บทที่ 115 เคารพซึ่งกันและกัน

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 115 เคารพซึ่งกันและกัน
เจียงวั่งทั้งสามคนออกมาจากประตูใหญ่กรมอาญา ซ่านฉาจึงเดินออกมาอีกครั้ง มือไพล่หลังไม่พูดไม่จา

“นายท่าน” ลูกน้องคนสนิทเขาเอ่ยขึ้นเสียงเบา “พวกเราจะยอมให้คนตัวจ้อยจากสำนักเต๋ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้เลยหรือ”

“ไม่ใช่ว่าเพราะพวกเจ้าทำงานไม่ได้เรื่องหรือ ตรวจสอบคดีอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปเสียที! ไม่เช่นนั้นจะมีที่ให้พวกเขาสอดมือหรือไรกัน”

ปกติมีเพียงคดีที่กรมอาญาไม่สามารถจัดการได้ จึงจะไปปรากฏบนกระดานแต้มเต๋า นี่เพื่อหลีกเลี่ยงอำนาจด้านอาชีพที่ไม่ชัดเจน

“ศิษย์สำนักเต๋าเหล่านี้ถูกชุบเลี้ยงมาอย่างตามใจ จะไปรู้เรื่องการสืบคดีได้อย่างไรกัน” ลูกน้องคนนี้เอ่ยขึ้นอย่างหยามเหยียด “ให้พวกเขาเสียเวลาเปล่าไปแล้วกัน!”

ซ่านฉาไม่แสดงท่าที เพียงแต่เรียกผู้ฝึกตนเตี้ยวเซาเหมยมาก่นด่าเสียรอบหนึ่ง จากนั้นจึงสอบถามเรื่องที่เจียงวั่งซักจากเขาอย่างละเอียด จากนั้นจึงโบกไม้โบกมือให้เขาออกไป

“แต่ไหนแต่ไรมีเพียงกรมอาญาอย่างพวกเราที่กำเริบเสิบสานได้ มีเหตุผลต้องถูกคนเหยียบศีรษะเสียที่ไหนกัน สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินนับตั้งแต่ที่เจ้าหินเน่าต่งเออเข้ามาก็แย่ลงเรื่อยๆ” ซ่านฉาเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “หัวหน้ากรมจี้ช่วงนี้ก็กำลังลาดตระเวนในเขตปกครองอยู่ รอให้เขากลับมาเมืองเฟิงหลินเสียก่อนเถอะ เราจะต้องไปกลัวใครอีกกัน”

ระดับชั้นของเขายังไม่พอ และยังไม่รู้ว่าจี้เสวียนเองก็เคยมาแล้ว ซ้ำยังถูกซ่งเหิงเจียงไล่กลับไปอย่างอัปยศที่ริมแม่น้ำชิง

“ใช่เลย!” ลูกน้องรีบขานรับ

ซ่านฉาร้องฮึเสียงเย็น “ตระกูลเจ้าย้ายมาในเมืองได้ไม่นาน แต่ร่ำรวยถึงขนาดนี้ ดูท่าความจริงน่าจะไม่สะอาดนัก หลายปีมานี้ดูซื่อสัตย์สุจริตดี เคารพเชื่อฟังต่อระดับผู้อาวุโสเป็นอย่างดี พวกเราปิดตาข้างหนึ่งก็จบแล้ว ตอนนี้เจ้าเด็กน้อยสกุลเจ้ากลับกำเริบเสิบสานเสียขนาดนี้ เช่นนั้นก็ลองตรวจสอบพื้นความจริงของตระกูลเขาดู ลองดูว่าจะเจออะไรบ้าง!”

กรมอาญาถึงแม้จะรับผิดชอบคดีที่ไม่ธรรมดา แต่ความธรรมดาหรือไม่ธรรมดา ใครเล่าเป็นคนตัดสิน

เพราะว่าตัวตนอำนาจซ้อนทับกันในเขต ปกติสถานที่ที่เจ้าเมืองมีอำนาจแข็งแกร่ง กรมอาญาก็จะให้ความร่วมมือกับเจ้าเมือง ส่วนสถานที่ที่เจ้าเมืองอำนาจอ่อนแอ กรมอาญาจะโดดเด่นเป็นเอกเทศ

และในเขตปกครองแม่น้ำชิง เพราะความแข็งแกร่งของหัวหน้ากรมจี้เสวียน พื้นที่เมืองใหญ่ต่างๆ ในเขตปกครอง กรมอาญาจึงเหมือนมีอำนาจอยู่ไม่มากก็น้อย กินกันจนตัวอ้วนพีไปหมด

“ข้าน้อยทราบแล้ว” คนสนิทอดยิ้มชั่วร้ายออกมาไม่ได้ เริ่มคิดคำนวณว่าตนเองจะได้รับส่วนแบ่งจากเรื่องนี้เท่าไร

เตี้ยวเซาเหมยรู้สึกว่าการประเมินของภารกิจสอดคล้องกับขั้นตอน ไม่มีความเห็นส่วนตัว และไม่มีเรื่องอย่างเจตนาร้ายไม่ดีอะไรพวกนั้นอีกด้วย

อย่างน้อยผลลัพธ์การสำรวจของพวกเจียงวั่งก็เป็นเช่นนี้

ต้นตอของภารกิจในตอนนั้น คือประชาชนครอบครัวหนึ่งในตำบลตู้เจียประสบเหตุ

จากร่องรอยในที่เกิดเหตุไม่ว่าจะพิจารณาอย่างไร พลังบำเพ็ญของคนร้ายก็ไม่น่าเกินระดับเก้าเคลื่อนชีพจรไปได้ เตี้ยวเซาเหมยประเมินภารกิจนี้อยู่ที่ระดับแปด โดยคำนึงไปถึงระดับความไม่แน่นอนของพวกวิถีชั่วร้ายด้วย รวมไปถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้เมืองเฟิงหลินก็เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย ทำให้มิติความอันตรายเพิ่มขึ้นสูง

และด้านของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน ระดับแปดโจวเทียนสองคน ระดับเก้าเคลื่อนชีพจรสามคน องค์ประกอบเช่นนี้ การจะสำเร็จภารกิจระดับนี้มันแทบจะแน่นอนไม่มีพลาดอยู่แล้ว

แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เกิดการสูญเสียที่หนักหนาที่สุดครั้งแรกของศิษย์สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินหลังจากเรื่องตำบลเสี่ยวหลิน ศิษย์สำนักเต๋าต้องเสียสละไปถึงสี่คน และต้องรู้เอาไว้ด้วย ว่าแต่ละปีที่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินรับศิษย์เข้าสำนักในก็มีแค่เพียงสิบคนเท่านั้น

ศิษย์สำนักเต๋าทุกคน ล้วนเป็นรากฐานของรัฐ และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้อย่างมาก หลังจากที่กรมอาญาตรวจสอบไม่คืบหน้า จึงได้ส่งพวกเจียงวั่งเข้ามาตรวจสอบ

พอออกจากกรมอาญา จุดหมายที่สามของพวกเจียงวั่งคือพื้นที่ตระกูลจาง

นี่เป็นผลลัพธ์ที่ทั้งสามหารือกันออกมา ความคิดของพวกเขาชัดเจนอย่างมาก

จากฟางเฮ่อหลิงจนถึงกรมอาญา ถัดไปก็คือจางซีจื้อ หรือก็คือหัวหน้ากลุ่มผู้รับผิดชอบต่อภารกิจนี้

ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว แต่ข้อมูลของเขายังไม่ตายจากไป

ในบ้านของเขาหรือเพื่อนของเขา ยังมีจางซีจื้อที่มีชีวิตอยู่ในความทรงจำ

กรมอาญาอยู่ทางด้านเหนือของจวนเจ้าเมือง ห่างจากจวนเจ้าเมืองไม่ไกลนัก อยู่ติดกับถนนใหญ่พฤกษาคราม

ดูจากตำแหน่งภูมิศาสตร์ หากเดินออกจากตระกูลฟาง ตรงไปพื้นที่ตระกูลจางก่อนจากนั้นค่อยไปกรมอาญาดูจะเป็นเส้นทางที่สะดวกกว่า

แต่เจียงวั่งพวกเขาเลือกเดินอ้อม เพราะอันที่จริงลำดับการก็สำคัญกว่าลำดับตามภูมิศาสตร์อยู่มาก

ตระกูลจางปัจจุบันนี้เป็นผู้นำของสามตระกูลใหญ่อย่างสง่าน่าเกรงขาม แต่พอเดินเข้าไปในพื้นที่ตระกูลพวกเขา กลับไม่ได้รู้สึกถึงความหยิ่งผยองเสิบสานอะไรเลย ตรงกันข้าม คนจากตระกูลจางที่เจอตามทางกลับรู้จักมารยาทอย่างมาก หลังจากที่รู้ว่าพวกเขาเป็นศิษย์สำนักเต๋า ก็มีคนตรงเข้ามานำทางให้กับพวกเขา

พวกของเจียงวั่งแบ่งออกเป็นสามทาง แบ่งออกเป็นไปยังบ้านจางซีจื้อ บ้านเพื่อนสนิทที่สุดของจางซีจื้อ และบ้านของประมุขตระกูล

เจียงวั่งไปยังบ้านประมุขตระกูล

ไปที่บ้านจางซีจื้อจะได้รับเบาะแสมากที่สุดแน่นอน และเจ้าหรู่เฉิงก็เป็นคนที่น่าจะไม่พลาดเบาะแสเหล่านี้มากที่สุด

สำหรับประมุขตระกูลจางถ้าว่ากันตามลำดับอาวุโส ก็น่าจะเป็นปู่ของจางหลินชวน แต่ไม่ได้อยู่ในสายเลือดเดียวกับจางหลินชวน

แน่นอน ด้วยพลังของจางหลิงชวนในตอนนี้ เขาจึงได้กลับเข้าไปอยู่ในผังตระกูลแล้ว กระทั่งหากไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากอยู่ที่นี่ ตำแหน่งประมุขตระกูลคนต่อไปก็ไม่มีใครอื่นนอกจากเขาเหมือนกัน

เจียงวั่งในถานะที่เป็นดาวรุ่งคนใหม่ที่มีชื่อขึ้นมาในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน ประมุขตระกูลจางจึงหาเวลามาเป็นพิเศษ ช่วยเขาสะสางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจางซีจื้อ รวมไปถึงสนับสนุนภารกิจของเขาด้วย

ทั้งสองคนคุยกันพักหนึ่ง ไม่ได้รับอะไรมากนัก ตอนที่เจียงวั่งกำลังจะบอกลา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังเข้ามาจากด้านนอก “นายน้อยหลินชวนกลับมาแล้ว!”

จางหลินชวนย่ำเข้ามาในบ้านตามเสียง เอ่ยขึ้นกับประมุขตระกูลจางก่อนอย่างมีมารยาท “หลินชวนเข้ามาทักทายท่านปู่”

มารยาทครบถ้วนสมบูรณ์

ประมุขตระกูลจางนั่งตัวตรง ยื่นมือออกมายิ้มอย่างมีอัธยาศัย “เจ้าบากบั่นฝึกบำเพ็ญ นานๆ จะได้กลับมาสักครั้ง ไม่จำเป็นต้องเข้ามาหาข้าทุกครั้งหรอก”

“เรื่องนี้สมควรแล้ว” จางหลินชวนยิ้มทักทายเจียงวั่ง “ศิษย์น้องเจียงวั่งมาเป็นแขกที่บ้านข้าหรือ”

เจียงวั่งไม่มีการเย่อหยิ่งทะนงตัว ลุกยืนอยู่อีกด้านนานแล้ว เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขืน “ไม่ใช่ว่าถูกแบ่งภารกิจมาหรือไร ไม่รู้ว่าเป็นความต้องการของรองเจ้าสำนักซ่ง หรือว่าความต้องการของเจ้าสำนักต่ง”

เขาไม่เอาเรื่องนี้ไปถามต่งเออแน่นอน ต่งเออเองก็คงไม่สนใจเขาด้วย ต่งเออเป็นเจ้าสำนักเต๋า ไม่ใช่แม่นมของใครเสียหน่อย

“โอ๋?” จางหลินชวนเอ่ยขึ้นอย่างสนใจ “นี่มันแตกต่างกันตรงไหนหรือ”

แตกต่างกันมากเลยเถอะ! ถ้าหากเป็นต่งเออก็คือให้ความสำคัญ แต่ถ้าหากเป็นซ่งฉีฟางไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการสร้างความลำบากให้ก็ได้

“ไม่มีอะไรหรอก” พอเกี่ยวข้องถึงการเสียดสีกับซ่งฉีฟาง เจียงวั่งไม่อยากพูดเยอะ เปลี่ยนหัวข้อ “วันนี้มามือเปล่า ไม่สะดวกจะต้อนรับ รอให้จบภารกิจครั้งนี้ คราวหน้าจะมาชวนศิษย์พี่จางร่ำสุราด้วยกัน”

“ได้” จางหลินชวนยิ้ม จากนั้นจึงเอ่ยลากับประมุขตระกูลจาง “ท่านปู่ เช่นนั้นข้าขอกลับบ้านก่อน”

ชายชราเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะไปเถอะ ให้แม่ของเจ้ารอนาน ประเดี๋ยวได้บ่นข้าแน่”

ครั้งต่อไปจากปากของผู้ใหญ่ที่ไม่กำหนดเวลาแน่นอน ปกติจะถือว่าไม่มีครั้งที่ว่า

จางหลิงชวนเดินออกจากบ้านประมุขตระกูล ตรงไปยังบ้านของตนเอง ตลอดทางพอเจอกับคนในตระกูลที่ทักทายเขา เขาก็พยักหน้าตอบกลับ เพียงแต่ในมือยังมีผ้าผืนนั้นปิดปากเอาไว้ตลอด แต่คนในตระกูลเองก็ไม่มีใครใส่ใจ ล้วนรู้ถึงนิสัยรักสะอาดของเขา

บ้านของจางหลิงชวนไม่ใหญ่นัก แต่เรือนสี่ทางเข้าก็ไม่ถือว่าขี้เหร่นัก บิดาของเขาเป็นผู้ดูแลคนหนึ่งในตระกูล งานการไม่เยอะนัก แต่เงินกลับมีไม่ขาดมือ

ด้วยพลังของจางหลินชวน ในปัจจุบันกับอนาคตภายภาคหน้า ทั่วทั้งตระกูลไม่มีใครคิดจะเอาเปรียบต่อครอบครัวเขา

ยังไม่ทันเข้าบ้าน คนรับใช้ก็ออกมาต้อนรับแล้ว

“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว จะกินข้าวไหม นายท่านกับท่านหญิงรออยู่!”

ตอนที่เขาก้าวเข้ามาในเขตตระกูล ที่บ้านก็คงจะเตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว

จางหลินชวนพยักหน้า เดินตรงไปยังห้องอุ่นเพื่อกินข้าว

บิดามารดานั่งรอเขาอยู่ที่ตำแหน่งหลักบนโต๊ะกินข้าวแล้วตามคาด

บิดาจางเป็นคนมีนิสัยโบราณ พอเห็นลูกชายก็ดีใจ แต่สีหน้ากลับไม่เปิดเผยออกมามากนัก เพียงแต่เอ่ยขึ้นเรียบๆ “นั่งเถอะ”

ทว่ามารดากลับยิ้มให้เขา เลื่อนจานปลากะพงไปด้านหน้าที่นั่งเขา “หลินชวน เรียบๆ ชิมดู”

จางหลินชวนเดินมาถึงตำแหน่งของตนเอง มองเก้าอี้ผาดหนึ่ง ก็อดใช้ผ้าเช็ดมือเช็ดไปที่รอยเปื้อนน้ำมัน..น่าจะหยดลงมาตอนขึ้นสำรับอย่างไม่ทันระวัง…จากนั้นจึงนำเอาผ้าเช็ดมือทั้งผืนวางไว้ข้างๆ

และเขาก็ได้ยินเสียงเดือดดาลของบิดา “นี่มันเกิดอะไรขึ้น บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าวันนี้หลินชวนจะกลับมากินข้าว ให้เจ้ากำชับลูกน้องปัดกวาดให้ดี แต่ขนาดเก้าอี้ก็ยังทำไม่สะอาด!”

เสียงของมารดายังคงรู้สึกน้อยใจ “ทั้งในทั้งนอกปัดกวาดกันไปตั้งหลายรอบแล้วนะ…”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” จางหลินชวนยิ้มไกล่เกลี่ย “พวกเรากินข้าวกันเถิด”

ทั้งครอบครัวนั่งกินข้าวด้วยกัน แบ่งโต๊ะกลมแบ่งเฉลี่ยออกเป็นสามส่วน แต่ละคนยึดครองคนละมุม

เคารพซึ่งกันและกัน

……………………………………….