นไม่พบเท่านั้น
คุณหนูตระกูลฉินเก็บผืนหนังสัตว์ไว้ภายในแหวนมิติก่อนจะกล่าว
“เอาล่ะ เราไปต่อกันเถิด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและก้าวเดินไปยังผนังถ้ำอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของปากทางเข้าอุโมงค์ทั้งสามแห่งที่จะนำพาเข้าไปในส่วนลึก
“นายหญิง พวกเราควรจะเลือกทางไหนดี ?”
หลังจากมองดูทางทั้งสามแล้ว หงส์แดงก็เอ่ยถามขึ้น
เส้นทางทั้งสาม ดู ๆ ไปก็คล้ายคลึงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะพยายามจ้องอย่างไรก็มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ผนังถ้ำตลอดทางเดินยาวสุดสายตาเต็มไปด้วยไข่มุกเรืองแสงสุกสว่างเหมือนทางที่พวกนางผ่านมาไม่ผิดเพี้ยน และไม่ว่าทางใดก็ดูจะลึกลับมากทั้งสิ้น
มารยาลองส่งพลังวิญญาณออกไปตรวจสอบด้านในของเส้นทางทั้งสาม ทว่าอสูรสาวก็ยังไม่พบสิ่งใดเลย อสูรจ้าวอาคมไม่สามารถแยกออกได้เลยว่าทั้งสามทางแตกต่างกันอย่างไร
“นายหญิง ข้าไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเส้นทางทั้งสามเลยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าพวกมันเหมือนกันทั้งหมด ถ้าจะมีข้อแตกต่างก็คงเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมาก”
มารยาทบอกฉินอวี้โม่ถึงสิ่งที่มันตรวจพบ เพราะไม่พบสิ่งใดที่เด่นชัดเลย ฉะนั้นแล้วอสูรแดนน้ำแข็งจึงไม่มีคำแนะนำดี ๆ ให้
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็ใช้พลังวิญญาณตรวจสอบภายในทางทั้งสามและไม่พบสิ่งใดเช่นกัน
“เหมือนว่าเราจะมีโอกาสเลือกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ทางมีทั้งหมดสามทางดังนั้นจึงเลือกได้ยาก มีโอกาสถึงแปดส่วนที่จะมีทางเดียวเท่านั้นที่พาเราไปยังจุดหมายปลายทางที่ถูกต้องได้ ส่วนอีกสองทางอาจจะนำไปสู่ความตายหรือไม่ก็มีอันตรายน่ากลัวรออยู่”
ยิ่งพินิจเส้นทางตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งเกิดความลังเล ทว่าหลังจากหลับตาลงและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่อยู่ด้านซ้ายสุด
ทว่า หลังจากก้าวเข้าไปในทางเดินนั้นได้เพียงไม่กี่ก้าว สองอสูรสาวและเจ้านายของมันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจำนวนหนึ่งกำลังตรงใกล้เข้ามา ในตอนนั้นเองที่เหล่าอสูรผู้รั้งรออยู่หน้าถ้ำก่อนหน้านี้ปรากฏตัวให้เห็น
“อาไป๋ ภูผาทมิฬ เพลิง พวกเจ้าเข้ามาได้อย่างไร ?”
หงส์แดงกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ ขณะยืนประกบข้างกายนายหญิง
“พวกเราตามเข้ามาหลังจากที่พวกเจ้าเข้าไปสักพัก เดิมทีพวกเราก็รอกันอยู่ด้านนอก แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่จู่ ๆ ม่านพลังที่ป้องกันปากถ้ำอยู่ก็หายไปเสียดื้อ ๆ พวกจึงอาศัยโอกาสนั้นเดินเข้ามาข้างใน”
อาไป๋เอ่ยอธิบายอย่างคร่าว ๆ
หงส์แดงพยักหน้าและไม่ถามไถ่สิ่งใดอีก
“ตรงนี้มีทางอยู่สามทาง พวกเราได้เลือกทางซ้ายสุดไปแล้ว พวกเจ้าอยากจะเดินทางร่วมกับพวกเราหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาเชิญชวนอาไป๋
“แน่นอน ขอบคุณมาก”
อาไป๋ยิ้ม อสูรหนุ่มไม่ปฏิเสธ
“เหอะ ! ข้าจะไม่ไปกับเจ้าหรอก”
ภูผาทมิฬกล่าววาจาเสียงเย้ยหยัน ดูเหมือนว่ามันจะไม่อยากติดตามฉินอวี้โม่ไป
“หึ ๆ ข้าก็ไม่ได้เชื้อเชิญเจ้าอยู่แล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ความตั้งใจจริงของนางคือชักชวนเพียงอาไป๋เท่านั้น ทว่าภูผาทมิฬตนนี้กลับหลงตนเองคิดว่านางกล่าวชวนมันด้วยเสียได้
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ สีหน้าของภูผาทมิฬก็เปลี่ยนไปทันที มันจ้องมองสตรีมนุษย์ตรงหน้าด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะทำท่าทางฮึดฮัดแล้วสะบัดหน้า เดินตรงไปยังทางเดินตรงกลาง
แน่นอนว่า ลิ่นพงไพร วิฬารหางสั้น และชะนีแขนยาวที่เป็นสหายของภูผาทมิฬต่างก็เลือกเส้นทางตรงกลางตามสหายตระกูลหมีไปด้วย
“เพลิง เจ้าอยากจะไปกับเราหรือไม่ ?”
หงส์แดงหันไปมองคชสารโลหิตพลางเอ่ยเชิญชวน ก่อนหงส์สาวจะกล่าวต่อ “ในถ้ำนี้เต็มไปด้วยอันตราย หากว่าเจ้าไม่คิดรังเกียจก็มากับพวกเราเถอะ อยู่รวมกันหมู่มากย่อมปลอดภัย เมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นพวกเราก็มีโอกาสรอดมากกว่า”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ไปด้วยกันย่อมปลอดภัยกว่า”
เพลิงพยักหน้ารับคำชวนของหงส์แดงอย่างรวดเร็วไม่คิดปฏิเสธ เพียงพลังป้องกันหน้าถ้ำยังทรงพลังถึงเพียงนั้น สิ่งที่อยู่ด้านในก็คงจะไม่ธรรมดาเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าคชสารโลหิตเห็นด้วยที่จะรวมกลุ่มกัน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ถัดจากนั้น คณะเดินทางอวี้โม่ที่ประกอบด้วยหนึ่งมนุษย์และหลายอสูรสวรรค์ระดับสูงก็มุ่งหน้าเข้าสู่อุโมงค์ด้านซ้ายสุดอย่างไม่ลังเล
เหตุผลที่ฉินอวี้โม่เลือกเส้นทางด้านซ้ายสุดเกิดจากความรู้สึกภายในใจล้วน ๆ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกำลังร้องเรียกหานางจากส่วนลึกของเส้นทางนี้ ในเมื่อไม่มีเบาะแสทางกายภาพใด ๆ เกี่ยวกับเส้นทางทั้งสามเลย เช่นนั้นแล้วการเชื่อในความรู้สึกจึงเป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่
….
หลังจากคณะเดินทางของฉินอวี้โม่ลับหายเข้าไปในทางด้านซ้ายสุดแล้ว บุคคลปริศนาผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาในโถงถ้ำ ณ จุดที่เคยเป็นที่ตั้งของรูปสลักหุ่นมายา
คนผู้นั้นมองดูเส้นทางทั้งสามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกเส้นทางด้านขวาแล้วผลุบหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ทราบเลยว่านอกเหนือจากพวกของตนและคณะของภูผาทมิฬแล้วก็ยังมีบุคคลปริศนาปรากฏตัวอย่างลึกลับในถ้ำแห่งนี้ด้วย
….
บนเส้นทางภายในทางอุโมงค์ด้านซ้ายสุด ฉินอวี้โม่และคณะกำลังมุ่งตรงไปข้างหน้า แม้จะไม่ได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วนักแต่พวกนางก็ยังไม่คิดจะหยุดพักเวลานี้
ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ยังไม่พบหรือรู้สึกถึงอันตรายใด ๆ ราวกับว่าอุโมงค์นี้ไม่มีสิ่งใดอยู่เลยและน่าจะเป็นอุโมงค์ที่ปลอดภัยมาก กระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านพ้น คณะเดินทางอวี้โม่ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้นั่นคืออุโมงค์แห่งนี้มีความยาวอยู่ไม่น้อย เพราะหลังจากเดินทางกันมาตลอดครึ่งชั่วยามโดยไม่หยุดพักก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นส่วนปลายของอุโมงค์หรือทางแยกใด ๆ ราวกับว่าเส้นทางนี้จะทอดยาวออกไปได้อีกเรื่อย ๆ นั่นทำให้สมาชิกในคณะทั้งหมดเริ่มขมวดคิ้วอย่างนึกฉงน
“อุโมงค์นี่แปลกมาก พวกเราก็เดินกันมาได้ไกลมากแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย”
อาไป๋โพล่งข้อสงสัยออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะหยุดเดินแล้วหันไปกวาดตาสำรวจพื้นที่รอบตัวอีกครั้ง ในตอนนี้ผนังทั้งสองด้านของถ้ำก็ยังคงเหมือนกับตอนก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน ไม่เพียงเท่านั้นแต่สภาพแวดล้อมทุกอย่างกลับยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
ฉินอวี้โม่เองก็หยุดฝีเท้าลง ตอนนี้นางเริ่มเอะใจในความผิดปกติดังที่อาไป๋กล่าวแล้วเช่นกัน
หงส์แดง มารยาและเพลิงต่างก็หยุดเดินและสังเกตสิ่งรอบข้างอย่างถ้วนทั่ว
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าพวกเราไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลยแต่กลับเดินวนซ้ำอยู่เส้นทางเดิมตลอด ?”
เพลิงตั้งข้อสังเกตที่ตรงใจทุกคนออกมา
ทันทีที่สิ้นเสียงของเพลิง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็พยักหน้า
“เช่นนั้นเราควรลองทำสัญลักษณ์เอาไว้สักจุดหนึ่ง แล้วลองเดินทางกันต่อดูอีกสักพัก”
ฉินอวี้โม่เสนอแนะ ก่อนจะทำสัญลักษณ์รูปกากบาทขนาดใหญ่ไว้บนผนังถ้ำด้านหนึ่ง
หงส์แดงและคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วยพลางจับจ้องจุดที่ฉินอวี้โม่ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เมื่อจดจำภาพของสัญลักษณ์ได้ขึ้นใจ คณะเดินทางอวี้โม่ก็ก้าวเดินไปบนเส้นทางข้างหน้าอีกครั้ง
หลังจากเดินทางต่อมาอีกสองก้านธูป ทันใดนั้นพวกเขาก็มองเห็นรูปกากบาทที่คุ้นตา นี่คือจุดที่ฉินอวี้โม่ทำสัญลักษณ์เอาไว้ไม่ผิดแน่ !
“ไม่น่าเชื่อ !”
เมื่อหงส์แดงเห็นสัญลักษณ์นั้นมันก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ สมาชิกคนอื่นเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน
พวกเขาเดินทางเป็นเส้นตรงกันมาสักพักใหญ่แล้ว และเดินทางไปข้างหน้าตลอดเวลา ไม่คิดเลยว่าจะเดินวนเวียนอยู่ที่เดิมเช่นนี้ ซึ่งนี่ก็หมายความว่าคณะเดินทางไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและพวกเขากำลังพบเจอสิ่งใดอยู่ ?
“นายหญิง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และมารยากำลังทอแววตาครุ่นคิด หงส์แดงก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงน
“ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิด อุโมงค์แห่งนี้น่าจะถูกวางข่ายอาคมเอาไว้ ที่พวกเรารู้สึกเหมือนกับว่าเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ความจริงแล้วพวกเราไม่ได้ก้าวไปไหนเลย และคงจะวนเวียนอยู่ตรงแถว ๆ ใกล้ ๆ ทางออกอุโมงค์”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งมารยาก็กล่าวถึงข้อสันนิษฐานของมัน
มันมั่นใจมากว่าภายในอุโมงค์นี้จะต้องมีข่ายอาคมที่ทรงพลังมากวางเอาไว้ เพราะแม้แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้อย่างมันก็ยังไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้เลยสักนิดในตอนแรก
“ข่ายอาคม !”
หงส์แดงและอสูรหนุ่มอีกสองตนผงะไป คำว่า ‘ข่ายอาคม’ สำหรับพวกมันเป็นคำที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว
หลายพันปีก่อน มีตระกูลมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่และเรืองอำนาจอยู่ภายในแผ่นดินนี้ ตระกูลยิ่งใหญ่นั้นถูกมนุษย์ทั่วไปเรียกขานติดปากว่า ‘ตระกูลจ้าวอาคม’ สมาชิกทุกคนในตระกูลนี้ล้วนฝึกฝนด้านการใช้อักขระแปลกประหลาดผสมผสานกับพลังมายา ซึ่งคนในตระกูลจะเรียกมันว่า*‘ข่ายอาคม’* ในยุคนั้นศาสตร์ด้านข่ายอาคมนี้ถือว่าเป็นเรื่องลึกลับและแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหมู่มวลมนุษย์หรือแม้แต่อสูรที่ได้รับรู้เรื่องนี้ต่างก็ตกใจและหวาดกลัวในพลังของข่ายอาคม
ยิ่งนานวัน คนในตระกูลจ้าวอาคมก็ยิ่งทรงพลัง พวกเขาคิดค้นและพัฒนาข่ายอาคมจนถึงขั้นที่สามารถใช้มันควบคุมจิตใจของมนุษย์ด้วยกันได้ ด้วยความพิสดารอย่างน่าหวาดหวั่นนี้ทำให้ขุมกำลังที่ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างก็ยำเกรง ไม่มีผู้ใดขวัญกล้าเข้าไปหาเรื่องยั่วยุคนตระกูลลึกลับนี้ บารมีของตระกูลจ้าวอาคมยิ่งใหญ่ล้นฟ้าและแผ่ไกลไปทั่วแดน
ทว่านั่นก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ช่วงหนึ่งเท่านั้น ด้วยความยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตา ไม่นานตระกูลจ้าวอาคมก็กลายเป็นที่ชิงชัง พวกเขาเปลี่ยนกลายเป็นเสมือนเสี้ยนหนามสำคัญของขุมกำลังทั้งหลาย
จนในที่สุดคนตระกูลนั้นก็หายสาบสูญไปเมื่อหลายพันปีก่อนและนั่นทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านข่ายอาคมสูญหายไปจากแผ่นดินด้วย การที่ถ้ำลึกลับแห่งนี้มีข่ายอาคมถูกวางเอาไว้จึงเป็นเรื่องที่ทำให้หงส์แดงและอสูรตัวอื่นประหลาดใจไม่น้อยเลย
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าลึกลับที่เป็นอาจารย์สอนชั้นเรียนข่ายอาคมของโรงเรียนราชสำนักได้ให้ตำรานางมาหนึ่งเล่ม ตำราเล่มนั้นนางได้อ่านจนครบถ้วนทุกอักษรแล้ว เรื่องข่ายอาคมที่มารยากล่าวถึง นางก็พอจะมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง หากว่าคาดเดาไม่ผิดข่ายอาคมที่ติดตั้งอยู่ในอุโมงค์แห่งนี้จะทำให้พวกนางตกอยู่ในห้วงมายาและคิดว่าตัวเองกำลังเดินต่อไปข้างหน้า ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ก้าวไปไหนเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นพวกเราจะทำลายมันได้อย่างไร ?”
อาไป๋และเพลิงเป็นอสูรมายาที่ทรงพลังมาก ทว่ากลับไม่มีความรู้เรื่องข่ายอาคมเลยแม้แต่น้อย ถึงพวกมันก็เคยจะได้ยินเรื่องของข่ายอาคมมาบ้างแต่ก็ไม่เคยสัมผัสกับมันโดยตรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“มารยา เจ้าพอจะมีวิธีดี ๆ บ้างไหม ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองอสูรสาวจ้าวอาคมที่อยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยถาม
นายหญิงคนงามทราบดีว่ามารยานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข่ายอาคม ทว่าก็ไม่แน่ใจนักว่าอสูรสาวจะมีวิธีแก้ข่ายอาคมนี้หรือไม่
“ข้าขอลองดูก่อน”
มารยาตอบ มันเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน ทันใดนั้นอสูรสาวก็กล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่งขณะที่สายตาจ้องมองฉินอวี้โม่
“แต่นายหญิง หากจะลองข้าต้องขอยืมพลังวิญญาณของท่านสักเล็กน้อย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอนุญาต นางหลับตาลงแล้วถ่ายพลังวิญญาณของตัวเองให้กับอสูรสาว
มารยาหลับตาลงเช่นกัน ก่อนจะกระจายพลังวิญญาณในร่างกายออกไปจนทั่วบริเวณ
หลังจากส่งพลังวิญญาณให้แผ่กระจายออกไปจนครอบคลุมทั่วทั้งอุโมงค์ ไม่นานนักอสูรสาวก็พบจุดจุดหนึ่งที่มีความผันผวนของพลังมากผิดปกติ
“ตรงนี้แหละ !”
มารยาโพล่งวาจาออกมา พลังวิญญาณของมันพุ่งทะลวงเข้าสู่จุดต้องสงสัยที่มีคลื่นพลังที่ผันผวนอย่างผิดปกติในทันที
ในเวลาเดียวกัน อสูรสาวก็หันไปหาฉินอวี้โม่อีกครั้ง “นายหญิง ท่านช่วยควบคุมพลังวิญญาณของท่านเพื่อสนับสนุนข้าด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า พลันนักฆ่าสาวก็ควบคุมพลังของตัวเองเองตามที่มารยาบอกทันที กระแสพลังวิญญาณของฉินอวี้โม่บุกทะลวงเข้าสู่จุดที่มีพลังผันผวน มันพุ่งเข้าเสริมทัพพลังวิญญาณของมารยา
เปรี๊ยะ ! เปรี๊ยะ ! เปรี๊ยะ !.……
เกิดเสียงประหลาดดังขึ้น ทันใดนั้นเองที่หงส์แดงและอสูรตัวอื่น ๆ รู้สึกได้ว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
พวกมันพบว่าในตอนนี้ทั้งคณะอยู่ไม่ห่างจากปากทางที่เข้ามาในตอนแรกมากนัก ทว่าในเวลานี้อุโมงค์แห่งนี้ไม่ได้ทอดยาวออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุดเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว แต่ ณ พื้นที่เบื้องหน้านั้นกลับมีประตูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นแทน