บทที่ 69 ผงวิญญาณแค้น Ink Stone_Fantasy

เวลาก็ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว ตอนที่ลูเซียนกลับมาจากซาล์มฮอล เหลือไฟไม่กี่ดวงที่ยังส่องแสงวิบวับๆ ตลอดทางที่มืดมิดและเงียบสงัด

แม้ว่าในเวลากลางวันระหว่างเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว อากาศจะร้อน แต่กลางคืนจะมีอากาศเย็นสบายจากลมฝน สมองของลูเซียนปลอดโปร่งด้วยอากาศบริสุทธิ์ที่พัดเย็น เขาค่อยๆ เรียกคืนสติจากความลิงโลดและเริ่มวางแผนขั้นต่อไป หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ลูเซียนจะได้ย้ายออกจากอาเดรอนเร็วๆ นี้ ดังนั้น เขาต้องเก็บกวาดห้องทดลองลับใต้ดินโดยเร็วที่สุด หากเกิดมีคนจรจัดบังเอิญเข้ามานอนในบ้านหลังนี้ตอนไม่มีใครอยู่ แต่ก่อนอื่น ลูเซียนตัดสินใจว่าคืนนี้จะสร้างผงวิญญาณแค้น ขณะที่ห้องทดลองยังมีอุปกรณ์ครบถ้วนอยู่ แล้ววันพรุ่งนี้ค่อยลองหากุหลาบแสงจันทร์ดู

กุหลาบแสงจันทร์เป็นที่ต้องการสูงและราคาแพงลิบลิ่ว เพราะเป็นวัตถุดิบหลักในการผสมน้ำยาวิเศษที่ช่วยให้อัศวินฝึกหัดสามารถปลุกพรได้ เพื่อให้กลายเป็นอัศวินตัวจริง ขณะที่อัศวินฝึกหัดส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาหาซื้อกุหลาบแสงจันทร์ อัศวินเลยมักจะเลือกอัศวินฝึกหัดมือขวาและมอบผงกุหลาบแสงจันทร์เป็นรางวัลตอบแทน

นอกจากนั้น การซื้อขายกุหลาบแสงจันทร์อยู่ภายใต้การควบคุมของศาสนจักร ราชวงศ์ไวโอเล็ต และตระกูลใหญ่ๆ เพียงไม่กี่ตระกูล เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ตระกูลใหญ่ๆ ยกระดับสถานะของตระกูลให้อยู่ระดับเดียวกันในแคว้นออร์วาริต

ลูเซียนหวังว่าเฟลิเซียน่าจะช่วยเขาได้ เนื่องจากนางเป็นสมาชิกตระกูลเฮย์น เฟลิเซียมีสิทธิซื้อกุหลาบแสงจันทร์จากคนในตระกูลของนาง

แต่ลูเซียนเองก็ยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเฟลิเซียเคยซื้อกุหลาบแสงจันทร์มาแล้วสามครั้ง นางหวังว่าจะปลุกพรได้ อย่างไรก็ตาม นางต้องผิดหวังทุกครั้ง และตั้งแต่นั้นมานางก็หันมาเอาจริงเอาจังกับการเรียนดนตรีแทน

ตอนนี้ ลูเซียนยังไม่รู้ว่าจะหาวิธีขอร้องให้เฟลิเซียช่วยเขาอย่างไรโดยไม่ถูกสงสัย ยิ่งคิดเขายิ่งหงุดหงิด ถ้าเฟลิเซียไม่เต็มใจช่วย ลูเซียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาซื้อในตลาดมืดในนครอัลโต้ หรือเข้าร่วมประชุมลับกับนักเวทฝึกหัดอีกครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ลูเซียนอยากจะเลือกในตอนนี้

รถม้าธรรมดาๆ สองคันจอดรออยู่หน้าโรงแสดงดนตรีซาล์มฮอลตรงมุมถนน ลุงโจเอลกับครอบครัว และเอเลน่ากำลังรอลูเซียนอยู่ข้างๆ รถม้า

เมื่อเห็นลูเซียนเดินตรงมาหา โจเอลโบกมือให้เขาทั้งสองมือ เขาตรงเข้าไปหาลูเซียนและกอดเขาแน่นๆ

“คืนนี้อย่างกับฝัน” โจเอลลูบหลังลูเซียนเบาๆ ด้วยความปลื้มปิติ “เจ้าชวนข้ามาดูดนตรี ทำให้ฝันของข้าเป็นจริง เรา… และพ่อเจ้า… เราภูมิใจในตัวเจ้ามาก ลูเซียน”

คล้อยหลังโจเอลมา จอห์นก็เข้ามากอดลูเซียน แขนของเขาสั่นเทาเล็กน้อย เสียงของเขาก็สั่นเครือ “ข้ารู้! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าธรรมดาเสียที่ไหน! แต่ความก้าวหน้าของเจ้ายังไม่เท่ากับที่ข้าคิดไว้ ข้าคิดว่าอย่างน้อยเจ้าต้องได้เป็นอัศวินก่อน ฮ่าฮ่า ต่อไปนี้ข้าต้องทำงานหนักมากขึ้น ไม่อย่างนั้น คงแพ้เจ้าแน่นอน”

ลูเซียนมีความคิดผุดขึ้นมาทันที เขาอาจใช้จอห์นเป็นข้ออ้างในการขอซื้อกุหลาบแสงจันทร์ ลูเซียนสามารถขอซื้อกุหลาบแสงจันทร์ให้กับเพื่อนสนิทของเขา จอห์น อัศวินฝึกหัด นับเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผล

จริงๆ มันเป็นแผนเดิมของลูเซียนอยู่แล้ว ผงกุหลาบส่วนหนึ่งจะแบ่งให้เป็นของขวัญกับจอห์น ลูเซียนนับถือครอบครัวของโจเอลเป็นเหมือนครอบครัวของตัวเอง และจอห์นเป็นสหายที่สำคัญที่สุดในชีวิต ความช่วยเหลือต่างๆ ที่ลูเซียนได้รับจากครอบครัวโจเอลมีความหมายต่อเขามาก

ปัญหาตอนนี้ก็คือลูเซียนจะใช้วิธีไหนจูงใจให้เฟลิเซียช่วยเหลือเขา

“อาชีพของข้าในแวดวงดนตรีเพิ่งเริ่ม ยังเหลือทางอีกยาวไกล” ลูเซียนยิ้ม “ข้ามั่นใจว่าอีกไม่นานเจ้าต้องปลุกพรและขึ้นเป็นอัศวินตัวจริงได้”

“อืม… ข้าเองยังไม่มั่นใจเลย ลูเซียน” จอห์นส่ายหน้าคลายอ้อมกอด “การปลุกพรครั้งแรกมีความเป็นไปได้มากที่สุด ข้าต้องเตรียมตัวให้มากกว่านี้”

“ยินดีด้วย ท่านอีวานส์” เอเลน่าสวมกอดลูเซียน ดวงตากลมโตของนางกะพริบด้วยความยินดี

“ข้าตัวจะลอยแล้วเอเลน่า” ลูเซียนยิ้มกริ่ม “เราเป็นเพื่อนกัน อย่าเรียกว่าท่านเลย”

หลังจากส่งเอเลน่ากับครอบครัวโจเอลกลับบ้าน ลูเซียนตรงกลับบ้านหลังเล็กๆ ของเขาและซุกตัวบนที่นอน

ประมาณตีหนึ่งของวันนั้น จู่ๆ ลูเซียนก็ตื่นขึ้น พอตรวจสอบจนมั่นใจว่ารอบตัวปลอดภัย ลูเซียนเข้าไปในห้องทดลองลับเงียบๆ

ลูเซียนใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการร่ายคาถาวางกับดักเวทป้องกันไว้ก่อน หลังจากนั้น ลูเซียนหยิบหลอดบรรจุเลือดออกมาจากกล่อง ขณะเดียวกัน เขาเปิดดูสมุดบันทึกเวทมนตร์ในห้องสมุดห้วงจิต เตรียมพร้อมจดบันทึกตลอดเวลา ลูเซียนหวังว่าระหว่างกระบวนการสร้างผงวิญญาณแค้น เขาอาจเข้าใจพวกปีศาจผีดิบมากขึ้นเช่นกัน

ทันทีที่ลูเซียนเปิดหลอดเก็บเลือดสลักอักษรรูน กลิ่นกำมะถันรุนแรงลอยแตะจมูก และราวกับยังมีชีวิต เลือดสีดำมีฟองขึ้นผุดๆ เหมือนลาวา

ร่ายคาถาที่ฟังดูงึมงำเชื่องช้า ลูเซียนเชื่อมโยงพลังจิตกับมิติอวกาศอื่น ทันใดนั้น เขาคว้าหลอดเลือดและซาดเลือดออกไปข้างหน้า

น่าแปลก แทนที่เลือดที่ถูกสาดจะตกลงบนพื้น เลือดลอยค้างอยู่ในอากาศและแตกตัวออกเป็นหยดเลือดเล็กๆ จำนวนมาก

หยดเลือดเล็กเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว วงเวทปรากฏขึ้นตรงหน้าลูเซียน ทั้งห้องทดลองมีกลิ่นเหม็นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว

หมอกสีเลือดกระจายไปทั่วห้องทดลอง ทันใดนั้น วิญญาณในรูปร่างมนุษย์โปร่งแสงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ บริเวณหน้าและแขนขาของร่างนั้นดูเข้มและมัวกว่าส่วนอื่น รังสีอำมหิตของวิญญาณตนนี้รุนแรงมากจนแทบจะมองเห็น

แม้ลูเซียนยังไม่เข้าใจว่ามิติอวกาศต่างๆ เชื่อมโยงกับพลังวิญญาณอย่างไร แต่โครงสร้างเวทมนตร์อัญเชิญวิญญาณชั้นฝึกหัดนี้ก็ไม่ซับซ้อนนัก

บนหน้าปีศาจ มีรูๆ หนึ่งปรากฏขึ้น น่าจะเป็นปากของมัน วิญญาณแค้นตนนี้เริ่มกรีดร้องและแสดงออกถึงความเคียดแค้นต่อหน้าลูเซียน

ลูเซียนสงบสติอารมณ์และร่ายคาถาเปิดกับดักเวทรอบตัว มวลอากาศรอบตัวขังวิญญาณแค้นตนนี้เสมือนเชือกและมัดตัวมันไว้กลางอากาศ

ตรวนกักวิญญาณ เวทระดับฝึกหัด

ทันใดนั้น กำแพงโปร่งแสงปรากฏขึ้นกลางอากาศและกักตัวปีศาจไว้ข้างใน พื้นผิวของกำแพงกระเพื่อมเหมือนกับผิวน้ำ ขณะที่คลื่นเสียงกรีดร้องจากวิญญาณแค้นยังปะทะกำแพงไม่หยุด

เกราะปิดกั้นเสียง อีกหนึ่งเวทระดับฝึกหัด

แม้ว่าเสียงกรีดร้องของปีศาจถูกสกัดไว้ แต่ลูเซียนยังรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน และยังมีเสียงกรีดร้องก้องอยู่ในหัวของเขา

ลูเซียนรีบจดบันทึกลงในห้องสมุดห้วงจิต

‘เสียงกรีดร้องของวิญญาณแค้นกลายเป็นคลื่นเสียงความถี่ต่ำ พลังทะลุทะลวงสูง มีอำนาจสร้างภาพหลอน’

ลูเซียนหวังว่าจะเข้าใจโครงสร้างความถี่สั่นสะเทือนของคลื่นเสียงนี้คร่าวๆ ได้ แต่อุปกรณ์ในห้องทดลองมีจำกัด บันทึกของลูเซียนไม่สามารถลงรายละเอียดและศึกษาข้อมูลมากไปกว่านี้

เมื่อถูกกักขัง วิญญาณแค้นดูเหมือนจะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งมากขึ้น แต่เสียงของมันไม่อาจเล่นงานลูเซียนได้ต่อไป ลูเซียนร่ายคาถาวงเวทที่บนโต๊ะอย่างใจเย็น มีลำแสงสีทองสาดแสงกระจัดกระจายออกมาในทันที

‘น้ำหนัก 21.26 กรัม หนักกว่าที่คิดไว้ พลัง… ยังไม่รู้’ บันทึกข้อมูล

หลังจากนั้น ลูเซียนเริ่มร่ายเวทมนตร์อื่นๆ ใส่วิญญาณแค้นตนนี้เพื่อศึกษาผลลัพธ์

‘ต้านเวทฝ่ามือผู้วิเศษ’

‘ต้านเวทสาดพิษ’

‘ต้านเวทลำแสงแช่แข็ง’

‘บาดเจ็บเล็กน้อยจากเวทแกว่งกวัดโฮมาน อาจเพราะการขัดจังหวะคลื่นเสียง หรือการชะงักของพลังแม่เหล็ก’

เมื่อการทดลองดำเนินต่อไป วิญญาณแค้นตนนี้ในถูกขังอยู่กลางอากาศเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็โปร่งแสง แสดงอากัปกริยาราวกับว่ามันกลัวลูเซียน วิญญาณแค้นตนนี้ขดตัวอยู่ในมุมของกำแพงเวทรอบตัว

‘สัญชาตญาณบางอย่างยังคงอยู่’ ลูเซียนบันทึกต่อไป

หลังจากนั้น ลูเซียนร่ายเวทแสงสว่าง เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสว่าง วิญญาณแค้นเริ่มอาละวาดอีกครั้ง แต่ไม่มีที่ให้หนีไปไหน รังสีอำมหิตของมันค่อยๆ หายไปท่ามกลางแสงจ้าอย่างช้าๆ

‘กลัวแสงสว่างจ้า’ ข้อความอีกประโยคปรากฏขึ้นในสมุดบันทึก

เมื่อการทดลองมาถึงขั้นสุดท้าย ลูเซียนส่ายหน้า มองวิญญาณแค้นที่ไร้เรียวแรงขดตัวในมุมกำแพง

วิญญาณแค้นที่อัญเชิญมาได้รับบาดเจ็บสาหัสและสลายตัวไปในที่สุด ผงฝุ่นละเอียดยิบสะท้อนแสงค่อยๆ ลอยเข้ามาในวงเวท

‘21.25 กรัม ไม่รู้สาเหตุที่น้ำหนักไม่เท่ากัน สภาพจิตของวิญญาณแค้นอาจส่งผลต่อน้ำหนัก’

ลูเซียนเก็บผงจากวิญญาณแค้นลงในหลอดแก้ว และค่อยๆ จัดข้าวของในห้องทดลองให้เรียบร้อย เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาใช้ห้องนี้ ก่อนจะย้ายออก

เช้าวันรุ่งขึ้น ลูเซียนตื่นเร็วกว่าปกติ รีบมุ่งหน้าไปยังสมาคมนักดนตรีด้วยเหตุผลสองข้อ ข้อแรก ลูเซียนกำลังจะกลายเป็นที่ปรึกษาดนตรีส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงนาตาซา ดังนั้น เขาควรลาออกจากงานบรรณารักษ์ เปิดทางให้คนอื่นที่ต้องการงานจริงๆ เข้ามาทำมากกว่า ข้อสอง ลูเซียนตื่นเต้นเกินกว่าจะรออีกวันที่จะได้เห็นเหรียญทองธาเลเปล่งประกายสะท้อนแสงของเขา

……………………………………….