บทที่ 390 คนโง่ย่อมดึงดูดกันเสมอ

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 390 คนโง่ย่อมดึงดูดกันเสมอ โดย Ink Stone_Fantasy

ความเย็นชาและเหินห่างของหลี่หว่านเอ๋อร์ รวมถึงน้ำเสียงเป็นทางการ ทำให้ทุกคนที่มาต้อนรับหญิงสาวต่างงุนงง พวกเขามองทั้งหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ไปมา

โดยเฉพาะเมื่อทุกคนรู้ดีว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้มาในฐานะขุนนางระดับสามชั้นรอง หากแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ ดังนั้นแม้ชื่อตำแหน่งของทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เป็นคนเดียวในที่แห่งนี้ ที่เถียงหรือท้าทายหวังเป่าเล่อได้

คนมีอำนาจเช่นนางเพิ่งมาถึงแต่กลับมีท่าทีห่างเหินไร้อารมณ์ นอกจากนี้นางยังดูแลกองวินัยอาณานิคมสุดสยองด้วย ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณมรณะให้ทุกคนได้เป็นอย่างดี!

ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณในทันที กงเต๋าขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มไม่ได้สนใจในตัวหลี่หว่านเอ๋อร์มากนักก่อนที่นางจะมาถึง แต่เมื่อเห็นท่าทางอวดเบ่งของหญิงสาวแล้ว เขาก็มองเห็นอะไรบางอย่าง กงเต๋าหรี่ตาลง เขาไม่ใช่คนโง่

กงเต๋าไม่ใช่คนใส่ใจคนอื่น แต่เมื่อหวังเป่าเล่อช่วยชีวิตเขา และช่วยเหลือเขาให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชายหนุ่มย่อมยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าและต่อต้านหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่งมาถึงโดยไม่รู้ตัว

หลินเทียนหาวยิ่งรู้สึกรุนแรงกว่ากงเต๋าเสียอีก แม้บิดาของเขาและบิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์จะมาจากคณะสิบเจ็ดเสนาบดีเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน หาเกี่ยวกับคนรุ่นเขาไม่ ดังนั้นหลินเทียนหาวจึงเลิกคิ้วขึ้น แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เขาเคยคาดเดาไว้ก่อนหน้า ชายหนุ่มก็ได้แต่กะพริบตา รู้สึกว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

ส่วนจินตั้วหมิงนั้นก็งุนงงเช่นกัน เขาคิดมาตลอดว่าแม้หลี่หว่านเอ๋อร์จะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ก็ไม่ใช่คนไม่รอบคอบในการกระทำ หากคิดตามเหตุผลแล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์ย่อมไม่มีวันพูดคำเช่นนั้นออกมาทันทีที่มาถึงแน่นอน

 นางพยายามเล่นละครหรือ จินตั้วหมิงรู้สึกกังขา สัญชาตญาณนี้ชัดเจน และยิ่งชัดขึ้นไปอีกในใจของหวังเป่าเล่อ ความรู้สึกอันแสนซับซ้อนในใจของเขาหายไปแทบหมดสิ้นแล้ว หวังเป่าเล่อมองหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเย็นชาและนิ่งขึง ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย และจากไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

หากหวังเป่าเล่อพูดอะไรออกมาสักคำ ทุกอย่างคงจะแจ่มชัดกว่านี้ แต่เขาจากไปโดยไม่แม้แต่จะเอื้อนเอ่ย การกระทำนี้ รวมกับความจริงที่ว่าหวังเป่าเล่อมีอิทธิพลมากในนครอาวุธเทพใหม่แห่งนี้ จึงเปรียบเสมือนเป็นการแสดงออกของเขาว่าเจ้าตัวคิดกับหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างไร ด้วยเหตุนี้หลินเทียนหาวและกงเต๋าจึงหันหลังจากไปพร้อมหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงลังเล เขาหันมามองหน้าหลี่หว่านเอ๋อร์และพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินตามไปเช่นกัน

ผู้ที่อยู่ในฐานะต่ำกว่า เมื่อเห็นเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงทะเลาะกันอย่างเงียบๆ ก็ไม่กล้าเข้ามายุ่มย่าม หลังจากที่พวกเขาทำความเคารพหลี่หว่านเอ๋อร์เรียบร้อย ก็พากันจากไป ไม่นานนักก็เหลือคนเพียงหยิบมือเดียวที่ยังอยู่

หลี่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิม นางมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะมาที่นี่ หลี่หว่านเอ๋อร์ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับนครอาวุธเทพใหม่มาบ้าง และรู้ถึงอำนาจของหวังเป่าเล่อในที่แห่งนี้ดี แต่หลังจากที่นางมาถึงเรียบร้อย และได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เริ่มรู้สึกกลัวอำนาจที่หวังเป่าเล่อมีในที่แห่งนี้ คำพูดของบิดานางที่เอ่ยเอาไว้ก่อนนางจะย้ายมาประจำการที่นี่ดังก้องอยู่ในหัว

“หวังเป่าเล่อนั้นไม่ธรรมดา หลังจากที่เปลี่ยนเขตนครให้กลายมาเป็นนครเต็มรูปแบบแล้ว อำนาจของเขาในนครอาวุธเทพใหม่จะไม่มีวันสั่นคลอนได้โดยง่าย เจ้าต้องแสดงออกอย่างชัดเจนต่อหน้าเขาว่าจะดำรงตนอย่างไร และต้องตัดอย่างเด็ดขาด!”

ด้วยความคิดนี้ หลี่หว่านเอ๋อร์จึงทำได้เพียงถอนใจอยู่ในอก ความจริงแล้วนางไม่ได้อยากมาประจำการที่นี่ ก่อนหน้านี้นางยศยิ่งใหญ่กว่าหวังเป่าเล่อ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มได้กลายมาเป็นผู้บังคับบัญชาในนามของนาง หลี่หว่านเอ๋อร์จึงยังไม่คุ้นเคยกับวิถีนี้นัก

และตัวนางเองก็ไม่อาจบอกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาให้ใครฟัง อีกทั้งนางก็หมั้นหมายแล้ว ต่อให้นางจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต่อต้านการตัดสินใจนี้ สุดท้ายก็ต้องจำยอมในที่สุด หลี่หว่านเอ๋อร์ต้องทนทุกข์อยู่ในใจ และนั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกของนางซับซ้อนมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเผชิญหน้าหวังเป่าเล่อ

แต่ในที่สุด หลี่หว่านเอ๋อร์ก็กลืนอารมณ์ที่ยากจะเข้าใจนั้นลงไปและหายใจเข้าลึก นางเดินนำหน้าบริวารเข้าไปในนครอาวุธเทพใหม่ ตอนนี้ทั้งนครยังมีเพียงเขตเดียวเท่านั้น ห้องทำงานของนางอยู่ในอาคารเดียวกับหวังเป่าเล่อ และอยู่ไม่ไกลนัก

หลี่หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมาหมาดๆ โยนความคิดอื่นทิ้งไป และเริ่มจดจ่ออยู่กับภาระหน้าที่ในการดูแลนครทันที นางรับหน้าที่ดูแลบุคลากรจากหลายกรมกอง นางไม่ได้ทำตัวเหยาะแหยะหรือต่อต้านหวังเป่าเล่อ หากแต่พยายามทำงานร่วมกัน ด้วยเหตุนี้แผนการสร้างนครก็เดินหน้าไปจนสำเร็จผล

แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังต้องยอมรับว่าหลี่หว่านเอ๋อร์มีความสามารถที่เป็นของจริง แลละจัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีกว่าเขาเสียอีก นางทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน จนเพิ่มความเร็วและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการก่อสร้างนครใหม่ได้

สิ่งนี้ทำให้กงเต๋าและคนอื่นๆ รู้สึกประทับใจในตัวหลี่หว่านเอ๋อร์มาก พวกเขาไม่ได้รู้สึกต่อต้านนางอีกต่อไป ขณะที่งานเดินหน้าไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ต้องติดต่อกันมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการวางแผนสร้างนครนี้มีวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่เป็นรากฐาน จึงทำให้ข้อเสนอแนะของหวังเป่าเล่อสำคัญต่อการร่างแผนก่อสร้างเป็นอันมาก

ขณะนี้ทั้งสองอยู่ในห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ และกำลังพูดคุยเรื่องการก่อสร้างเขตที่หกภายในนคร

“ท่านเจ้าเมือง ตามรูปแบบวงแหวนปราณของท่าน เราจำเป็นต้องปรับแผนการสร้างเขตที่หก การเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้พลังของวงแหวนปราณแข็งแกร่งขึ้น และช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างด้วย” หลี่หว่านเอ๋อร์มีสีหน้าจริงจังขณะส่งแผ่นหยกให้หวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มรับแผ่นหยกมาด้วยท่าทีเป็นทางการไม่ต่างกัน หลังจากที่อ่านดู เขาก็รู้สึกประทับใจกับคุณภาพงานมากทีเดียว แผนการที่เขียนมาในแผ่นหยกนั้นดีกว่าเดิมมากหลังจากที่หลี่หว่านเอ๋อร์เข้ามาปรับปรุงแก้ไข ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็พอใจในความเป็นระเบียบของนคร แม้นางจะเพิ่งมาถึงไม่กี่วันก็ตาม

“ถ้าเช่นนั้นก็จงใช้แผนนี้เถิด” หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยความคิดเมื่อครู่ออกมา เขาเพียงแต่พยักหน้าและวางแผ่นหยกลง

หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ และหันหลังกลับเพื่อจากไป ขณะที่นางกำลังเปิดประตูและก้าวออกไปนั้น หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองแผ่นหลังอันสวยงามของหลี่หว่านเอ๋อร์ และกล่าวออกมาอย่างปุบปับ

“หลี่หว่านเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าจะพยายามรักษาระยะห่างและความเย็นชาเพียงใด ข้าก็ยังเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้า!

“ในเมื่อเจ้ามาที่นี่ในฐานะรองเจ้าเมือง เจ้าก็ต้องระลึกไว้เสมอว่าหากนครไปได้สวย ทั้งเจ้าและข้าก็จะได้ประโยชน์กันทั้งคู่… ข้าเคารพเจ้า และข้าก็คาดหวังว่าเจ้าจะเคารพข้าเช่นเดียวกัน ในเรื่องการบ้านการเมืองนั้น เราพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น และช่วยกันแก้ปัญหาได้ คำพูดของข้าไม่ใช่ประกาศิต!”

“ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้ามีเหตุผลแอบแฝงในการมาประจำที่นครอาวุธเทพใหม่หรือไม่ แต่สถานที่แห่งนี้คือเป้าความสนใจของสหพันธรัฐ หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าก็ไม่ใช่คนจิตใจสูงส่งมีเมตตา และต้องรายงานเรื่องใดก็ตามที่เกิดขึ้นที่นี่อย่างสุจริต!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยเสียงต่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดอะไรเช่นนี้กับหลี่หว่านเอ๋อร์

ขณะที่หวังเป่าเล่อ พูด หลี่หว่านเอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่กับที่ นางหันหลังให้อีกฝ่าย และดูเหมือนกำลังคุร่นคิดอย่างหนัก ในเวลานั้น ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วห้อง

“รับทราบ!” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เอ่ยออกมา น้ำเสียงของนางยังแน่วแน่ แต่ความเย็นชานั้นลดลงไปบ้าง นางจากไปโดยไม่หันมามอง

หลี่หว่านเอ๋อร์กำลังเดินทางกลับที่พัก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความทุกข์อันแสนซับซ้อน นางรู้ดีว่าสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดนั้นถูกต้อง ความมั่นคงของนครต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง

หญิงสาวยังยอมรับอีกด้วยว่านางรู้สึกกับหวังเป่าเล่อไม่เหมือนคนอื่น แต่ก็รู้ดีว่าหน้าที่ของนางในนครแห่งนี้ไม่ได้มาเพื่อการทำลายอะไร แต่เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับการผูกสัมพันธ์ระหว่างคณะสิบเจ็ดเสนาบดีและตระกูลนภาห้าสมัย และเพื่อปูทางให้คู่หมั้นของนางเจริญก้าวหน้า!

คนอื่นยังไม่ทราบว่าใครกันแน่ที่จะมาเป็นนายกเทศมนตรีคนใหม่สามคน แต่นางรู้ดีว่าบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน เฉินมู่ จะต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน หลี่หว่านเอ๋อร์รู้ดีว่าการพยายามปูทางให้สามีในอนาคตของนางประสบความสำเร็จนี้ จะต้องทำให้เกิดความไม่ลงรอยกับหวังเป่าเล่อ นางไม่ต้องการเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีทางเลือก

ดังนั้น สิ่งเดียวที่หลี่หว่านเอ๋อร์ทำได้คือตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับหวังเป่าเล่อ และปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานเท่านั้น!

หวังเป่าเล่อไม่รู้ความคิดเบื้องลึกของหลี่หว่านเอ๋อร์ แต่ก็พอเดาภาพรวมได้ เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์มาถึง ชายหนุ่มก็วิเคราะห์สถานการณ์และคาดคะเนได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่เฉินมู่คู่หมั้นของนาง จะมาประจำการที่นี่เช่นกัน

แล้วก็เป็นไปอย่างที่หวังเป่าเล่อคาดคะเนไว้จริงๆ หลังจากที่การต่อสู้แย่งชิงเก้าอี้ระหว่างหลายกลุ่มอำนาจ ล่าช้ามากว่าหนึ่งเดือนด้วย รายชื่อบุคคลที่จะมารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีที่เหลือทั้งสามคน ก็สรุปเรียบร้อยในหลายวันต่อมา

เจ้านครดาวอังคารส่งประกาศรายชื่อมาให้หวังเป่าเล่อ เพื่อที่เขาจะได้ดูประวัติของผู้ใต้บังคับบัญชาคนใหม่ทั้งสาม!

คนแรกคือ… เฉินมู่ บุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน!

คนที่สองคือชายจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพ ผู้ที่เคยพยายามปล้นหวังเป่าเล่อบนดวงจันทร์ และถูกเขาจับแก้ผ้าล่อนจ้อน ผู้ฝึกตนที่มีผ้าพันมือสีดำ!

ส่วนคนที่สามคือหญิงสาวที่หวังเป่าเล่อไม่คุ้นเคย จากประวัติของนางดูเหมือนนางจะมาจากสำนักสหชุมนุมสกุณา!

กลุ่มอำนาจต่างๆ มารวมตัวกันที่นครอาวุธเทพใหม่บนดาวอังคาร จนอาจเรียกได้ว่านครนี้เปรียบเสมือนสหพันธรัฐขนาดย่อมเลยทีเดียว!