ตอนที่ 19 - 4 ทารุณหมิงเฉิงไม่บอกเจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ไม่รอให้นางขยับเขยื้อน เหยียลี่ว์ฉีก็ชิงตัดหน้ายื่นมือเข้าไปก่อนแล้ว เขายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “สตรีจะทำให้ศพกระตุกได้ เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจล่ะ”

 

 

เขากอบน้ำแข็งกองหนึ่งออกมา จิ่งเหิงปัวมองดูอย่างอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าซากศพหน้าขาวซีดนั่นจะอ้าปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน กัดเข้าคำหนึ่ง…

 

 

เคราะห์ดีว่ายังคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย แต่ขณะที่รับก้อนน้ำแข็งมาจิ่งเหิงปัวก็สังเกตเห็นว่านิ้วมือของเขาแข็งทื่อซีดขาว เล็บไร้ซึ่งสีเลือดฝาด สภาพมือแบบนี้คุ้นเคยจนนางแอบตื่นตกใจ ถ้าไม่แน่ใจว่าตรงหน้าคือเหยียลี่ว์ฉี นางแทบจะนึกว่ามองเห็นมือของกงอิ้น

 

 

ด้วยวรยุทธ์ของเหยียลี่ว์ฉี ต่อให้บาดเจ็บสาหัส แต่การกอบน้ำแข็งครั้งหนึ่งคงจะไม่ปรากฏสภาพแบบนี้

 

 

แต่นางไม่ทันได้ถามแล้ว เสียงร้องตะโกนอยู่ใกล้นอกประตูแล้ว ร้องว่า “ที่นี่มีรอยเท้า! เข้าไปดู!”

 

 

นางสาดก้อนน้ำแข็งไปบนกำแพงทันที

 

 

ภาพแปลกประหลาดภาพหนึ่งปรากฏขึ้น รูปหกเหลี่ยม ภายในเป็นวงกลม พอมองแล้วคล้ายแผนที่ดาว พอมองโดยละเอียดคล้ายแผนที่ ซ้ำยังมีสิ่งของจำพวกอักขระยันต์จำนวนมากรำไร ดูท่าทางซับซ้อนแปลกประหลาดอย่างยิ่ง จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้มองโดยละเอียดเช่นกัน ตามการชี้แนะของสวินหรู ต่างคนต่างกดหกเหลี่ยมและตรงกลางเข้าไปตามลำดับ ภาพดัง แกร๊ก ครั้งหนึ่ง หกเหลี่ยมเว้าลงไป จานกลมตรงกลางนูนออกมา จิ่งเหิงปัวโอบจานกลมไว้หมุนซ้ายสามรอบหมุนขวาหนึ่งรอบ จานกลมถอดออกมาได้จริงด้วย

 

 

“ได้แล้ว…” นางกล่าวอย่างดีใจ จากนั้นพลันเงียบเสียงลง

 

 

เพียะ ข้างหลังมีเสียงดังขึ้น

 

 

คล้ายเป็นเสียงฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ

 

 

เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่ข้างกายนาง เฟยเฟยห้อยหัวอยู่เหนือศีรษะนาง ข้างหลังไม่มีใคร

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าลำคอของตนเองแข็งทื่อ แต่ยังคงหันหน้ากลับไปในคราวเดียว

 

 

แวบหนึ่งนั้นมองเห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในโลงศพ ตบข้างโลงศพแล้วห้อยอยู่

 

 

มือขาวซีดไร้ซึ่งสีโลหิต ข้อนิ้วออกเขียว เล็บยาวเล็กน้อย

 

 

ห้องเงียบสงัด หิมะเหินว่อน โลงศพและมือที่ยื่นออกมาจากในโลงศพ

 

 

ข้างหลังมีลมหนาวพัดมาแผ่วเบา

 

 

โคตรเหมือนหนังซอมบี้เลย

 

 

จิ่งเหิงปัวคว้าเฟยเฟยโยนเข้าปากอุโมงค์ในครั้งเดียว จากนั้นจะไปผลักเหยียลี่ว์ฉี การเคลื่อนไหวของเหยียลี่ว์ฉีเร็วกว่านางเสมอ ยกมือเพียงครั้งจับข้อมือนางไว้ หวังจะผลักนางเข้าไป

 

 

จิ่งเหิงปัวเข้าไปไม่ได้

 

 

พลั่ก ศีรษะนางกระแทกบนจานกลม

 

 

นางเงยหน้าขึ้นด้วยความมึนงง มองเห็นภายในปากอุโมงค์มีจานกลมเพิ่มมาอีกชั้นหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร กำลังหมุนวนปิดสนิทอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางระลอกคลื่นที่ปิดสนิทยังมองเห็นหัวลูกศรเปล่งแสงสีฟ้าที่ค่อยๆ โผล่ออกมาได้รำไร

 

 

นางกลับสูดหายใจเฮือกหนึ่ง…สวินหรูไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้

 

 

ซากศพข้างหลังเป็นคนทำเหรอ?

 

 

นางหันหน้า มองเห็นมือข้างนั้นยังอยู่ตรงนั้น มือกดรอยเว้าแห่งหนึ่งบนกำแพงไว้อย่างแผ่วเบา

 

 

เจ้าของมือนั้นกำลังลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า เห็นผมยาวข้างหลังสว่างไสวจนส่องหน้าได้

 

 

ที่นอกประตูมีเสียงฝีเท้าสับสนปนเปกัน จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ ตอนนี้ต่อให้ซากศพไม่ฟื้นขึ้นมา พวกนางก็ไม่ทันได้หนีแล้ว

 

 

ซากศพนั้นพลันยกมือขึ้น ชี้นอกประตูเพียงครั้ง

 

 

เพียะ จากนั้นเป็นเสียงเกลือกกลิ้ง บางคนตะโกนว่า “โอ๊ย ที่นี่มีกับดัก!” บางคนตะโกนว่า “ถอยหลัง! ถอยหลัง!” ซ้ำยังมีเสียงดิ้นรนโครมคราม เสียงผู้คนกำลังร่นถอย

 

 

จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วมองซากศพขวางพลไล่ล่าไว้นอกประตู ในใจคิดว่ามันอยากจะเสพสุขเนื้อมนุษย์สดอร่อยตัวเดียวเหรอ?

 

 

เจ้าผู้นั้นไม่ได้หันกายโดยพลัน นั่งนิ่งอยู่ในโลงศพอย่างมึนงง คล้ายยังงงงวยอยู่

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดอยู่ไม่รู้ว่ากีบเท้าลาดำใช้ได้ผลหรือเปล่า? ไม่มีกีบเท้าลาดำ ใช้กรงเล็บเฟยเฟยแทนจะได้ผลไหม?

 

 

ทว่าคนผู้นั้นพลันเอ่ยปาก

 

 

เสียงยังคงอ่อนวัยแจ่มแจ้งยิ่งนัก

 

 

“สวินหรูอยู่ที่ใด”

 

 

จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าวาจาประโยคแรกของเขาจะถามถึงสวินหรู จึงกะพริบตากล่าวว่า “ถูกคนตระกูลเหยียลี่ว์สังหารไปแล้ว”

 

 

คนผู้นั้นคล้ายหัวเราะสั้นๆ เอ่ยขึ้นว่า “หากนางถูกสังหารได้ง่ายดายขนาดนั้น พวกเจ้าจะวิ่งแจ้นมาถึงที่นี่ได้หรือ?”

 

 

“พวกเจ้าเป็นพยาธิไส้เดือนในกระเพาะของกันและกันโดยแท้” จิ่งเหิงปัวชื่นชม กล่าวต่อไปว่า “นางเอ่ยว่าเจ้าอาจจะตายไม่สนิท เจ้าเอ่ยว่านางไม่ตายง่ายขนาดนั้น ถือว่าคนชั่วอายุยืนยาวเป็นพันปีโดยแท้”

 

 

“ครั้งหน้าจำไว้ว่าอย่าได้แทงหัวใจ” คนผู้นั้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “จุดสิ้นชีพของนิกายสวรรค์จิ่วฉงแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเจ้า”

 

 

“ข้าได้ยินว่าวรยุทธ์ของนิกายสวรรค์จิ่วฉงทำให้คนย้อนทวนเส้นลมปราณ ย้ายตำแหน่งอวัยวะได้” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยโดยพลัน

 

 

จิ่งเหิงปัวเพ่งเล็งร่างกายส่วนล่างของคุณชายสามคนนั้นด้วยเจตนาร้าย คิดว่าย้ายน้องชายน้อยไปบนใบหน้าได้หรือเปล่า?

 

 

คุณชายสามไม่ขานรับ ทว่าพลันเอ่ยว่า “พวกเจ้ามีปัญหาใหญ่แล้ว”

 

 

“ปัญหาของพวกเราทั้งเยอะแยะทั้งยิ่งใหญ่อยู่แล้ว” จิ่งเหิงปัวยักไหล่

 

 

“เดิมทีข้าไม่คิดจะเอาเรื่องพวกเจ้า สำหรับคนกลางเช่นพวกเราแล้ว บาดแผลแห่งความเป็นความตายไม่ใช่เรื่องร้าย นับเป็นภัยพิบัติสามครั้งที่จำเป็นต้องผ่านพ้น ข้านอนหลับสนิทในโลงสามวัน หลังจากตื่นฟื้นยังสำเร็จวิชาอีกขั้นหนึ่งได้ ทว่าพวกเจ้ากลับนำน้ำแข็งแห่งธารสวรรค์ในโลงของข้าไป” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ทำให้ข้าจวนสำเร็จทว่าล้มเหลว ถดถอยสามปี ข้าแบกรับภารกิจทดสอบสำคัญของสำนักนิกาย ความพ่ายแพ้ของข้าย่อมเป็นความพ่ายแพ้ของสำนักนิกาย ถึงข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่สำนักนิกายย่อมไม่ปล่อยไป”

 

 

“ชีวิตมนุษย์ แต่เดิมคือการดิ้นรนเอาตัวรอดท่ามกลางการปล่อยไปและไม่ปล่อยไปทุกอย่าง” จิ่งเหิงปัวหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย

 

 

“พวกเจ้าเลือกสักหน่อยเถิด” คนผู้นั้นเสมือนไม่ได้ยินวาจาของนาง เอ่ยตามใจชอบว่า “ตายสักคนย่อมพอแล้ว เร็วหน่อย”

 

 

น้ำเสียงนั่นคล้ายว่าตายแค่คนเดียวคือพระคุณของเขา

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากหัวเราะ

 

 

สำนักสันโดษโด่งดังของต้าฮวงเป็นโรคจิตกันทั้งนั้นเลยเหรอ? ท่านอาจารย์จื่อเวยคนหนึ่งสั่งสอนพวกเฮฮาโดยเฉพาะ นิกายสวรรค์จิ่วฉงอะไรนี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า หน้าตามองว่าตนเองสูงส่ง ตัดสินความเป็นความตายเต็มปากเต็มคำ นึกว่าตนเองเป็นนิกายเทพเซียนจริงเหรอ?

 

 

นี่แค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของนิกายสวรรค์จิ่วฉง ถ้าเป็นเจ้านิกายไม่ถือครองโลกหล้าเลยหรืออย่างไร?

 

 

“เช่นนั้นให้สตรีนางนี้สิ้นชีพดีหรือไม่” คุณชายสามเอ่ยกับเหยียลี่ว์ฉีว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าย่อมเป็นคนตระกูลเหยียลี่ว์ของพวกเรา”

 

 

“ใช่แล้ว” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม เอ่ยกับจิ่งเหิงปัวว่า “เช่นนั้นเจ้าไปตาย?”

 

 

“ไม่ได้ เหตุใดไม่ใช่เจ้าไปตาย?” จิ่งเหิงปัวกลอกตา

 

 

คุณชายสามคล้ายหัวเราะเยาะเสียงแผ่วเบาเล็กน้อย จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าถ้าเพิ่มเสียงบรรยายขึ้นมา เขาคงจะเอ่ยว่า มนุษย์ พวกเจ้ามันโง่เขลา

 

 

“เจ้าไม่มีวรยุทธ์เจ้าสมควรตาย!”

 

 

“เจ้าเป็นบุรุษเจ้าควรตายก่อน!”

 

 

“ข้าเป็นคนตระกูลเหยียลี่ว์ข้าไม่ควรตาย!”

 

 

“ข้ามาช่วยเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาให้ข้าตาย!”

 

 

ภายในห้องจ้อกแจ้กจอแจทะเลาะกันวุ่นวาย คุณชายสามอดที่จะยกมืออยากอุดใบหูไว้ไม่ได้ พลันเอ่ยว่า “หนวกหู!”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีกับจิ่งเหิงปัวที่กำลังทะเลาะวิวาทกันเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงโดยพลันว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ตายเสียเถิด!”

 

 

เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น แสงกระบี่ของเหยียลี่ว์ฉีกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวยกมือสะบัดเพียงครั้ง ที่ทับกระดาษบนโต๊ะหนังสือเหินขึ้นกระแทกลงกะทันหัน

 

 

เปรี๊ยะ! โลงศพใต้ร่างคุณชายสามแตกร้าว!

 

 

เศษน้ำแข็งกระเซ็นว่อน เงาคนกะพริบวูบ คุณชายสามลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า มือแยกจากกำแพงที่กดค้างไว้ เหยียลี่ว์ฉีลากจิ่งเหิงปัวฉับพลันทันใด ร้องว่า “หมอบลง!”

 

 

จิ่งเหิงปัวโค้งกายโดยสำนึก ได้ยินบนศีรษะมีเสียง ฟิ้ว ดังขึ้น ลมหนาวสายหนึ่งเฉียดผ่านหนังศีรษะ นางได้กลิ่นลมหายใจเหม็นคาวซึ่งเป็นของสิ่งมีพิษ

 

 

พอเงยหน้าอีกครั้ง มองเห็นลูกศรสั้นสีฟ้าสดใสสามกลุ่มตรึงอยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามดัง ตึ่ก

 

 

พอนางหันหน้ากลับไป มองเห็นลูกศรที่พร้อมยิงบนจานกลมเปิดปิดเมื่อครู่หายไปแล้ว มือของคุณชายสามนั่นน่าจะกดกับดักไว้ตลอดเวลาเพื่อควบคุมลูกศรนี้ เหยียลี่ว์ฉีทำลายโลงด้วยกระบี่เดียว บังคับให้เขาปล่อยมือ ทำให้ลูกศรถูกยิงออกมา

 

 

พอลูกศรถูกยิงออกมา จานกลมหยุดปิดสนิท เผยให้เห็นปากอุโมงค์ ทว่าจากนั้นจึงเริ่มการปิดสนิทอีกรอบหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้ว่าสิ่งนี้คงหมุนเวียนไม่สิ้นสุดแน่นอน เปิดออกแค่ครู่เดียว!

 

 

“เข้าไป!” ข้างหลังมีเรี่ยวแรงมหาศาลหอบหนึ่งผลักเพียงครั้ง นางถูกผลักเข้าในอุโมงค์!

 

 

จิ่งเหิงปัวตื่นตระหนก…เหยียลี่ว์ฉีบาดเจ็บสาหัสเผชิญหน้าคุณชายสามลึกลับคนนั้นอยู่ข้างนอกคนเดียว!

 

 

นางหันหลังทันที มองเห็นสองคนนั้นต่อสู้กันผ่านจานกลมที่ค่อยๆ ปิดสนิท ภายในห้องมีเกล็ดหิมะปลิวว่อน ไอน้ำแข็งทั่วทุกสารทิศ ไอควันขาวโพลนมัวสลัวผืนหนึ่งซึมออกมา มองเห็นไม่ชัดเจนแม้กระทั่งรูปร่างมนุษย์

 

 

ฉากหนึ่งนี้แลดูคุ้นตาอย่างไม่มีสาเหตุ ในใจนางกระตุกวูบ

 

 

ท่ามกลางไอควันมองเห็นสถานการณ์การต่อสู้ไม่ชัดเจน ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ แต่ที่นี่เป็นอาณาเขตของคุณชายสาม กับดักนับไม่ถ้วน เหยียลี่ว์ฉีจะเสียเปรียบแน่นอน

 

 

เรื่องแปลกคือคุณชายสามสกัดกั้นกองทหารประจำการเหล่านั้นไว้นอกประตูตลอดเวลา คล้ายไม่อยากให้พวกเขาเข้ามา

 

 

จานกลมหมุนวนปิดสนิท ช่องว่างเล็กมากยิ่งขึ้น นางร้อนใจดั่งไฟแผดเผา แต่ไม่มีสิ่งของอะไรต้านทานการปิดสนิทของจานกลมได้ ถ้าปิดครั้งนี้แล้วจะเปิดออกอีกคงเป็นไปไม่ได้ ข้างหน้ามีศัตรูฉกาจ ข้างนอกมีกองทัพ สิ่งที่เหยียลี่ว์ฉีต้องเผชิญคือความตาย

 

 

เขาอาจจะเตรียมพร้อมแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นแขนเสื้อเขาคล้ายโบกสะบัดให้ตนเอง

 

 

หมายถึงให้นางรีบหนีไป แต่จิ่งเหิงปัวไม่ยอม

 

 

ไอควันภายในห้องพลันรวมกลุ่ม หิมะเหินว่อนทั่วท้องฟ้าเยือกแข็งกลายเป็นแท่ง พุ่งคำรามตรงไปยังหน้าอกเหยียลี่ว์ฉี คมกระบี่ของเหยียลี่ว์ฉีสาดซัดย้อนศรมุ่งสู่กลางแท่ง หิมะหวนปลิวว่อนเศษน้ำแข็งกระเซ็นทั่วทิศแผ่คลุมเหยียลี่ว์ฉี หิมะน้ำแข็งกลุ่มหนึ่งข้างหน้าสุดพลันกะพริบวูบ เยือกแข็งกลายเป็นหนาม ตรงไปยังหน้าอกเหยียลี่ว์ฉี!

 

 

เหยียลี่ว์ฉีจะหลบหลีก พอพลิกพลิ้วเรือนร่างบาดแผลพลันกำเริบ โซเซครั้งหนึ่ง ด้วยความรีบร้อนเพียงทันได้ใช้ฝ่ามือขวางไว้

 

 

หนามน้ำแข็งแทงทะลุฝ่ามือเขาดัง ฉึก โลหิตสาดกระเซ็น ทว่ายังไม่หยุดยั้ง พุ่งคำรามตรงไปยังหน้าอกเหยียลี่ว์ฉี!