เป่ยเฉินอี้พยักหน้า ตอบเสียงขรึมว่า “แน่นอน!” 

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักไปสักพัก ไม่รู้สึกแปลกใจอีก อย่างไรเสียเป่ยเฉินอี้ก็เป็นขุนนางการเมืองอันดับหนึ่ง ต้องมีหน่วยข่าวกรองของตัวเอง อาศัยความสามารถในการวิเคราะห์ของเขา ก็ไม่ยากที่จะวิเคราะห์ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตั้งแต่เริ่มแรกนางก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังเรื่องนี้กับเป่ยเฉินอี้ 

 

 

ส่วนเป่ยเฉินอี้ยังคงเอ่ยเสียงเบาว่า “ส่งตัวนักร้องหญิงไปให้กองสอบสวนนครบาลหรือว่าฮ่องเต้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นตายแทน นางไม่อาจบรรลุเป้าหมาย บางทีอาจย้อนกลับมาแว้งกัดพวกเจ้าได้ เวลานั้นคนที่โชคร้ายก็จะเป็นเจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว!” 

 

 

คราวนี้เยี่ยเม่ยตะลึงงัน หันไปมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยเบาๆ “ท่านรู้ว่านางมีเป้าหมายอะไร” 

 

 

เป็นไปไม่ได้! 

 

 

ตอนนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนยันแล้วว่าไม่มีใครรู้ฐานะที่แท้จริงของนักร้องหญิงนางนี้ ต่อให้คนที่เกี่ยวพันกับคดีอย่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองล้วนไม่มีใครรู้สักคน แล้วเป่ยเฉินอี้รู้ได้อย่างไร 

 

 

เป่ยเฉินอี้หลุดหัวเราะออกมา ปรายตามองเยี่ยเม่ยคล้ายกับกำลังหัวเราะที่เยี่ยเม่ยประเมินเขาต่ำเกินไป ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เป่ยเฉินอี้ตอบด้วยเสียงหนักแน่น “นางมีเป้าหมายอะไร ข้าย่อมไม่รู้ชัดเจน เพียงแต่ในเวลาเยี่ยงนี้นางไม่มีทางปรากฏตัวที่ประตูหลังจวนองค์ชายรองอย่างไร้เหตุผลแน่ เรื่องนี้ต้องเป็นแผนการที่วางไว้!” 

 

 

คราวนี้เยี่ยเม่ยก็เข้าใจแล้ว! 

 

 

ในเวลานี้เองขุนนางใหญ่ทั้งสามฝ่ายของศาลต้าหลี่ก็เริ่มไต่สวนแล้ว เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงบุคคลสำคัญ จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงมีผู้พิพากษาของศาลต้าหลี่ออกโรงไต่สวนเอง 

 

 

เขาเอ่ยว่า “คนที่อยู่ด้านล่างนั่นคือใคร จงบอกชื่อแซ่มา!” 

 

 

นักร้องหญิงหัวเราะเบาๆ ตอบว่า “ข้าน้อยเย่ซังอิ๋น เป็นชาวยุทธ์ ไร้พ่อไร้แม่ อยู่ตัวคนเดียว!” 

 

 

นักร้องหญิงเปิดเผยตรงไปตรงมา กระทั่งสิ่งที่ไม่ได้ถามก็ตอบออกมาจนหมดสิ้น ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่เลิกคิ้ว รู้สึกแปลกใจ 

 

 

เขาเอ่ยถามต่อว่า “องค์ชายใหญ่สงสัยว่า เรื่องที่เขาเมาแล้วลงมือสังหารคน เจ้าเป็นคนทำ เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่” 

 

 

“จริง! แต่สามัญชนอย่างข้าเอาความกล้ามาจากไหน ข้าทำตามคำสั่งของผู้อื่น!” เย่ซังอิ๋นเอ่ยประโยคนี้ นางก็แตกตื่นขึ้นมา อีกทั้งเล่าต่อ “ใต้เท้า คนผู้นี้มีอำนาจใหญ่โต สั่งให้ข้าทำเรื่องนี้ ข้าน้อยเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่กล้าไม่ทำตาม ขอให้ใต้เท้าโปรดสืบสวนด้วย!” 

 

 

ผู้พิพากษาเอ่ยปากถามว่า “ไม่รู้ว่าคนที่บงการเจ้าให้ทำเรื่องนี้คือใคร” 

 

 

ในเวลานี้เององค์ชายรองที่ตามมาด้วยก็หน้าซีดขาว ความจริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวพันอะไรกับเขาเลยสักน้อย เพียงแต่ผู้ต้องสงสัยดันถูกจับตัวได้ที่ประตูหลังจวน ยากไม่ให้คนสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวพันกับคดีนี้ ดังนั้นเขาจึงติดตามมาด้วยแล้ว 

 

 

ฟังจากคำพูดของนักร้องหญิงคล้ายกับว่าจะพุ่งเป้าหมายมาที่เขาแล้วเล่า 

 

 

เรื่องเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ นักร้องหญิงผู้นั้นหันหน้ากลับมามองที่องค์ชายรอง เอ่ยปากว่า “เป็นองค์ชายรอง เป็นเขา! เขาบีบให้ข้าทำเช่นนี้ องค์ชายรองบอกว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับองค์ชายใหญ่ เพราะสายพระเนตรมืดบอด องค์ชายใหญ่ไม่มีอะไรเทียบองค์ชายรองได้สักนิด องค์ชายรองอิจฉามานานดังนั้นจึงสั่งให้คนทำเช่นนี้ เป้าหมายก็เพื่อให้ร้ายองค์ชายใหญ่!” 

 

 

ทันทีที่องค์ชายรองได้ฟังก็บันดาลโทสะแล้ว อีกทั้งตื่นตระหนักเสียจนเส้นเอ็นที่ขมับเต้นตุบตับ ชี้ไปที่นักร้องหญิงตวาดว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหล เจ้ามันแว้งกัดคนไปทั่ว! ใครก็ได้เอาตัวนักร้องผู้นี้ออกไปโบยให้ตาย เพื่อเป็นตัวอย่างกับชาวบ้าน!” 

 

 

เมื่อเขาเอ่ยออกมา 

 

 

ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ตัดบทว่า “องค์ชายรอง ยามนี้ข้ากำลังไต่สวนคดี คนผู้นี้พูดเหลวไหลหรือไม่ ข้าย่อมมีคำตัดสิน หลังจากที่ข้าตัดสินแล้ว ยังต้องรอฝ่าบาทตัดสิน องค์ชายรองไม่จำเป็นต้องทำเกินหน้าที่ สังหารคนตอนนี้!” 

 

 

ทันทีที่เยี่ยเม่ยได้ฟัง ก็เลิกคิ้วสูงรู้สึกแปลกใจ 

 

 

ตามที่นางรู้มา ผู้พิพากษาหาใช่คนของเป่ยเฉินเสียง ทำไมยามนี้ถึงไม่เกรงใจองค์ชายรองเลย อีกทั้งคล้ายกับคิดพลิกคดีให้เป่ยเฉินเสียงด้วย 

 

 

ในเวลานี้เอง 

 

 

เป่ยเฉินอี้ก็ใช้วิชาลับถ่ายทอดเสียงบอกนาง ‘“ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่เป็นคนขององค์ชายสาม คนที่รู้จุดยืนของเขามีไม่มาก หากคดีนี้ชี้ชัดว่าองค์ชายรองคิดให้ร้ายองค์ชายใหญ่ องค์ชายรองย่อมถูกกำจัดแน่ ส่วนองค์ชายใหญ่ต่อให้พ้นผิดก็จะถูกประณามตักเตือน เมื่อถึงเวลานั้นคนที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากที่สุดก็คือองค์ชายสามแล้ว’” 

 

 

คราวนี้เยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจ เพราะอะไรคดีนี้ถึงต้องให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สืบ 

 

 

เพราะว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ นักร้องหญิงชี้ว่าองค์ชายรองเป็นผู้สั่งการนาง ผู้พิพากษาย่อมไม่ปล่อยให้คดีนี้จบอย่างง่ายดาย เขาต้องกัดองค์ชายรองแน่นไม่ยอมปล่อยแน่ 

 

 

เมื่อนักร้องหญิงชี้ตัวองค์ชายรองต่อหน้าคนมากมาย ต่อให้มีคนขององค์ชายรองในศาลต้าหลี่ ก็ไม่อาจจงใจทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ปกปิดคนทั่วหล้าได้ 

 

 

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป่ยเฉินเสียงก็อยู่ที่นี่ด้วย ต้องมีคนของเป่ยเฉินเสียงพยายามเก็บคำให้การของนักร้องหญิงแน่ อย่างไรก็ตามมีเพียงอย่างนี้เท่านั้น ด้านหนึ่งสามารถช่วยให้เป่ยเฉินเสียงหลุดพ้นจากความผิด อีกด้านหนึ่งสามารถลากองค์ชายรองที่แย่งบัลลังก์กับองค์ชายใหญ่ลงน้ำได้  

 

 

ดูท่าองค์ชายรองคงหนีไม่รอดแล้ว! 

 

 

องค์ชายรองฟังคำพูดของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ สีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวขาว เขาเอ่ยปาก “ใต้เท้าหลิงกล่าวไม่ผิด แต่ในเมื่อใต้เท้าหลิงสืบคดีก็ต้องสืบให้ชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่แค่คำพูดของคนถ่อยไม่กี่คำก็สามารถทำร้ายข้าได้แล้ว!” 

 

 

ผู้พิพากษามององค์ชายรอง ถามว่า “ความหมายขององค์ชายรองก็คือ ท่านไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” 

 

 

องค์ชายรองรีบพยักหน้า ตอบเสียงดังว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับข้า!” 

 

 

เมื่อตอบแล้ว เขามองเย่ซังอิ๋นด้วยสายตารังเกียจ ตวาดว่า “แม้แต่หน้าของนางคนถ่อยผู้นี้ข้ายังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ แล้วจะบงการนางได้อย่างไร” 

 

 

ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่รีบมองเย่ซังอิ๋น กล่าว “เย่ซังอิ๋น เจ้าก็ได้ยินแล้ว องค์ชายรองบอกว่าไม่เคยพบเจ้ามาก่อน การใส่ร้ายป้ายสีเชื้อพระวงศ์มีโทษประหาร ในเมื่อเจ้ากล่าวหาว่าองค์ชายรองสั่งเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” 

 

 

“ผู้น้อยย่อมมีหลักฐาน!” เย่ซังอิ๋นตอบ ล้วงปิ่นปักผมออกมาจากแขนเสื้อ เทินขึ้นสูงเอ่ยว่า “ใต้เท้า นี่คือหลักฐานที่องค์ชายรองมอบให้ผู้น้อย เขายังบอกว่าขอเพียงผู้น้อยทำเรื่องนี้สำเร็จ ก็จะแต่งผู้น้อยเข้าเป็นพระชายาองค์ชายรอง ผู้น้อยถูกความลุ่มหลงครอบงำ ทั้งกลัวจะถูกฆ่า ถึงทำเรื่องนี้ให้องค์ชายรอง!” 

 

 

ตอนนี้สายตาคนทั้งหมดมองไปยังปิ่นปักผม 

 

 

แม้แต่สายตาองค์ชายรองเองก็มองไปเช่นกัน 

 

 

ยามนี้เย่ซังอิ๋นกล่าวต่อว่า “หากใต้เท้าไม่เชื่อ สามารถส่งคนไปสืบเรื่องปิ่นนี้ได้ว่าเป็นของในวังหลวงหรือไม่! องค์ชายรองบอกผู้น้อยว่า ปิ่นนี้เป็นของดูต่างหน้าที่เสด็จแม่เขาทิ้งไว้ให้ มอบของสิ่งนี้ให้ผู้น้อยพิสูจน์ความจริงใจของเขา พิสูจน์ว่าเขาคิดอยากแต่งงานกับผู้น้อยจริงๆ!” 

 

 

คราวนี้องค์ชายรองหน้าถอดสีไปแล้ว 

 

 

เห็นใบหน้าด้านข้างของนักร้องหญิง เขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตานัก หลังจากหน้าซีดอยู่นาน เขาก็มีสีหน้าคล้ายพบผีกลางวันแสกๆ เอ่ยตะกุกตะกักว่า “เป็น…เป็นเจ้า…”