บทที่ 393 อยู่ร่วมกันในห้องหิน

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ขอเพียงเป็นคนสวย ก็ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยรักสะอาด สำหรับผู้หญิงแล้วการอาบน้ำทุกวันยังไม่นับว่ารักสะอาดนัก ผู้หญิงที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนกับตงฟางเมิ่งย่อมต้องให้ความสำคัญกับความสะอาดและรูปลักษณ์ของตนอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกเย่เทียนเฉินกอดมาระหว่างทาง แล้วยังเปลือยกายทำศึกกันสองคนจนเหงื่อท่วมไปทั้งร่าง ตงฟางเมิ่งรู้สึกเหนียวตัว ต้องการอาบน้ำเสียหน่อย เพียงแต่น่าเสียดาย หากต้องการจะหาน้ำมาอาบภายในห้องหินที่ไม่ใหญ่แห่งนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ!

“อือ ฉันว่าพวกเราคิดหาวิธีออกไปก่อนเถอะ เธอคงจะคุ้นเคยกับรูปแบบการจัดวางตำแหน่งของพรรคสุสานโบราณใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังตงฟางเมิ่งแล้วเอ่ยถาม

ตงฟางเมิ่งกรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน สูดหายใจลึก นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้หิน มือทั้งสองวางอยู่ที่เข่า ขับเคลื่อนพลังภายในเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บไปช้าๆ ในตอนที่เธอกำลังจะฝึกฝนวิชาดรุณีหยกให้สำเร็จ เธอปล่อยมือเย่เทียนเฉินไปก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังฝืนเพิ่มพูนพลังการต่อสู้ถึงขั้นสุด จนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฝืนสู้กับหลี่ชิวสุ่ยซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่หลายร้อยกระบวนท่า ตอนนี้พลังภายในคัมภีร์ดรุณีหยกในร่างกายแตกซ่านไปทั่วเธอ ต้องค่อยๆ ดึงพวกมันกลับมาที่จุดตันเถียน โชคดีที่จุดจำเถียนมีพลังอันบริสุทธิ์ของคัมภีร์ดรุณีหยกอยู่จึงไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับตอนที่สู้กับชิงเฉิงเยว่ที่เธอฝืนใช้เคล็ดวิชา “ดรุณีหยกเซียนร่ายรำ” ออกไปจนทำให้พลังภายในร่างกายแตกซ่านไปทั่วและไม่อาจรวบรวมได้จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ก๊องๆๆ …

เย่เทียนเฉินเริ่มหาทางออก ห้องหินนี้เป็นทางตันทุกด้าน ด้านในมีเตียงหินอยู่หนึ่งหลัง เก้าอี้หินสองตัว โต๊ะกลมเล็กๆ ที่ทำจากหินอยู่หนึ่งตัว และมีโลงศพอยู่สองโลง หากกล่าวตามเหตุผล ที่นี่ไม่ควรจะเป็นห้องปิดตายถึงจะถูก มิฉะนั้นตงฟางเมิ่งคงไม่สามารถพาเย่เทียนเฉินที่สลบไสลไม่ได้สติเข้ามาที่นี่ได้ เพียงแต่ตงฟางเมิ่งก็เดินคลำทางมาในความมืด ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าจะออกไปอย่างไร เย่เทียนเฉินสัมผัสก้อนอิฐทุกก้อนบนกำแพงและเริ่มเคาะ คิดจะหาดูเสียหน่อยว่ามีกลไกอะไรอยู่หรือไม่ คงไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปได้ตลอดหรอกใช่ไหม?

ต้องทราบว่าในตอนนี้เย่เทียนเฉินยังมีเรื่องในเมืองหลวงให้ดูแล คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่รู้ว่าจะลงมือเมื่อไหร่ คนของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะก็ไม่รู้ว่าจะมาแก้แค้นเมื่อไหร่ สิบสามจ้าวสวรรค์ในตอนนี้เป็นเหมือนมังกรไร้หัว จะเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งภายในอีกหรือไม่? เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้เย่เทียนเฉินจึงรู้สึกร้อนใจ คุณชายใหญ่และสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว อำนาจอันยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้เรียกได้ว่าเกินกว่าขอบเขตที่ทางการจะควบคุมแล้ว จากสภาพของพวกเขาในตอนนี้ ไม่สามารถใช้ความคิดของคนปกติมารับมือกับพวกเขาแล้ว พูดอย่างไม่เกินจริงได้ว่า ยอดฝีมือที่แท้จริงสามารถใช้ฝ่ามือเดียวทลายหิน ฝ่ามือเดียวทลายภูผา นั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก กองทัพของคุณจะขวางได้หรือ?

เย่เทียนเฉินใคร่ครวญอยู่ในใจ ตั้งแต่ที่ตนพาตงฟางเมิ่งออกจากเมืองหลวงมาจนถึงตอนนี้ อย่างน้อยก็หนึ่งอาทิตย์แล้ว ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ในสถานที่ที่เป็นภูเขาทุรกันดาร โทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณ และดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปไม่สามารถมาถึงและค้นพบได้ หากมีคนมาที่นี่ เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดโบราณ ด้านหลังสะพายกระบี่ ฟาดฟันกระบี่ออกไปจนปราณกระบี่ทะยานไปในแนวขวาง จะไม่ถูกทำให้ตกใจตายหรือ

ดังนั้นจึงพูดได้ว่า นี่เป็นโลกของคนธรรมดา รู้จักแต่ไล่ตามชื่อเสียงและผลประโยชน์ หลายคนไม่รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่แข็งแกร่งกลุ่มนี้ดำรงอยู่ เรียกได้ว่าพวกเขาควบคุมโลกใบนี้อยู่ในที่ลับ ต่อให้เป็นประเทศที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องใคร่ครวญถึงพวกเขา จินตนาการได้เลย โดยปกติคนธรรมดาทั่วไปจะทำงานตอนกลางวัน กลางคืนสังสรรค์ กินดื่มแล้วแยกย้ายไปนอน สิ่งที่รู้จึงมีจำกัด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับผู้มีพลังพิเศษและผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณแล้ว นับว่าเป็นคนละระดับโดยสิ้นเชิง คุณจะทราบหรือไม่ไม่มีผลอะไรกับพวกเขาแม้แต่ครึ่งส่วน

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เย่เทียนเฉินสำรวจก้อนอิฐอีกทุกก้อนที่อยู่ในห้องหินอย่างละเอียดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบนกำแพง บนพื้น หรือเหนือศีรษะ เย่เทียนเฉินก็สำรวจหมดแล้ว แต่ไม่พบอะไรแปลกๆ เขารู้สึกสงสัยมาก นี่ไม่อาจเป็นห้องปิดตายได้ มิฉะนั้นตงฟางเมิ่งและตนจะเข้ามาได้อย่างไร? ใช้วิชาทะลุกำแพงหรือ? หรือหากจะบอกว่านี่เป็นห้องปิดตายแล้วอากาศด้านในจะมาจากไหน? หากไม่มีทางออกจริงๆ เขากับตงฟางเมิ่งคงขาดอากาศตายไปนานแล้ว ด้วยขอบเขตการบ่มเพาะของพวกเขาในตอนนี้ หากไม่กินไม่ดื่มยังพอยืนหยัดได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีอากาศหายใจคงไม่ได้

“คงไม่ใช่ว่ากลไกอยู่ในโลงศพหินสองโลงนั้นหรอกนะ?” เย่เทียนเฉินเดินไปกลางห้อง มองไปยังโลงศพหินทั้งสอง พูดพึมพำกับตัวเอง

“นายอย่าทำอะไรมั่วซั่ว ภายในพรรคสุสานโบราณมีสถานที่ต้องห้ามมากมาย เมื่อปีนั้นท่านอาจารย์บรรพบุรุษห้ามลูกศิษย์ไม่ให้สำรวจอย่างเคร่งครัดเพราะกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นหลายปีมานี้พวกเราศิษย์ของพรรคสุสานโบราณจึงไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปในห้องที่ไม่รู้จัก!” ตงฟางเมิ่งมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางเมิ่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกสงสัยจริงๆ เขาคิดไม่ถึงว่ากระทั่งผู้หญิงยอดเยี่ยมซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณจะไม่ได้เข้าไปห้องทั้งหมดที่มีอยู่ในภูเขาแห่งนี้ ต้องทราบว่าผู้หญิงคนนี้สามารถสร้างเคล็ดวิชาฝึกฝนพลังภายในที่เทียบได้กับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นออกมาได้ตอนที่อยู่ในยุคสมัยของเธอ เป็นการบ่มเพาะที่สั่นสะท้านยุคสมัยโบราณและโชติช่วงมาจนถึงปัจจุบัน หากไม่ใช่หนึ่งในใต้หล้าก็เกรงว่าจะต่างกันไม่มาก กระทั่งเธอก็ยังสั่งอย่างเคร่งครัดว่าไม่ให้ลูกศิษย์ของพรรคสุสานโบราณเดินไปเดินมาในพรรคมั่วซั่ว แสดงให้เห็นว่าภายในพรรคสุสานโบราณอาจมีอันตรายอันใหญ่หลวงอะไรอยู่ หรือบางทีอาจจะมีความลับอะไรอยู่ก็เป็นได้

“ในห้องหินนี้ฉันตรวจสอบที่อื่นหมดแล้วยกเว้นโลงศพหินสองโลงนั้น แต่ยังไม่เจอกลไกอะไร ดังนั้นฉันคิดว่าหากต้องการออกไป คงต้องขยับโลงศพหินสองโลงนี้ก่อน!” เย่เทียนเฉินใช้มือลูบลงไปบนโลงศพเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น

“ฉันขอเตือนนาย อย่าไปทำอะไรมั่วซั่วจะดีกว่า โลงศพหินในพรรคสุสานโบราณ เดิมทีก็ถูกท่านอาจารย์บรรพบุรุษจัดการจนสะอาดหมดแล้ว ที่เหลือที่ยังไม่ได้จัดการต้องมีอะไรแปลกๆ อยู่ด้านในแน่ อาจจะไม่ใช่อะไรที่ฉันกับนายจะรับมือได้ อย่ารนหาที่ตายเลย!” ตงฟางเมิ่งมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“อ้อ ฉันรู้แล้ว ท่าทางเธอคงอยากอยู่กับฉันในห้องนี้ไปจนแก่ เธอคิดว่าในห้องนี้ เธอกับฉันจะได้…” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองตงฟางเมิ่งด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ สีหน้าแบบนั้นดูลามกอย่างยิ่ง

“ฉันจะซัดนายให้ตายซะตอนนี้เลย รอก่อนเถอะ…” ตงฟางเมิ่งโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อดรนทนไม่ไหว อยากพุ่งเข้าไปกัดเย่เทียนเฉินสักหลายครั้งตอนนี้เลย

เย่เทียนเฉินหมุนตัวไปไม่สนใจตงฟางเมิ่งอีก แอบหัวเราะอยู่ในใจ ต้องจัดการผู้หญิงคนนี้ให้อยู่หมัดเสียหน่อย หากตนไม่พูดแบบนี้ เกรงว่าจะเป็นจะตายตงฟางเมิ่งก็ไม่เห็นด้วยที่ตนจะเคลื่อนย้ายโลงศพหินทั้งสองโลง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะได้ออกไปจากห้องนี้เมื่อไหร่ ตอนนี้ถึงแม้ว่าตงฟางเมิ่งจะบาดเจ็บแต่ก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ยังมีความสามารถในการปกป้องตัวเองอยู่ นับว่าภารกิจของเขาสำเร็จแล้ว สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้ก็คือ ต้องออกไปให้เร็วหน่อย ไม่รู้ว่าที่เมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง จะต้องรีบกลับไป

พลั่ก!

มือขวาตั้งท่าประดุจกรงเล็บ จับลงบนขอบโลงศพด้านขวาแล้วออกแรงผลักไปด้านหน้าในพริบตา โลงศพหินถึงกับไม่ขยับแม้แต่น้อย ทำให้เย่เทียนเฉินตกใจจนตาค้าง การบ่มเพาะของตนในตอนนี้ไปถึงขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว กระทั่งในตอนที่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งก็ยังสามารถใช้พลังขั้นต้นของขอบเขตจักรพรรดิออกมาได้ อย่างน้อยก็มีพลังรุนแรงมาก ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินก็ให้ความสำคัญกับการหล่อหลอมกายเนื้อมาโดยตลอด เขาคิดว่าผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางการบ่มเพาะ ไม่เพียงต้องแสวงหาพลังที่สามารถทำให้พลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายปะทุออกมาได้ แต่ยังต้องให้วามสำคัญกับความแข็งแกร่งของกายเนื้อด้วย มิฉะนั้นหากสู้กับยอดฝีมือในระดับเดียวกันคงยากจะเอาชนะ

“อย่าทำอะไรขายหน้าเลย โลงศพหินทั้งหมดที่เหลืออยู่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด แค่นายคิดจะเปิดก็ยากขนาดนี้แล้ว ถ้าเปิดได้จริงๆ แล้วด้านในมีอันตรายที่เลี่ยงไม่ได้อยู่ล่ะ ตัวนายอยากตายก็ไม่เป็นไร ฉันไม่ห้าม แต่อย่าให้เกี่ยวข้องมาถึงฉันด้วย!” ตงฟางเมิ่งกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างดุดัน

“ฉันช่วชีวิตเธอมา ตายกับฉันก็ไม่เห็นเป็นอะไร…”

เย่เทียนเฉินพูดพลางใช้มือซ้ายจับขอบโลงศพ มือทั้งสองรวมพลังเข้าด้วยกันต้องมีแรงมากมายแน่นอน จากนั้นเขาจึงออกแรงผลักไปเบื้องหน้า

เสียงแกรกดังขึ้นเบาๆ ราวกับประตูที่ปิดอยู่หลายพันปีถูกเปิดออกอย่างไรอย่างนั้น เกิดเสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง เสียงคำรามนั้นเหมือนกับมีสัตว์ประหลาดที่ถูกกักขังนานนับพันปีอยู่ด้านใน ในที่สุดก็ได้เห็นท้องฟ้าจนรู้สึกอยากออกมาซะเดี๋ยวนั้น

ครืน!

ภายในห้องหินที่มีขนาดไม่ใหญ่มากถูกอาบยอมไปด้วยแสงสว่างในพริบตา แต่ยังคงมีทิวทัศน์ยามค่ำคืนอยู่ เย่เทียนเฉินตกตะลึงจนชะงักอยู่กับที่ มองไปยังด้านในโลงศพหิน พบว่าด้านในราวกับมีจักรวาลอีกแห่งหนึ่งอยู่ก็มิปาน มีพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว มีภูเขา แม่น้ำ ต้นหญ้า ทำให้เย่เทียนเฉินซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในดาวสิ้นโลกผู้มาเกิดใหม่คนนี้ตกใจไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ในโลงศพแห่งนี้มีจักรวาลอยู่อีกแห่งหนึ่งหรือ? แล้วยังมีอะไรอยู่อีก?

“รีบปิดเร็ว อย่าเปิด!” ตงฟางเมิ่งรีบตะโกน

“ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าด้านไหนมีอะไรอยู่ ย๊าก!”

เสียงตะโกนดังขึ้น มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินมีประกายแสงกระพริบ เขากระตุ้นพลังจนถึงสภาพสูงสุด ต้องการฝืนเปิดโลงศพนี้

ตู้ม!

ฝาโลงที่อยู่ด้านบนถูกเย่เทียนเฉินผลักจนกระเด็นออกไปในพริบตา ชนเข้ากับกำแพงหินอย่างแรง หลังจากเสียงดังสนั่นผ่านไป ภายในห้องหินก็มีพลังอันมหาศาลพุ่งออกมา เย่เทียนเฉินถูกกระแทกจนปลิว หัวเกือบชนกับกำแพงหินอยู่แล้ว พลันนั้นมีผ้าผืนหนึ่งพุ่งออกมาจากในแขนเสื้อของตงฟางเมิ่ง พุ่งไปดึงเย่เทียนเฉินกลับมา ทั้งสองยังไม่ทันได้ปะทะฝีปากหรือกรอกตาใส่กันก็ต้องมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยอาการปากอ้าตาค้าง

ตอนนี้ เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งปรากฏภาพที่ทำให้พวกเขายากจะเชื่อ ภายในโลงศพหินที่ถูกเปิดออกมีพลังพุ่งออกมา มันค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปช้าๆ ในระหว่างที่แปรสภาพนั้นมีทิวทัศน์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวปรากฏขึ้น ทั้งยังยังปรากฏภาพภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า และภาพจักรวาลอันมืดมิด มีเพียงแสงดาวระยิบระยับเท่านั้น คล้ายกับจักรวาลของโลกถูกกักขังอยู่ในโลงศพหินแห่งนี้ ไม่อาจทำความเข้าใจด้วยความคิดของคนธรรมดาทั่วไป

แม้แต่คนที่ได้เห็นเรื่องแปลกประหลาดมามากมาอย่างตงฟางเมิ่งและเย่เทียนเฉินก็ยังต้องมองภาพนี้อย่างตกตะลึง ไม่อาจขยับเขยื้อนออกจากที่เดิมไปชั่วครู่