ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 272
อ๋องเหลียงยักไหล่ “ตอนนั้นข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าจวนมหาเสนาบดีจะหน้าไม่อายถึงขั้นนี้”
มู่หรงจ้วงจ้วงเอ่ย “ใครก็ล้วนคาดไม่ถึง มหาเสนาบดเซี่ยของต้าโจวจะเป็นคนเยี่ยงนี้ หากไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เกรงว่าคงจะไม่มีใครได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา”
ซูชิงยิ้มแล้วเอ่ย “ตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้แล้วว่าเซี่ยหว่านเอ๋อมิใช่บุตรสาวที่แท้จริงของเขา เขากลับให้ท่านหมอหลี่กระจายข่าวอยู่ภายนอกว่า ครรภ์ครั้งนั้นของเฉินหลิงหลงนั้นรักษาไว้มิได้ เซี่ยหว่านเอ๋อผู้นี้จึงเป็นบุตรสาวที่แท้จริงของเขา แต่งเรื่องออกไปเยี่ยงนี้ คงคิดว่าผู้อื่นโง่ แต่กลับไม่รู้ว่าผู้อื่นมองว่าเขานั้นต่างหากที่เป็นคนโง่เขลา”
มู่หรงจ้วงจ้วงเอ่ย “เรื่องซุบซิบนินทานั้นเพียงชั่วคราว แต่ความร่ำรวยนั้นเป็นสิ่งถาวร เขามิได้โง่หรอก หลักแหลมเสียด้วยซ้ำไป มีบุตรสาวเยี่ยงเซี่ยหว่านเอ๋อที่จะเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท หลังจากที่องค์รัชทายาทครองราชย์แล้ว เขาก็คือพ่อตาของฮ่องเต้ อนาคตก็ไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้อีก ตระกูลเซี่ยนี้ก็เหมือนราวกับไก่และสุนัขขึ้นสวรรค์ ถึงแม้ว่าจะใช่หรือไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของเขา ใครเล่าจะใส่ใจ? เขาเองยังมิได้ใส่ใจ”
อ๋องเหลียงส่งเสียงเอ่ยอย่าไม่ใส่ใจ “ใครต้องการจะแก่งแย่งก็เชิญ ข้าวันนี้ไม่ต้องการที่จะถามเรื่องราวอะไร เมื่อถึงเวลาที่จะต้องดื่มเหล้าก็ดื่มเหล้า ถึงเวลาท่องเที่ยวก็ท่องเที่ยว”
“เจ้าน่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ปล่อยมันไปเถอะ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าร้องไห้หรอก!”
เฉินหลิวหลิ่วฟังคำพูดของทั้งสองแล้วนั้น รู้สึกว่าไม่น่าสนใจ จึงเงยหน้ามองไปยังซูชิง “เจ้ากับข้าไปหาท่านพี่เซียวท่ากันเถอะ”
“เขาไม่ชอบแตะต้องหญิงสาว เจ้าก็อย่าไปรบกวนเขาเลย” ซูชิงเองก็มิกล้าที่จะนำนางไป เซียวท่าเมื่อเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้วราวกับไม่ใช่คน
หลิวหลิ่วรู้สึกคับข้องใจ หากเซียวท่ามิชอบแตะต้องหญิงสาวแล้วนั้น นางจะนอนกับเขาได้อย่างไร จะบังคับให้เขาแต่งนางได้อย่างไร?
มูหรงเจี๋ยเข้าไปในห้องแล้วจึงเริ่มถอดเสื้อผ้า คำพูดสักเล็กน้อยก็ไม่มี
แต่จื่ออันเมื่อเข้าไปในห้องแล้วนั้นก็เปิดกล่องยา การเคลื่อนไหวจองทั้งสองเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เจ้ามองข้า ข้ามของเจ้า ตระเตรียมเรียบร้อยแล้วนั้น เขาไปนอนยังเตียงหรือว่านั่งบนเก้าอี้ รอนางเข้ามาจัดการบาดแผล
บาดแผลนั้นเริ่มตกสะเก็ดแล้ว มีบางแห่งเริ่มจะหลุดลอกออกมาแล้ว เป็นรอยแผลเป็นสีชมพู ส่วนแผลในส่วนลึกนั้น ตกสะเก็ดยังไม่ดีนัก รอบบริเวณยังคงเป็นสีแดงอยู่ บ่งบอกว่าอาการอักเสบยังคงไม่หายดีนัก
จื่ออันขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้บาดแผลกำลังจะตกสะเก็ดแล้ว ทำไมถึงได้ยังแดงอยู่อีก?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? ไม่ได้จ้องมันอยู่ตลอด” มูหรงเจี๋ยรู้สึกราวกับว่านางถามอย่างไร้เหตุผล
“ข้าอธิบายไปอย่างละเอียด ท่านไม่ได้ทำตามเลยรึ?” จื่ออันเงยหน้าขึ้น มองไปยังเขาด้วยความสงสัย
“ดื่มเหล้า? ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้ดื่มมานานแล้ว” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยพร้อมส่ายศีรษะ “ส่วนข้อห้ามที่เจ้าเขียนให้หนี่หรงนั้น รายการอาหารที่ต้องงด ก็ไม่ได้กิน มีสั่งการลงไปแล้วว่า จะต้องเป็นอาหารรสอ่อน”
ใบหน้าของหนี่หรงที่ยืนอยู่ตรงประตูดูไม่มีความรู้สึกใด ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ท่านอ๋องเริ่มจะหน้าไม่อาย กล้าพูดพล่ามออกมา ตั้งแต่กลับมาที่จวนอ๋อง ไม่มีสักมื้อที่จะมีรสชาติอ่อน ไม่มีสักมื้อที่จะไม่มีเหล้า คืนนั้นที่ดื่มเหล้ากับอ๋องฉี เมาอย่างกับหมู ต้องใช้กี่คนแบกกลับมา
จื่ออันมองไปยังเขาแวบนึง “จมูกข้าไม่ได้โดนอุด ข้าได้กลิ่นเหล้ามาจากตัวท่าน”
“กลิ่นเหล้า?” มู่หรงเจี๋ยดมแขนเสื้อตนอย่างสงสัย “มีหรือ? อี๋? มีจริงด้วย เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่ได้ดื่มเหล้า”
“เป็นกลิ่นเผาไหม้ของมีด” จื่ออันกล่าวด้วยความมั่นใจ
มูหรงเจี๋ยใบหน้าดูแปลกประหลาด “นี่เป็นไปไม่ได้ จวนอ๋องไม่มีทางที่จะมีการเผามีด เหล้าองุ่นกลิ่นไหม้ของมีดราคาถูก ๆ แบบนี้ไม่มีทางที่จะเข้าจวนอ๋องมาได้”
เขาขมวดคิ้วครู่นึง จู่ ๆ ก็ตบไปที่เท้าแขนเก้าอี้ตัวนั้น “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้สั่งให้หนี่หรงนำเสื้อคลุมของข้าแช่ลงไปในกับมีดที่เผาไหม้ อาจจะยังซักกลิ่นเหล้าออกไม่หมด”
หนี่หรงหมุนตัวออกไป ช่างหน้าไม่อายจริง ฟังไม่ได้แล้ว
จื่ออันส่ายศรีษะ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านอ๋องหากต้องการให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ก็มิควรดื่มเหล้า” คนเราหากดื่มเหล้าเป็นเวลานานแล้วนั้น จากรูขุมขนและสีหน้าก็มองออก มูหรงเจี๋ยมีอาการของโรคพิษสุราเรื้อรังแล้ว นางเป็นหมอ คงจะไม่ชอบมองเห็นสิ่งนี้มากนัก
“คำพูดมากมายยิ่งนัก ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ดื่ม!” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาอย่างไม่ชอบใจ ราวกับได้รับความไม่เป็นธรรม