ซูอี้มองนางอย่างลึกซึ้งและสัมผัสได้ถึงความแคลงใจในดวงตาของนาง แต่กลับไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาเพียงแค่บีบปลายนิ้วของนางกล่าวว่า “ไปเถอะ! หากช้ากว่านี้จะไม่ทันเวลาแล้ว!”
พอเอ่ยจบก็จูงมือนางเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอให้ซื่อหรงตอบกลับอีก
ถึงแม้ฝนด้านนอกจะหยุดไปแล้ว แต่ความชื้นยังคงฟุ้งกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ อีกทั้งฟ้ายังไม่สว่างมากนัก ทำให้บรรยากาศดูมืดครึ้มไปหมด
ซูอี้เดินเร็วมากและไม่หันกลับมามองสีหน้าของหญิงสาวอีกแม้แต่นิดเดียว
และเพราะว่าห้ามเข้าออกทางประตูใหญ่ ทั้งสองคนจึงยังต้องปีนกำแพงออกไปเหมือนเดิม
พวกเขาเพิ่งจะถึงพื้น โม่เสว่ที่รออยู่ใต้ชายคาประตูก็รีบก้าวเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
นางรีบกวาดตามองหน้าซื่อหรงผ่านๆ แล้วก็คารวะซูอี้ว่า “คุณชาย!”
“อื้ม!” ซูอี้ยื่นมือไปหยิบกล่องผ้าไหมห่อด้วยผ้าสีดำที่นางถืออยู่ในมือมาและเลิกคิ้วส่งสายตาถาม
“ของที่ท่านต้องการเจ้าค่ะ!” โม่เสว่เอ่ย พลางอดที่จะมองหญิงสาวที่ตามอยู่ข้างหลังเขาอีกครั้งไม่ได้ แล้วถึงจะเอ่ยเสริมอีกว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงกลับจวนเฉินไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ ก่อนไปสั่งว่าหากท่านต้องการอะไรก็ค่อยไปหาเขาอีก”
“ไม่ต้องแล้ว” ซูอี้เอ่ย พลางเอียงกล่องไปมา แล้วเขาก็จูงมือซื่อหรงจากไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “เจ้าก็กลับไปก่อนเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
——————————–
ตอนที่ฉู่สวินหยางตามเจี๋ยหงกลับมาถึงจวนเฉินนั้นก็ใกล้จะถึงยามสี่เกิงแล้ว ทุกคนจึงพานางไปที่เรือนของ
เหยียนหลิงจวินเลย โดยไม่รบกวนเฉินเกิงเหนียน
ออกไประหกระเหินในคืนฝนตกมาครึ่งคืน ถึงแม้จะไม่เปียกฝนโดยตรง แต่เสื้อผ้าก็ชื้นไปหมด เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่เตรียมน้ำให้ฉู่สวินหยางอาบแล้วก็จะหอบเอาเสื้อผ้าของฉู่สวินหยางออกไป
ฉู่สวินหยางเพิ่งจะวักน้ำล้างหน้า พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเรียกนางไว้ “รอเดี๋ยว!”
“หืม?” เจี๋ยหงหันกลับมาส่งสายตาถามนาง
ฉู่สวินหยางหันตัวมาพิงขอบอ่างอาบน้ำและกวักมือเรียก
เจี๋ยหงหอบเสื้อผ้าเดินเข้าไปหา นางยื่นมือมาค้นเองอยู่พักหนึ่ง แล้วเอาถุงเงินและถุงหอมที่ปนอยู่ข้างในออกมา พลางยิ้มตาหยีว่า “เรียบร้อย!”
เจี๋ยหงยิ้มแล้วหอบเสื้อผ้าเดินออกไป
ฉู่สวินหยางโยนของไว้บนตั่งข้างๆ ก่อน แล้วหลับตาพักผ่อนเแช่ตัวในอ่างน้ำอุ่นอย่างสบายใจ จนกระทั่งน้ำเริ่มเย็นจึงลุกออกมา
เจี๋ยหงวางเสื้อคลุมยาวสีขาวตัวใหญ่แบบผู้ชายที่พับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ให้บนโต๊ะ ดูท่าทางน่าจะไม่เคยใส่มาก่อน
ยามฉุกเฉินเช่นนี้ฉู่สวินหยางก็ไม่ถือสาที่จะสวมเสื้อคลุมหลวมโพรกเหมือนกัน
เสียงฝนด้านนอกเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา ทำให้คืนนี้แลดูเงียบเหงาเล็กน้อย
เหยียนหลิงจวินไปตามหาซูอี้และยังไม่กลับมาทั้งคู่ นางรู้สึกเบื่อหน่ายเช่นกัน จึงเดินเล่นรอบห้องตามใจชอบ
ทั้งห้องด้านในและด้านนอกมีของตกแต่งไม่มากนัก แต่ต่างเก็บกวาดเรียบร้อยและสะอาดมาก ฉู่สวินหยางหยิบจับของตกแต่งในห้องทุกชิ้นตามแนวกำแพง แล้วนั่งเท้าคางบนเตียงใต้หน้าต่าง หยิบหมากรุกหลายตัวมาวางลงไปบนกระดานหมากรุกที่ยังเล่นไม่จบ ทว่ารอไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นเหยียนหลิงจวินกลับมา จึงห่มผ้านอนบนเตียงเสียเลย
พลิกตัวไปมาหลายครั้งก็ยังไม่รู้สึกง่วงสักนิด ทันใดนั้นนางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงลุกขึ้นวิ่งไปหยิบถุงเงินกับถุงหอมของตนเองมาจากข้างหลังฉากกั้นในห้องข้างนอกอีก นางมุดเข้าไปในผ้าห่มอีกรอบ แล้วล้วงของชิ้นหนึ่งออกมาจากในถุงเงินมาถือในไว้มือและดูแล้วดูอีก
นั่นเป็นถุงเงินพื้นสีน้ำเงินอ่อนเข้าคู่กับพู่ห้อยสีน้ำเงินอ่อนอันใหม่ที่ปักลวดลายสีแดงเพลิงอย่างเรียบง่ายมาก หากมองผ่านๆ จะเห็นไม่ค่อยชัดนัก แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็น…
ใบไม้สีแดงใบใหญ่และใบเล็กสองใบซ้อนทับอยู่ด้วยกันอย่างชัดเจน รอยเย็บถือว่าประณีตใช้ได้ แต่เพราะว่าเลาะออกและปะซ่อมหลายครั้ง จึงทำให้ผ้าใหม่เอี่ยมทั้งผืนดูเก่าไปบ้างและดูไม่ค่อยเรียบเสมอกัน แต่ว่าพู่นั้นกลับผูกไว้อย่างละเอียดงดงามมากทีเดียว ทำให้ของทั้งชิ้นแลดูน่ามองมากขึ้น
นางทำของชิ้นนี้เป็นครั้งแรก ถึงแม้ชิงเถิงจะไม่ชอบมันเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่รู้สึกว่ามันขี้เหร่ตรงไหน…
ถึงอย่างไรก็แค่ไม่ค่อยสวยนักเท่านั้น
หลังจากดูถุงเงินที่ถืออยู่ในมือจนเบื่อหน่ายไปรอบหนึ่งแล้ว ฉู่สวินหยางก็เริ่มรู้สึกง่วงเล็กน้อย จึงเก็บของกลับเข้าไปใหม่ให้เรียบร้อยแล้วยัดเข้าไปใต้หมอน แต่คิดไม่ถึงว่ามือจะเผลอลูบไปโดนหนังสือเล่มหนึ่งเข้า
ปกติเหยียนหลิงจวินมักจะวางตัวสบายๆ เวลาอยู่ต่อหน้าคน ดังนั้นฉู่สวินหยางก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังมีนิสัยศึกษาและอ่านตำราแพทย์ก่อนนอนด้วย นางจึงดึงติดมือออกมา ทว่าตอนที่กำลังจะเปิดอ่านนั้นก็ได้ยินเสียงเชินหลานดังมาจากข้างนอกว่า “นายท่านกลับมาแล้ว!”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินขานรับอย่างเฉยชา พลางเดินเข้าไปข้างในโดยไม่หยุดพัก “ท่านหญิงล่ะ?”
“อยู่ในห้องของท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้น่าจะหลับไปแล้ว” เชินหลานเอ่ย
“รู้แล้ว” เหยียนหลิงจวินตอบ พลางเปิดประตูห้องไปพร้อมกับกดเสียงต่ำสั่งว่า “ตอนอาหารเช้าไม่ต้องมารอเรียกให้ตั้งโต๊ะแล้ว ให้ห้องครัวเตรียมไว้ได้เลย แล้วคอยฟังข่าวจากในวัง”
“เจ้าค่ะ!” เชินหลานขานรับเสียงใส แล้วถือร่มเดินออกไปจากเรือน
เหยียนหลิงจวินหุบร่มแล้วเข้าไปข้างใน เขาเพิ่งจะวางร่มไว้หลังประตูก็ได้ยินเสียงฉู่สวินหยางดังมาจากด้านในว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เหยียนหลิงจวินชะงักไป เขาสะบัดหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนเสื้อคลุมแล้วหันกลับไป พอเห็นว่านางยังไม่หลับก็ปลดสายคาดเอวและเดินเข้าไปหา พลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ซูอี้รับมือเองได้”
“อ้อ!” ทีแรกฉู่สวินหยางขยับตัวจะลุกขึ้นแล้ว แต่พอรู้แล้วก็วางใจ จึงเอนหลังนอนบนเตียงและหยิบหนังสือที่ตกอยู่ข้างตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พลางถามไปอย่างไม่ทันคิดว่า “นี่ตำราแพทย์เกี่ยวกับอะไรหรือ? เจ้าน่าจะมีตำราเกี่ยวกับการฝังเข็มโดยเฉพาะใช่หรือไม่? เดี๋ยว…”
นางคีบหนังสือไว้ด้วยปลายนิ้ว แต่นึกไม่ถึงว่าตอนที่เพิ่งจะเปิดกระดาษแผ่นนั้นได้แค่มุมเดียว เหยียนหลิงจวินกลับเดินปราดเข้ามาดึงหนังสือเล่มนั้นไปจากมือนาง
“อ๊ะ…” พอมือของฉู่สวินหยางว่างก็เผลอยื่นมือไปแย่งอย่างลืมตัว
แต่เหยียนหลิงจวินกลับเร็วกว่า เขายกหนังสือเล่มนั้นสูงไปทางด้านหลังอย่างไวพร้อมกับโน้มตัวต่ำลงมาด้วย แขนของฉู่สวินหยางจึงพาดตรงซอกคอของเขาพอดี
ฉู่สวินหยางคิดจะหยอกเขาเล่น จึงถือโอกาสคล้องแขนรอบคอเขา แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยจะแย่งหนังสือในมือของเขาอีก “ดูหน่อย!”
เดิมทีเหยียนหลิงจวินก็โน้มตัวไปข้างหน้าอยู่ตรงนั้นโดยที่มือไม่มีที่ค้ำยันอยู่แล้ว พอถูกนางโถมตัวมาคล้องคอจึงล้มทับลงไปบนตัวนาง
ฉู่สวินหยางโดนเขาทับจนเกือบจะวูบหมดสติไป นางหายใจไม่ออกจนหน้าแดงก่ำ
ขณะที่เหยียนหลิงจวินรีบใช้มือข้างหนึ่งยันตัวขึ้นมานั้น ก็ชูมืออีกข้างขึ้นและโยนหนังสือที่ถือไว้ในมือทิ้งไปไกลๆ จนไปตกลงบนหลังชั้นวางหนังสือตรงมุมห้องข้างนอกและเปิดมาให้เห็นแค่มุมเดียว
ฉู่สวินหยางมองตามไปก็ขมวดคิ้ว พลางยิ้มและถามว่า “เป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือของอาจารย์ปู่เจ้าหรือ? ดูหน่อยก็ไม่ได้รึไง?”
“เล่มนั้นไม่ใช่ตำราฝังเข็ม ถ้าเจ้าอยากอ่าน เดี๋ยวข้าไปหามาให้” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พอตอนนี้ตั้งสติได้แล้วถึงรู้สึกตัวว่านางกอดคอเขาอยู่และสองคนอยู่ใกล้กันเกินไป
“ทำไมยังไม่นอน?” เหยียนหลิงจวินเอ่ยถาม
“ยังไม่ได้ข่าวซูอี้ก็นอนไม่หลับน่ะสิ!” ฉู่สวินหยางเอ่ยโดยไม่คิดว่าตนเองทำตัวไม่เหมาะสมตรงไหน นางแค่เบ้ปากและหยิบผมที่ปรกไหล่ของเขาขึ้นมาดูด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
—————————————————–