ตอนที่ 20 คำขอสุดท้าย (2)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

เมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของแอสรัน ราธบันและเลออนที่กำลังหายใจถี่รัวก็ตัวแข็งทื่อและมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

แอสรันเรียกพวกเขาว่าไอ้ลูกหมาและปฏิบัติราวกับพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยอยู่เสมอ แอสรันผู้นั้นกลับเอ่ยเรียกชื่อของพวกเขา

แอสรันแค่นเสียงพลางมองทั้งสองคน ก่อนจะก้มตัวลงสบตากับลีน่าในอ้อมแขน กระทั่งสภาพที่หายใจหอบทั้งน้ำตาก็ยังดูน่ารักได้ หญิงสาวผู้นี้จะทำให้เขาได้รู้จักความรู้สึกอีกกี่มากน้อยกัน

“…แอสรัน?”

ไม่รู้เพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติหรือไม่ นางถึงได้กลั้นน้ำตาและมองเขา

“เดี๋ยวก่อน…แอสรันจะทำอะไร…”

แอสรันไม่ได้ตอบคำถามนั้น กลับวางมือเหนือหน้าท้องของนางแทน เขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของลูกที่อยู่ใต้ผิวหนังอบอุ่น

ไม่ว่าอย่างไร เขาก็อยากให้พลังศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกลับมาหานาง เช่นนั้นลูกของเขาจึงจะสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย ทว่า บัดนี้แอสรันตระหนักได้ว่าเขาไม่เหลือเวลาและพลังให้ทำเช่นนั้นอีกแล้ว

‘หากเป็นเช่นนี้ต่อไป…’

ลูกของปีศาจเติบโตเร็ว ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่นานแล้วก่อนที่มันจะฉีกทึ้งร่างกายที่ไม่ต่างไปจากมนุษย์ที่ไร้ซึ่งพลังใดๆ ของนาง

“อึก!”

อาจเพราะลูกที่อยู่ใต้ผิวหนังตระหนักได้ถึงเจตนาของพ่อตนเอง มันถึงได้เริ่มดิ้น แอสรันโอบเอวลีน่าแล้วค่อยๆ ส่งพลังเวทของเขาเข้าไปในร่างนาง

‘ฆ่าดีไหม’

วิธีการอันเรียบง่ายที่สุดที่สามารถช่วยนางได้คือการฆ่าลูกของเขา แต่ทว่าเขาไม่อยากทำถึงขนาดนั้น

เขาเสพสุขกับผิวอันบอบบางอย่างบ้าคลั่ง ในทุกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยที่เขาทิ้งไว้ แอสรันจะรู้สึกพึงพอใจและผิดหวังไปพร้อมกัน เหตุใดสิ่งที่สวยงามและน่าพอใจถึงเพียงนั้นต้องหายไปตามกาลเวลา แอสรันต้องการทิ้งร่องรอยที่ไม่มีวันลบออกให้นางในทุกครั้ง ด้วยเหตุนั้น ในตอนที่นางตั้งท้อง เขาจึงรู้สึกได้ถึงความพึงพอใจอย่างสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก ในที่สุด ร่องรอยที่จะคงอยู่ตลอดไปก็ถูกสลักไว้บนตัวนาง

ดังนั้นเขาไม่อาจฆ่าลูกคนนี้ได้ ถ้าอย่างนั้น…

“ฮา อึก!”

ลีน่าบิดตัวเพราะจู่ๆ ในท้องก็รู้สึกราวกับมีอะไรกำลังกระพือปีก แต่แอสรันยังคงไม่ถอนมือออก และทำสิ่งที่เขาต้องทำต่อไป

หลังจากสัมผัสได้ว่าลูกของตนเริ่มกลายร่างแล้ว แอสรันก็หักปีกของมันทั้งอย่างนั้น เขาสัมผัสได้ถึงเสียงกรีดร้องที่ไม่ได้ยินและยังคงส่งพลังเวทเข้าไปต่อ พลังเวทของเขาคลุมตัวลูก ก่อนจะเริ่มบดขยี้แก่นพลังเวททีละชิ้น โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก

ให้สิ่งที่อยู่ด้านในไม่อาจกลายเป็นปีศาจได้

การสังหารสำเร็จลุล่วงอย่างรวดเร็ว

“อึก…”

แอสรันกอดร่างของลีน่าที่กำลังจะล้มลง หยดน้ำอุ่นๆ ตกลงบนใบหน้าของนางดังแหมะ สุดท้ายแล้ว นางก็สอนให้เขารู้จักกระทั่งน้ำตา

แอสรันลูบหน้าท้องที่เงียบสงบแล้วของนาง เขาไม่ได้ยินเสียงของปีศาจที่ต้องพบกับความตายด้วยเงื้อมมือของพ่อมันเองอีกแล้ว ที่ตรงนั้นเหลือเพียงลูกของมนุษย์เท่านั้น

จากนี้ไป ลูกของแอสรันจะไม่อาจได้ยินเสียงของเขา ไม่อาจตอบกลับเขาและจดจำเขาไม่ได้อีกต่อไป

แอสรันหลั่งน้ำตาพลางมองราธบันกับเลออน เขากอดนางที่หมดเรี่ยวแรงไว้ในอ้อมแขน แล้วเอ่ยเรียกพวกเขา

“พาลีน่าไป”

“แอส…รัน…”

แอสรันหมุนตัวกลับอย่างไร้เยื่อใยทันทีที่ทั้งสองคนเข้ามาอุ้มนางไป นางเอื้อมมือออกไปด้วยความตกใจ แต่มีเพียงเส้นผมสีแดงที่สัมผัสผ่านนิ้วมือ

แอสรันมองท้องฟ้า ท้องฟ้าฝั่งตรงข้ามที่พระเจ้าบรรพกาลจุติลงมาเริ่มถูกย้อมเป็นสีแดง พื้นที่พลันบิดเบี้ยวอีกครั้ง เท้าของสัตว์เดรัจฉานที่มีขนสีแดงปรากฏออกมาผ่านรอยร้าวขนาดใหญ่

ปีศาจที่ยอมแพ้ในการกลับไปโลกเดิมของมันและล้มเลิกการกอดใครสักคน ได้เปิดเผยร่างเดิมที่สมบูรณ์แบบของมันต่อโลกเพื่อเข่นฆ่าพระเจ้า

นับตั้งแต่โลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมา นี่คือเสียงโหยหวนที่ดังสั่นสะเทือนโลกที่สุด

เป็นเสียงร้องไห้ของสัตว์เดรัจฉานที่ฆ่าลูกด้วยมือของมันเอง และทำได้เพียงทอดทิ้งคู่ชีวิตของมันไป

***

“หลบไป!”

ผลั่ก! ร่างกายของคาร์ลกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ใครบางคนที่วิ่งถือเฟอร์นิเจอร์ของวิหารหลวงมาเต็มสองมือผลักคาร์ลไปเพราะเขาเกะกะ ไม่ใช่แค่คนผู้นั้น กลุ่มคนที่วิ่งตามหลังมาล้วนแต่ถือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์และภาพวาด และถึงกับมีคนที่ดึงผ้าม่านปักลายมาด้วย

กริ้งงง!

หนึ่งในคนเหล่านั้นวิ่งมาแล้วจู่ๆ ก็ล้มลงไป ของที่อยู่ในกระเป๋าร่วงหล่นลงบนพื้น บางทีอาจจะลักขโมยเงินบริจาคมา เหรียญกษาปณ์ทองแวววาวกลิ้งไปทั่วพื้นอย่างสะเปะสะปะ

“ไม่นะ!”

ชายที่ล้มลงยื่นมือไปหาเหรียญกษาปณ์ทองที่กลิ้งไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาหาเหรียญกษาปณ์ทองไม่เจอ นั่นเพราะมีแสงสีทองที่เปล่งประกายยิ่งกว่าคลุมเหรียญกษาปณ์ทองไว้

“เอ๋…”

ก่อนที่จะได้กรีดร้อง แสงสีทองนั้นก็ปกคลุมชายคนดังกล่าว สิ่งที่เคยเป็นมนุษย์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า คาร์ลที่เห็นภาพนั้นพิจารณารอบข้างด้วยใบหน้าซีดเผือด

“…!”

ตรงจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล อีริสกำลังอุดปากมองภาพนั้น คนชราและเด็กเล็กที่ไม่สามารถหลบหนีได้กำลังร้องไห้และกอดกันอยู่ด้านหลังนางที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีฟ้าคราม แม้แสงที่ปกคลุมชายคนก่อนจะสาดส่องลงมาเหนือพวกเขา แต่มันก็สะท้อนออกไปราวกับกระแทกกระจก

‘พลังศักดิ์สิทธิ์มัน…!’

คาร์ลกัดริมฝีปาก แม้แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชระดับสูงยังไม่อาจต้านทานแสงนั้นได้ เขาที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอจึงไม่คิดจะขวางแต่แรกด้วยซ้ำ แต่อีริสไม่ได้ปกป้องแค่ตัวนางเอง กลับปกป้องกระทั่งคนที่ตามติดนางด้วย

“นางโง่”

ทั้งที่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นนั้น แล้วทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้แล้วบอกว่าใช้ไม่ได้กัน คาร์ลมองกลุ่มคนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยด้านหลังอีริส การที่นางใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อันสูงส่งเพื่อขยะเหล่านั้นทำให้คาร์ลเข็ดฝาดในใจ

นั่นคือของของเขา เป็นของที่ต้องใช้เพื่อเขา

คาร์ลนึกถึงตอนที่อีเบลลีน่าทุ่มเทพลังศักดิ์สิทธิ์กับเขาคนเดียวพลางเดินไปหาอีริส เสื้อของเขาที่เดินกะโผลกกะเผลกเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนและฝุ่น มองไม่ออกถึงลักษณะภูมิฐานของผู้อาวุโสเลย

อีริสมองไปบนฟ้าด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ก่อนจะเห็นคาร์ลแล้วเดินมาหาเขา ทันทีที่แสงสีฟ้าครามที่ห้อมล้อมรอบตัวอีริสครอบคลุมไปถึงคาร์ล แสงสีทองที่สาดส่องลงมาเหนือคาร์ลก็หายไป แม้เขาจะถูกช่วยชีวิตเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด แต่บนใบหน้าของคาร์ลกลับไม่ปรากฏแววยินดี อีริสเอ่ยถามเขาโดยที่ไม่ทันสังเกตเห็น

“ท่านผู้อาวุโส คะ คือว่า…ก่อนที่ท่านนักบุญหญิงจะมาวิหารหลวง ท่านเคยอยู่ที่ไหนหรอคะ?”

“…?”

คาร์ลไม่เข้าใจเลยว่าอีริสพูดไร้สาระอะไรเมื่อได้ยินคำถามที่มาอย่างไม่คาดคิดของนาง อีริสยังคงถามคาร์ลต่อไปโดยไม่อาจปิดบังความตื่นเต้น

“ท่านนักบุญหญิงอาจจะเป็นพี่สาวของข้าก็ได้นะคะ! ก่อนที่ท่านแม่จะตายเคยบอกว่าพี่สาวอยู่ที่วิหารหลวง! พะ พลังศักดิ์สิทธิ์นี่ก็คือหลักฐานไงคะ! บางทีอาจเป็นเพราะท่านนักบุญหญิงเป็นพี่สาวของข้า พลังศักดิ์สิทธิ์ก็เลยหาคนที่คล้ายคลึงกัน แล้วเข้ามาอยู่ในร่างข้าก็ได้…”

“อีเวนต์? ฮันซ์? ที่เคยอยู่อาณาจักรซีเมน…?”

“ใช่แล้วค่ะ!”

ทันทีที่ชื่อบุพการีของตนออกมาจากปากคาร์ล อีริสก็เบิกตากว้าง ยิ่งไปกว่านั้น คาร์ลยังถึงกับพูดชื่อของอาณาจักรที่ทั้งสองท่านเคยอาศัยอยู่ในอดีตออกมาได้อย่างถูกต้อง

คาร์ลเองก็ตกใจไม่แพ้อีริส หลังจากพาอีเบลลีน่ามา เพื่อให้นางจดจ่อกับวิหารหลวงอย่างเด็ดขาด เขาจึงหลอกอีเบลลีน่าว่าพ่อแม่ของนางต้องการเงินและขายนางไปแล้ว ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็บอกกับพ่อแม่ของอีเบลลีน่าว่านางอับอายในตัวพวกเขา และไม่ต้องการพบพวกเขาอีกต่อไป

แม้เขาจะแสร้งทำเป็นพกเงินมาให้ แต่พ่อแม่คู่นั้นก็ส่งคืนมาทั้งหมด และขอให้ได้พบกับอีเบลลีน่า ในที่สุดเมื่อคาร์ลตัดสินใจจะฆ่าพวกเขา พวกเขาก็หายตัวไปราวกับสัมผัสได้ หลังจากนั้นมา คาร์ลก็ไม่เคยพบร่องรอยของพวกเขาอีกเลย แต่ใครจะไปคิดว่าครอบครัวของอีเบลลีน่าจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ตอนนี้

คาร์ลหวนนึกถึงอีเบลลีน่าตอนที่มาวิหารหลวงครั้งแรกสมัยยังเป็นเด็ก นางร้องไห้จะหาพ่อกับแม่แม้จะอยู่ในอ้อมกอดของเหล่านักบวช แม้ว่านางจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจอีกต่อไป แต่เมื่อใดที่นางอ่านเจอเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของคนอื่นในเอกสารของวิหาร ความเร็วในการอ่านของนางก็จะช้าลง

“…พ่อกับแม่ของท่านอยู่ที่ใดหรือ”

“ทั้งสองท่านเสียชีวิตไปแล้วค่ะ ท่านพ่อถูกปีศาจ ส่วนท่านแม่ป่วย…อั้ก!”

ก่อนที่อีริสจะพูดจบ คาร์ลก็กระชากข้อมือของนาง อีริสได้แต่กรีดร้องแต่ไม่อาจผลักคาร์ลออกไปได้

‘ใครจะไปคิดว่าที่นางนี่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นจะกลายมาเป็นประโยชน์ตอนนี้’

ครอบครัวที่อีเบลลีน่าเฝ้าคิดถึงทั้งที่คิดว่าตนเองถูกทอดทิ้งอยู่ที่นี่แล้ว

เขามีอุบายที่จะใช้เสนอให้อีเบลลีน่าได้แล้ว

***

“แอสรัน!”

ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขาสุดเสียง แต่ก็ไม่มีคำตอบใดกลับมา แม้จะพยายามเอื้อมมือออกไปคว้าเขา แต่มือของฉันได้แต่ปัดป่ายอยู่กลางอากาศเท่านั้น ภาพของแอสรันที่ไกลออกไปหายไปในพริบตา ไปไหน? เขาไปไหนแล้ว? ตอนที่กำลังชะเง้อมองรอบด้าน พระเจ้าบรรพกาลก็กวัดแกว่งลำแสงสีทองราวกับฟาดแส้

ไร้ซุ่มเสียง แต่เส้นวิถีสีทองพลันทำให้ทุกอย่างถูกย้อมเป็นสีทองเหมือนกันหมดในพริบตา ส่วนบนของสถาปัตยกรรมของวิหารหลวงกลายเป็นสีทอง ก่อนถล่มลงมาราวกับเม็ดทราย

“ท่านลีน่า!”

“ลีน่า!”

ฉันหันหลังกลับทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกและมือที่คว้าฉันไว้ ราธบันกับเลออนกำลังมองฉันด้วยสภาพดูไม่ได้ ไม่มีเวลาจะมาดีใจที่ทั้งสองคนยังปลอดภัยแล้ว ฉันคว้าพวกเขาและอ้อนวอน

“แอสรันเขา…! แอสรันเขา…!”

ตั้งใจจะตาย คำคำนั้นไม่ยอมออกมาราวกับติดอยู่ในลำคอ ต้องทำอย่างไร? ต้องทำอย่างไรถึงจะขวางแอสรันไว้ได้? ขณะที่ฉันกำลังกระวนกระวายใจจนไม่รู้ต้องทำอย่างไร จู่ๆ โลกก็พลันมืดลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าท้องฟ้าเกิดการบิดเบี้ยวครั้งใหญ่ ร่างของปีศาจในขนาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้พลันปรากฏออกมา เป็นปีศาจที่มีรูปร่างคล้ายกับสิงโตที่มีขนสีแดง

“แอสรัน…”

ในสมรภูมิรบเช่นนี้ ทั้งที่เขาไม่น่าจะได้ยินเสียงของฉัน แต่ปีศาจตัวนั้นกลับหันหน้ามา นัยน์ตาสีแดงเลือดมองมาที่ฉัน ลำแสงของพระเจ้าบรรพกาลพุ่งมาทางที่ฉันยืนอยู่ในทันใด

ครืดดด!

แผ่นดินสั่นสะเทือนเสียงดังและเริ่มแตกร้าว ฉันหลับตาลงตามสัญชาตญาณ แล้วก็รู้สึกผิดปกติเพราะไม่มีเม็ดทรายแม้แต่เม็ดเดียวที่สัมผัสถูกตัวจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง เบื้องหน้ามีพลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามโอบล้อมรอบข้างฉันราวกับโดม

“เป็นอะไรไหมขอรับ?”

“ราธบัน?”

เสียงของเขาที่ดึงฉันเข้าไปกอดอย่างรีบร้อนทำให้ได้สติขึ้นมา ลำแสงขยับไปมาสองสามครั้งราวกับตรวจสอบเกราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ราธบันสร้างขึ้น ก่อนสาดเทลงมาเหนือมันอีกครั้งอย่างแรง ทันใดนั้นราธบันก็ปล่อยมือที่กอดฉันและเข้ามาขวางด้านหน้า พอฉันพยายามจะเข้าไปใกล้ราธบัน เลออนก็คว้าฉันไว้ทันที

“ลีน่า หลบไปก่อน!”

ราธบันหันหน้ากลับมายืนยันว่าเลออนจับฉันไว้แล้ว ก่อนจะวิ่งออกจากเกราะไป ลำแสงพุ่งเข้าหาเขาราวกับรออยู่แล้ว

“…!”

ดาบของราธบันฟาดฟันลำแสงก่อนที่ฉันจะได้กรีดร้อง ตุก ลำแสงที่ขาดสะบั้นร่วงลงบนพื้นดิน ดิ้นอย่างแรงประหนึ่งงูที่ถูกตัดเอว กระดอนขึ้นไปกระแทกกับผนังของอาคารใกล้ๆ แล้วตกลงมา

“อ๊ากกก!”

คนที่ตัวสั่นเทาอยู่ใต้อาคารต่างก็ร้องโหยหวนพลางมองลำแสงนั้น มันคายสิ่งที่มันดูดซึมเข้าไปในทุกครั้งที่บิดตัว เศษซากอาคาร กิ่งไม้ ซากของภาพวาด และซากคน

“เลออนปล่อยข้า! ราธบันเขา…!”

“กลัวว่าราธบันจะเป็นอันตรายอย่างนั้นหรือ? คนที่จับเฮกซ่าได้เนี่ยนะ?”

เลออนตะโกนออกมาราวกับมันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งที่ยังจับฉันเอาไว้ เป็นน้ำเสียงที่ราวกับถามว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่น่าเป็นห่วง น้ำเสียงอันเย็นเชียบของเลออนทำให้ตอนนั้นเองฉันถึงได้สติขึ้นมา และมองเห็นราธบันชัดขึ้น ราธบันฟันลำแสงที่พุ่งเข้ามาหาอย่างง่ายดายจนความกังวลของฉันเป็นเรื่องน่าอาย ดูจากแสงสีฟ้าครามที่ห่อหุ้มดาบของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์

เมื่อกวาดตามองรอบข้างก็พบว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่มากับราธบันต่างก็กำลังต่อสู้กับลำแสงด้วยดาบที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์จางๆ ทว่า พวกเขาทำได้เพียงสกัดกั้นไว้เท่านั้น คนที่โจมตีจนทำให้พังทลายมีแค่ราธบันคนเดียว

เขาฟันลำแสงที่พุ่งเข้าหาอัศวินคนอื่น ฟาดฟันทุกอย่างที่พุ่งเข้าหาฉันกับเลออน จากนั้นมุ่งหน้าไปหาร่างของพระเจ้าบรรพกาลทันที

อาจเพราะสัมผัสได้ ลำแสงจากหลายที่จึงมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว แล้วเหวี่ยงร่างเข้าหาราธบัน ทันทีที่ลำแสงกระแทกลงมาตรงจุดที่ราธบันยืนอยู่ พื้นดินก็พลันแตกร้าว ขณะเดียวกับที่บริเวณรอบข้างทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีทอง ฉันไม่ได้กรีดร้อง เพราะฉันเห็นราธบันหลบและวิ่งเข้าไปหาร่างของพระเจ้าบรรพกาลก่อนที่ลำแสงจะสัมผัสร่างแล้ว

ทันทีที่เขากระโดดขึ้นไป แก่นของประกายแสงสีฟ้าครามพลันบังเกิด พลังศักดิ์สิทธิ์ในรูปครึ่งวงกลมลอยออกไป แล้วกระแทกกับร่างของพระเจ้าบรรพกาล ไม่ได้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ ทว่า ส่วนที่สัมผัสกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของราธบันพลันเกิดรอยปริร้าวราวกับถูกตัดด้วยมีด ก่อนที่รอบข้างจะถูกย้อมด้วยแสงสีฟ้าคราม

พระเจ้าบรรพกาลบิดตัวพร้อมกับกรีดร้องอย่างไร้เสียง

“เห็นไหม? ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาเป็นห่วงเซอร์ราธบัน”

เลออนที่ตะโกนเช่นนั้นเงยหน้าขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นตาม และมองไปยังจุดที่สายตาของเลออนมอง

“…!”