บทที่ 56.3 ใช้เป็นเครื่องมือก็ไม่เป็นไรหรือ? (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ซื่อหรงดึงสายตากลับมามองถ้วยดินเผาที่ยังคงมีควันลอยกรุ่นอยู่ในมือเขา นางเม้มปากแต่กลับนิ่งเฉย

 

ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางลอบถอนหายใจ เขาดึงมืออีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของนางมาและยัดถ้วยใส่มือนาง

 

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงแผลบนมืออีกข้างของนางขึ้นมาได้ จึงหยิบยาจินชวงออกมาอีก เขาแกะแถบผ้าออกและใส่ยากับพันแผลให้นางใหม่อีกครั้ง

 

ซื่อหรงเอาแต่มองดูอย่างเงียบๆ สายตาจับจ้องนิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย

 

ซูอี้ทำแผลให้นางเสร็จแล้วก็จัดแขนเสื้อของนางให้เรียบร้อย แม้จะลังเล แต่เขาก็ยังมองนางอย่างจริงจังว่า “เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากนี้?”

 

จากท่าทางของนางเช่นนี้ ชัดเจนมากว่าฮ่องเต้เห็นนางเป็นคนทรยศไปแล้ว หากยังมีทางคลี่คลายสถานการณ์ได้ภายในคืนนี้ล่ะก็ เช่นนั้นตอนนี้…

 

องครักษ์เงาหายตัวไปมากขนาดนั้น แถมเมื่อครู่เขายังลงมือพานางออกมาอีก ฮ่องเต้คงไม่ให้โอกาสนางกลับตัวอีกแล้วแน่นอน

 

ซื่อหรงได้ยินแล้วสายตาที่นิ่งดุจน้ำแข็งมาตลอดก็ค่อยๆ ปรากฏรอยร้าวขึ้นมา

 

นางเม้มปากแล้วก็เอ่ยถามเหมือนหงุดหงิดในทันใด “ทำไมต้องช่วยข้า?”

 

ซูอี้ขมวดคิ้วมองนัยน์ตาที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ของนาง

 

หากแค่โดนฮ่องเต้บีบบังคับ ผู้หญิงคนนี้คงไม่ถึงกับเป็นแบบนี้

 

คืนนี้ผู้หญิงคนนี้ทำทุกอย่างผิดปกติเกินไปหมด ทว่าเขาก็พอจะคาดเดาเบื้องหลังได้บ้าง ถึงอย่างไรเวลานี้ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาถอนหายใจและเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าทำทุกอย่างไปมากมายก็เพราะคนคนนั้นใช่หรือไม่?”

 

ซื่อหรงได้ยินแล้วก็หักใจหลับตาลงทันที

 

แม้นางไม่ตอบ แต่ในใจของซูอี้กลับรู้ดี เขาเขี่ยกองไฟตรงหน้าไปพลางและเอ่ยไปพลางว่า “เพราะเวลานี้ฝ่าบาทระแวงสงสัยเจ้า จึงอยู่กับเขาต่อไม่ได้แล้วหรือ?”

 

ถูกใช้เป็นเครื่องมือได้ แต่กลับไม่ยอมถูกทอดทิ้ง สรุปแล้วผู้หญิงคนนี้…

 

รู้สึกอย่างไรอยู่กันแน่?

 

ซูอี้คิดดูแล้วก็รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่มีเหตุผลในทันใด

 

เขาตั้งสติแล้วเงยหน้ามองหญิงสาวที่นั่งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามอีกครั้งว่า “เขาเป็นใครกันแน่? ทำไมต้องทำเพื่อท่านหญิงสวินหยางมากขนาดนั้น? ฉู่สวินหยางนาง…”

 

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” เขายังไม่ทันเอ่ยจบ ซื่อหรงก็เอ่ยแทรกอย่างเย็นชาก่อน

 

นางเงยหน้ามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที ทว่าตอนที่สบสายตาลึกซึ้งและช่างสังเกตของอีกฝ่าย ความโกรธที่เกือบจะระเบิดออกมาจากอกอยู่รอมร่อนั้นก็ถูกเก็บกักไว้ในอกอย่างฉับพลัน

 

แล้วนางก็หันหน้าหนีไปทางอื่นอีกครั้ง

 

ซูอี้มองเงาด้านข้างที่นางเหลือไว้ให้เขาพลางครุ่นคิดในใจ แล้วก็อดที่จะยิ้มเย้ยหยันกับตนเองเล็กน้อยไม่ได้ว่า “เขาสำคัญกับเจ้ามากหรือ? ถ้าไปจากเขาแล้วไม่ต้องฆ่าใครเพื่อเขาอีกก็ยังเสียใจหรือ?”

 

เขาเดาถูกตั้งแต่แรกแล้ว ผู้หญิงคนนี้ต้องมีเจ้านายอีกคนอย่างแน่นอน และในที่สุดคืนนี้เขาก็ได้รู้ความจริงว่าคนที่นางจงรักภักดีด้วยจริงๆ ไม่ใช่ฮ่องเต้

 

นางวางแผนทุกอย่าง พัวพันกับการฆ่าคน และถึงขั้นลงมือใต้จมูกฮ่องเต้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อคนนั้นโดยไม่คำนึงถึงอันตราย แสดงให้เห็นว่านางทุ่มเทอย่างสุดชีวิต

 

ทว่าวันนี้…

 

“เขาทอดทิ้งเจ้า เพราะเจ้าหมดประโยชน์แล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับเจ้านัก” ซูอี้เอ่ยพลางถอนหายใจ

 

เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะโมโห แต่ซื่อหรงประคองถ้วยอุ่นไว้ด้วยสองมือ ผ่านไปชั่วครู่กลับเอ่ยเพียงประโยคเดียวอย่างเฉยชา “เจ้าไม่เข้าใจ!”

 

ซูอี้ขมวดคิ้วและรีบแย่งถ้วยนั้นมา เขาจับและตรวจดูมือของนางข้างที่พันผ้าพันแผลเอาไว้อย่างละเอียด

 

ซื่อหรงเห็นเขาขมวดคิ้วแน่นและเอาใจใส่อย่างมากก็ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัว

 

“หึ…” นางหัวเราะอย่างขมขื่นเล็กน้อยและเบือนหน้าหนีไปมองทิวทัศน์กลางคืนด้านนอกที่ยังมีฝนตกปรอยๆ ลงมา บางทีเรื่องพวกนี้อาจจะถูกเก็บไว้ในใจนานเกินไปจนฝุ่นจับ และยากที่จะหาผู้ฟังได้สักคนอย่างในคืนนี้ จึงทำให้นางรู้สึกอยากจะระบายความในใจออกมา นางค่อยๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าติดตามเขามาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว ตอนนั้นเขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้และพาข้าออกมาด้วยตอนที่ข้าใกล้ตายพอดี แล้วก็ตอนนั้นเช่นกันที่ข้าได้รู้ว่าที่แท้ชีวิตนี้ข้ายังสามารถเลือกวิถีชีวิตแบบอื่นได้ ข้าไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาสนใจและใช้เป็นเครื่องมืออยู่ในมุมมืดตลอดเวลา ไม่ได้เกิดมามีอำนาจมากหรือร่ำรวยมากก็เป็นเรื่องดี ตลอดหลายปีที่ติดตามเขา ถึงแม้จะใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ข้าก็รู้สึกสบายใจและมีความสุข เคย…”

 

ความทรงจำของนางย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง แม้มุมปากจะเผลอยิ้มออกมาอย่างเบาบางมากโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่จริงใจมากทีเดียว

 

“เขาสอนข้าอ่านและเขียนหนังสือ สอนข้าป้อนอาหารไก่และเป็ดที่เลี้ยงอยู่ในบ้าน สอนข้าจุดไฟให้ตัวอุ่น และจะทำให้ท้องอิ่มเองได้อย่างไร ตอนนั้นข้าคิดจริงๆ ว่านั่นเป็นเส้นทางที่เหลืออยู่ทั้งชีวิตของข้าแล้ว” ซื่อหรงเอ่ยขึ้น แต่พอนึกถึงเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในภายหลัง น้ำตาก็ไหลออกมาอีกทันที นางห่อไหล่และก้มหน้ากอดเข่าของตนเองแน่น เสียงที่เอ่ยต่อมานั้นก็เริ่มสะอึกสะอื้นตามไปด้วย “ตอนข้าแปดขวบ ข้าก็เคยคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าข้าจะติดตามเขาไปตลอดชีวิต อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กซอมซ่อนั้นด้วยกันไปจนแก่เฒ่า แล้วฝังกลบดินไปด้วยกันในอีกร้อยปีให้หลัง แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกทำลายไปหมดแล้ว อยู่ดีๆ วันหนึ่งเขาก็จากไปโดยไม่ลาและทิ้งข้าโดยไม่บอกกล่าวแม้แต่คำเดียว ข้าตามหาเขามานานตลอดหลายปีนี้ ข้าแค่…ข้าแค่…”

 

นางเหมือนจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้จนขยุ้มผมของตนเองอย่างแรงในที่สุด “ข้าแค่อยากจะติดตามอยู่ข้างกายเขาเท่านั้น ถึงแม้เขาจะไม่รู้สึกอะไรกับข้าอีกแล้ว ข้าก็แค่อยากจะคอยติดตามอยู่ข้างกายเขาเท่านั้น แต่เขากลับบอกว่าเขาไม่ต้องการข้าแล้ว”

 

ความจริงแล้วในเมื่อสุดท้ายเป็นเช่นนี้ก็อย่าให้เขาเก็บนางกลับมาตั้งแต่แรกดีกว่า

 

เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ให้ความหวังที่อบอุ่นที่สุดแก่นาง ทว่าความหวังทั้งหมดกลับพังทลายย่อยยับในชั่วพริบตา

 

ใช้ชีวิตร่วมกันมาตั้งแต่ห้าขวบ รวมแล้วร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเกือบยี่สิบปี นี่ต้องใช้พลังใจมากขนาดไหนถึงทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วยบ่าแสนบอบบางของนางได้?

 

เพราะเพียงแค่อยากจะติดตามคนๆ หนึ่งเท่านั้น

 

ซูอี้ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาโอบบ่าแสนบอบบางของนางไว้ แต่เขากลับเม้มปากเพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มปลอบอย่างไรดี

 

เรื่องในอดีตของนางกับคนอื่นที่ยืดเยื้อมาเกือบยี่สิบปี ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเขาจะสามารถตัดสินและแสดงความคิดเห็นได้ตามใจชอบ

 

“ในเมื่อตอนนั้นเขาช่วยชีวิตเจ้าไว้ เช่นนั้นอย่างน้อย…” ผ่านไปนานทีเดียวกว่าเขาจะหาเสียงตนเองเจอและพยายามคิดหาคำว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ควรเห็นคุณค่าของชีวิตตนเอง และไม่ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ควรทำผิดต่อความหวังดีในตอนนั้น!”

 

ซื่อหรงเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและเอ่ยเสียงเศร้าว่า “แต่เขาต้องการให้ข้าไป แล้วในโลกอันกว้างใหญ่นี้ นอกจากติดตามอยู่ข้างกายเขาแล้ว ข้ายังจะไปที่ไหนได้อีก?”

 

การยึดถือคนหนึ่งเป็นที่พึ่งทางด้านชีวิตและจิตใจมานานเกินไปจนกลายเป็นความเคยชินแล้ว จะเปลี่ยนแปลงกันอย่างง่ายดายได้อย่างไร?

 

นัยน์ตาของหญิงสาวทั้งหวาดกลัวและสับสน น้ำตาพราวระยับนั้นเหมือนกับดาวที่อาจจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ตลอดเวลาในยามราตรี

 

ซูอี้มองนางแล้วพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

ผู้หญิงคนนี้ดูภายนอกเหมือนแข็งแกร่งไร้เทียมทานและเย็นชาไร้เยื่อใย ทว่าความจริงแล้ว…

 

เป็นเพียงแค่เด็กที่ขาดความอบอุ่นจึงต้องการความอบอุ่นและเอาใจใส่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

ความคิดมากมายสลับกันผุดขึ้นมาในใจ ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะลืมตัวและค่อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบแก้มนาง

 

ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บมาช่วงนี้เขามักจะรู้สึกมือเท้าเย็น ทว่าหลังจากเปียกฝนคืนนี้เหมือนจะรู้สึกร้อนขึ้นมาหน่อย ตอนนี้ปลายนิ้วของเขากลับร้อนจี๋จนน่าตกใจ

 

ปลายนิ้วของเขาสัมผัสแก้มของหญิงสาว

 

ซื่อหรงเผลอยืดหลังตรงและคิดจะหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ

 

แต่คืนนี้และเวลานี้นางรู้สึกเพียงหนาวไปถึงกระดูกทั้งตัวเท่านั้น ถึงแม้ปลายนิ้วของผู้ชายคนนี้จะร้อนแปลกๆ แต่กลับทำให้นางเกิดความรู้สึกอยากจะครอบครองจากใจ

 

“ไม่ต้องร้องแล้ว!” ซูอี้เอ่ยเสียงเบาปนแหบ “ถึงแม้ยี่สิบปีจะนานมาก แต่ต่อไปเจ้าก็ยังมีเวลาที่นานมากกว่าและค่อยๆ เดินออกมาจากอดีตนั้นได้ ในเมื่อหลายปีนี้ลำบากมาขนาดนั้น เช่นนั้นก็เดินออกมาเถอะ”

 

เดินออกมา? หากทำได้ นางจะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่ามาถึงตอนนี้หรือ?

 

ซื่อหรงรู้สึกเพียงเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก ทว่าพอเห็นนัยน์ตาจริงใจและใสซื่อของชายหนุ่มตรงหน้า น้ำตาก็ค่อยๆ เกาะพราวบนใบหน้า

 

นิ้วมือของซูอี้สัมผัสน้ำตาเย็นเยียบบนใบหน้าของนาง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนเผลอโน้มตัวไปข้างหน้าอีกและลูบริมฝีปากนาง ก่อนจะบรรจงจูบซับน้ำตาใสที่คลออยู่ตรงหางตาของนาง

 

ความรู้สึกที่แปลกไปกว่าที่เคยตีตราลงบนผิวกายของทั้งคู่ ทำให้ทั้งสองคนใจเต้นรัวเร็วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

 

ซื่อหรงตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง นิ้วมือของนางเผลอจับแผ่นไม้ที่นั่งทับอยู่แน่น

 

ซูอี้ก็ตกใจที่ตนเองลืมตัวเช่นนี้เหมือนกัน กระทั่งลมหายใจที่รดใบหน้าของหญิงสาวก็ยังแอบสั่นเล็กน้อย

 

——————————————–