ตอนที่238 เหรินจานซวนขอความช่วยเหลือ

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่238 เหรินจานซวนขอความช่วยเหลือ

เหลียวปี้เอ๋อร์เอ่ยปากกล่าวมีท่าทีไม่ค่อยมั่นใจนัก

“แค่ต้องการเลิกจ้างเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องหาข้อแก้ตัวด้วย?”

จ้าวเฉียนหัวเราะกล่าวตอบไปว่า

“ฉันแค่ทำตามหน้าที่ในการชี้แจ้งและอธิบายให้คุณทราบ ซึ่งคุณเหลียวจะต้องทำตามคำสั่งของเราในอนาคตต่อไป ผลที่ตามมาพวกเราจะรอรับผิดชอบเอง มั่นใจได้ว่าจะไม่กระทบไปถึงคุณแน่นอน ปัญหาหลักขอบบริษัทคุณที่ทางเราเล็งเห็นมีอยู่สองประการคือ หนึ่ง พนักงานโดยส่วนใหญ่เป็นคนแก่มีอายุ ไร้ซึ่งเป้าหมายและไฟในการทำงาน ไอเดียที่ออกมาแต่ละอย่างจึงทั้งเก่าและล่าสลัมย และสอง สังคมในการทำงานของที่นี่ไร้ซึ่งการแข่งขัน ทำให้พนักงานแต่ละคนไม่กระตือรือร้นในการพัฒนาตัวเอง ดังนั้นบริษัทของคุณถึงแย่แบบนี้ไง ส่วนเรื่องที่ผมกับสามีของคุณขัดแย้งกันมันแทบไม่เกี่ยวเลยด้วยซ้ำ”

เหลียวปี้เอ๋อร์ได้ฟังแบบนั้นก็พูดไม่ออกเช่นกัน ปัญหาทั้งสองประการที่จ้าวเฉียนกล่าวถึงมันร้ายแรงจริงๆ

เหลียวปี้เอ๋อร์กับเฉินกวนอวี้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้มานานแล้ว และก็มีหลายครั้งที่พวกเราพยายามคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม พนักงานหลายคนในบริษัทเป็นญาติพี่น้องที่มาจากบ้านเกิดของเฉินกวนอวี้ ดังนั้นการจะติเตียนหรือลงโทษอะไร พวกเขาจึงไม่กล้าออกตัวแรงเท่าไหร่นัก

ปัญหานี้จึงกลายมาเป็นมะเร็งกัดกินบริษัทอยู่หลายปี จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ตอนนี้ฟู่ไห่ได้เข้ามาควบคุมบริษัทแล้ว จึงเป็นการดีเช่นกันที่จะเริ่มต้นทุกอย่างวใหม่โดยปราศจากข้ออ้างใดอื่น

เหลียวปี้เอ๋อร์พยักหน้าตอบว่า

“ฉันเข้าใจแล้ว ถ้าพวกเรากล้าตัดสินใจไล่พนักงานออกเร็วกว่านี้ บางทีบริษัทคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เห็น”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า

“ดังนั้นผมหวังว่าคุณเหลียวจะปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของทางเราอย่างเคร่งครัดนะครับ ใครที่ไม่ผ่านเกณฑ์ก็ไม่ควรเห็บไว้ หากมีใครต่อต้านหรือคิดประท้วงขึ้นมาจริงๆ ให้โทรแจ้งตำรวจทันทีก่อนเรื่องจะบานปลายเข้าใจไหมครับ?”

เหลียวปี้เอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็พยักหน้าตอบ

จ้าวเฉียนลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวอำลาทันที

“ถ้าอย่างนั้นผมของตัวก่อนนะครับ ฝากคุณเหลียวจัดการที่เหลือต่อด้วย อีกอาทิตย์หนึ่งผมจะกลับมาดูว่าคุณคัดพวกไม่มีประสิทธิภาพออกไปกี่คนแล้ว”

จู่ๆ เหลียวปี้เอ๋อร์ก็รีบเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วหลังจากที่คนพวกนั้นถูกไล่ออกไป ใครจะเข้ามารับผิดชอบพวกเขาต่อ?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“ไม่ต้องห่วงครับ กระทรวงทรัพยากรมนุษย์จะเข้ามารับช่วงต่อเอง ขอแค่คุณเหลียวมีความเด็ดขาดมากพอ เราจะสามารถกำจัดสังคมมะเร็งร้ายที่กัดกินบริษัทได้แน่นอน แล้วทรงหน่วยงานรัฐจะเข้ามารับผิดชอบหางานใหม่ที่เหมาะสมให้พวกเขาเอง เข้าใจไหมครับ?”

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะพยายามอย่างดีที่สุด จะไม่ให้นายผิดหวังแล้วกัน”

เหลียวปี้เอ๋อร์พยักหน้าตอบ

จ้าวเฉียนโบกมือลาเธอ และกลับขึ้นรถจากออกไปโดยตรง

เพียงไม่กี่นาทีหลังจากขับรถออกไป โทรศัพท์มือถือของจ้าวเฉียนก็ดังขึ้น พอหยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นเหรินจานซวนที่โทรเข้ามา

จ้าวเฉียนรีบรับสายทันทีและถามว่า

“คุณเหริน มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

น้ำเสียงของเหรินจานซวนในขณะนี้ดูหวาดกลัวอย่างมาก เธอกล่าวตอบเสียงสั่นว่า

“คุณอยู่ไหนค่ะ? คุณ…คุณช่วยมารับฉันทีได้ไหม?”

พอได้ยินน้ำเสียงของเธอ จ้าวเฉียนก็รีบเอ่ยถามขึ้นต่อโดยไว

“เกิดอะไรขึ้น? มีคนตามมาอีกแล้วเหรอ?”

เหรินจานซวนรีบตอบทันทีว่า

“คราวนี้มันแย่กว่านั้น คนที่ฉันส่งไปลอบติดตามเลขาของจานต้าเฉินเพิ่งมารายงานว่า เขาจะมาลักพาตัวฉันคืนนี้ เพื่อบังคับให้ฉันโอนหุ้นให้แก่เขา พรุ่งนี้เป็นวันประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว อีกฝ่ายต้องการหุ้นทั้งหมดในมือฉัน และขึ้นกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ฉันซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานไม่กล้าออกไปไหน คุณช่วยมารับฉันทีได้ไหม? ขอร้อง…”

สิ่งที่จ้าวเฉียนสนใจจริงๆ คือ หุ้นส่วนเซียนเหว่ย เทคโนโลยีไม่ใช่เหรินจานซวน ดังนั้นเขาจึงติอบไปว่า

“นี่เป็นศึกภายในของบริษัทคุณ ผมก็แค่คนนอกคงไม่สามารถเข้าไปช่วยอะไรได้ ถ้าจานต้าเฉินทราบถึงตัวตนของผม เขาจะชี้เป้ามาจัดการผมเป็นรายต่อไปแน่นอน ผมลำบากใจนะครับที่ต้องพูดแบบนี้ ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้จริงๆ ต้องขอโทษด้วย”

หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็กดวางสายไป ตราบใดที่เหรินจานซวนไม่ยอมมอบหุ้นส่วนแก่เขา เขาเองก็ไม่อยากเปลืองตัวเข้าไปเกลือกกลั้วด้วยแน่นอน

จานต้าเฉินต้องการเพียงความเท่าเทียม และจ้าวเฉียนไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำร้ายถึงชีวิตเธอ เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่งเหรินจานซวนก็โทรเข้ามาอีกครั้ง และกล่าวว่า

“คุณยังต้องการหุ้นส่วนในมือฉันอยู่ไหม?”

จ้าวเฉียนตอบไปตามตรงว่า

“แน่นอน ผมต้องการถือหุ้นเซียนเหว่ยอยู่แล้ว แต่แนวคิดระหว่างผมกับคุณเหรินมันค่อนข้างแตกต่างกัน ผมจึงต้องจำใจปล่อยไป”

เหรินจานซวนลังเลอยู่สักครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบไปว่า

“ฉันจะขายหุ้นให้คุณ แต่คุณต้องให้สัญญากับฉันก่อนสามข้อ”

จ้าวเฉียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถามไปว่า

“สามข้อที่ว่าคือ? คุณลองบอกมาก่อน”

เงื่อนไขสามข้อที่เหรินจานซวนเสนอขึ้นมามันค่อนข่างจริงจังอย่างยิ่งสำหรับเธอ คือหนึ่ง จ้าวเฉียนจะต้องปกป้องเธออย่างไม่มีเงื่อนไข และรับรองความปลอดภัยของเธอ ซึ่งอันนี้มันค่อนข้างสมเหตุสมผล จ้าวเฉียนตอบตกลงโดยไม่ลังเล

และข้อสองคือ จ้าวเฉียนจะต้องดูแลเธอไปตลอดชีวิต ซึ่งเงื่อนไขข้อนี้ดูท่าจะเกินไปหน่อย จ้าวเฉียนจึงเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“ดูแลเธอไปตลอดชีวิตมันหมายความว่าไง? ให้ข้าวให้น้ำคุณครบสามมื้อทุกวันแบบนี้เหรอ? ถ้าอย่างนั้นไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่เกรงว่าคุณจะไม่ขอแค่นั้นน่ะสิ ถ้าจะต้องให้แบกรับค่าใช้จ่ายรายเดือนนับล้าน ผมก็ไม่ไหวหรอกนะ”

เหรินจวนซวนรับอธิบายให้ฟังทันทีว่า

“ไม่ต้องกังวลค่ะ ฉันไม่ล่วงเกินคุณถึงขนาดนั้นแน่นอน แค่ตอบสนองปัจจัยพื้นฐาน ไม่ต้องเลี้ยงดูแบบไฮโซ แต่ขอเพียงไม่แย่กว่าคนธรรมดาเท่านั้นพอค่ะ หรือคิดซะว่าฉันเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ถ้าในอนาคตคุณแต่งงานไป เธอคนนั้นกับคุณก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบฉันด้วย”

ยกตัวอย่างคือ ธุรกิจครอบครัวของจ้าวเฉียน เหรินจานซวนจะไม่เข้ามายุ่งเด็ดขาด เพียงว่าเขาจะต้องดูและและคอยตักเตือนเธอหากออกไปนอกหลู่นอกทางเสมือนน้องสาวคนหนึ่งของเขา มิฉะนั้นกลับเป็นตัวจ้าวเฉียนเองที่จำต้องแบกรับผลที่ตามมา

และข้อสุดท้าย เหรินจานซวนต้องการให้จ้าวเฉียนขับไล่จานต้าเฉินออกจากบริษัทของเธอ หรือถ้าเป็นไปได้ ปล่อยให้อีกฝ่ายล้มละลายเลยเป็นดีที่สุด หากทำได้แบบนั้น เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลอีกฝ่ายทีหลัง

จ้าวเฉียนตอบตกลงไปโดยไม่ลัเงเล การจะขับไล่จานต้าเฉินออกไปมันง่ายมากสำหรับจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนเอ่ยขึ้นว่า

“ผมยอมรับเงื่อนไขทุกข้อของคุณ มีอะไรต้องการจะเพิ่มอีกไหม?”

เหรินจานซวนครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนตอบไปว่า

“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ และฉันเชื่อว่า ด้วยบุคลิกนิสัยของตัวคุณเองหวังว่าจะไม่ทำผิดสัญญาที่ให้ไว้นะคะ ส่วนตอนนี้รีบมารับฉันที่เซียนเหว่ยที ฉันหิวแล้ว อยากออกไปหาอะไรทาน”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปว่า

“โอเค ผมกำลังรีบไป”

เหรินจานซวนตอบติดตลกกลับไปว่า

“ได้ค่ะ แล้วฉันจะรอ ขับรถปลอดภัยนะคะ แต่ถ้าไฟเขียวรีบซิ่งมาเลย”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะคำโตและวางสายไป เหยียบคันเร่งมิดซิ่งไปที่บริษัทเซียนเหว่ยโดยเร็วที่สุด

ประมาณสี่สิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนจอดอยู่หน้าบริษัทเซียนเหว่ย แต่เขากลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป นอกจากนี้เขายังต้องลงมาแสดงตัวตน ทั้งใบขับขี่และบัตรประชาชน โดนยามตรวจสอบชนิดที่ว่าราวกับตำรวจมาสอบปากคำ

จ้าวเฉียนไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้มากนัก ดังนั้นเขาจึงโทรเรีกเหรินจานซวนทันที

ไม่นาน เขาก็โทรหาเธอติด

“นี่อยู่ไหนแล้วค่ะ?”

จ้าวเฉียนตอบเจือน้ำเสียงหงุดหงิด

“ฉันมาถึงหน้าบริษัทคุณแล้ว แต่ยามกลับไม่ยอมให้ผมเข้าไปสักที คุณรีบออกมาเร็วๆ แล้วกัน ผมจะรออยู่หน้าประตู”

เหรินจานซวนรับส่ายหัวปฏิเสธทันที

“ไม่…ไมได้ค่ะ…มีคนของจานต้าเฉินอยู่ข้างนอกเต็มไปหมด ถ้าฉันออกไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับเดินเข้าปากเสือ?”

จ้าวเฉียนที่ได้ฟังดังนั้นพลันอดหัวเราะไม่ได้ กล่าวตอบกลับไปทันทีว่า

“เข้าปากเสือ? ได้ข่าวว่าที่นี่คือบริษัทของคุณเอง ถ้ามีคนไล่ตามขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ตะโกนร้องดังๆ ขอความช่วยเหลือ แล้วดูซิว่า คนพวกนั้นยังจะกล้าตามมา? คงไม่ใช่ว่าทุกคนในบริษัทเป็นพวกของจานต้าเฉินหมดจริงไหม?”

เหรินจานซวนรู้สึกว่าคำกล่าวของจ้าวเฉียนมันค่อนข้างสมเหตุสมผล จะต้องไปกลัวอะไรกับบริษัทของตัวเธอเอง? คิดได้ดังนั้นเธอก็รีบวิ่งออกไปทันทีอย่างกล้าหาญ และตามที่คิดไว้ มีคนไล่ตามติดเธอเข้ามา