แม้เลออนจะขึ้นเสียง แต่ฉันก็ตะโกนหาคาร์ลโดยไม่หันกลับไปมองเขา
“อยู่นี่ไง! สิ่งที่เจ้าต้องการ! ปล่อยอีริสเสีย!”
“ควรทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว”
คาร์ลยิ้มมองแผ่นประกาศิตที่ฉันสะบัด ก่อนใช้เท้าเหยียบแผ่นหลังของอีริสที่ล้มอยู่ แล้วพูดกับฉัน
“รีบโยนมันมา!”
ได้ยินดังนั้น ฉันก็ใช้แรงทั้งหมดโยนแผ่นประกาศิตไปให้คาร์ล ทันทีที่แผ่นกระดาษยับยู่ยี่ตกลงด้านข้างเขา อีกฝ่ายก็หยิบมันขึ้นมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ ระหว่างนั้นเอง ร่างกายของเลออนกับฉันก็กลับมายืนบนพื้นดินอีกครั้ง ระยะเวลาของเวทมนตร์สิ้นสุดลงแล้ว หลังจากมั่นใจว่าฉันกับเลออนเป็นเช่นนั้น คาร์ลก็กล่าวว่า “เจ้าว่านี่คือแผ่นสุดท้ายสินะ?” พลางยิ้ม
“รีบออกห่างจากอีริสไปเสีย!”
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นสิ นักบุญหญิงที่ใช้กระทั่งพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็น ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว”
คาร์ลกล่าวเช่นนั้นพลางฉีกแผ่นประกาศิตที่ทำจากกระดาษ ร่างกายของเขาลอยคว้างขึ้นไปในทันใด หลังจากยืนยันว่าเวทมนตร์ทำงานอย่างเป็นปกติ คาร์ลก็ยิ้มออกมา
“คาร์ล!”
ขณะที่ฉันตะโกนออกไป คาร์ลก็ถีบแผ่นหลังของอีริสที่โซซัดโซเซจะลุกขึ้นอย่างแรง
“กรี๊ดดด!”
อีริสกรีดร้องพร้อมกับที่ตกลงไปในรอยแยกขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นเบื้องล่าง
“อีริส…!”
เมื่อเห็นนางตกลงไป ฉันก็ยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของฉันจึงตกลงลงไปใต้ล่างอันมืดมิดเช่นเดียวกัน ภาพที่คาร์ลกำลังยิ้มหายไปในพริบตา มีเพียงภาพของอีริสที่กำลังตกลงไปใต้ล่างอันมืดมิดเข้ามาในการมองเห็น
ตายแน่ ทันทีที่สัมผัสกับพื้น ทั้งนางและฉันจะต้องตาย
ความพยายามทั้งหมดที่ฉันทำเพื่อดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้โหมกระหน่ำเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ไม่นึกเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมาจบลงอย่างไร้ค่าเช่นนี้ แต่ทว่า
อีริสผู้พรากพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไป ผู้ถูกลิขิตให้พาฉันไปสู่ความตาย ผู้เป็นน้องสาวของอีเบลลีน่า ผู้ที่ถูกหลอกใช้จากคาร์ลเหมือนกับอีเบลลีน่า ผู้ที่เป็นห่วงพี่สาวที่เพิ่งพบกันครั้งแรกแม้ในขณะที่ชีวิตของตนตกอยู่ในอันตราย ผู้ที่ร้องตะโกนว่าอยากคืนของที่ไม่ใช่ของตนกลับไป
ฉันอยากช่วยนางผู้นั้น
ฉันคว้ามือของอีริสที่เอื้อมมาหาฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงนางเข้ามากอด
ทันใดนั้น แสงสีฟ้าครามขนาดใหญ่ก็ระเบิดขึ้นท่ามกลางความมืด
***
คาร์ลลอยอยู่กลางอากาศแล้วมองคนสองคนที่ตกลงไปยังเบื้องล่างของรอยแยกที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด รอยยิ้มชั่วช้าผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาราวกับไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนอีกต่อไป
‘จัดการแค่คนเดียวก็เยี่ยมแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะจัดการได้ทั้งสองคนในคราวเดียว’
ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าอีริสจะตายหรือไม่ หากครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์แต่ใช้ไม่ได้ก็เป็นได้แค่นางผู้หญิงไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาก็ให้ตายไปจะดีเสียกว่า โชคดีที่นางโง่เขลา เพราะหากเป็นนักบุญหญิงที่รู้เรื่องรู้ราว เขาก็คงต้อนให้จนมุมด้วยวิธีเช่นนี้ไม่ได้
‘แถมใครจะไปนึกว่าจะจัดการอีเบลลีน่าไปได้ด้วย’
ถึงจะบอกว่าเป็นน้องสาว แต่ไม่นึกเลยว่านางจะพยายามดึงคนที่ตกลงไปขึ้นมา
‘แน่ล่ะ ถึงจะแสร้งทำเป็นปฏิเสธ แต่ก็เอาแต่คิดถึงครอบครัวมาตลอดนี่’
แม้แต่ในสถานพยาบาลภายในวิหารหลวง อีเบลลีน่าก็ให้ความสนใจพ่อแม่ที่พาลูกสาวมาเป็นพิเศษ เขาจะไม่รู้ความในใจได้อย่างไร เพราะทุกครั้งที่อีเบลลีน่าหวั่นไหว เขาจะจงใจโกหกเรื่องพ่อกับแม่ของนาง ความรู้สึกที่อยากได้รับความรักจากพ่อและแม่จึงเบี่ยงมาหาเขา เมื่อใดก็ตามที่คาร์ลมีสีหน้าเคร่งขรึมหรือทำตัวเย็นชาแม้เพียงเล็กน้อย อีเบลลีน่าก็จะทำตัวไม่ถูกประหนึ่งลูกหมาที่ถูกทอดทิ้ง ไม่นึกเลยว่าความรู้สึกที่เฝ้าคิดถึงแต่ครอบครัวจะมาเป็นประโยชน์ในช่วงเวลาเช่นนี้
ทั้งที่คิดว่าตอนนี้ควรจะรีบออกไปจากตรงนี้ แต่คาร์ลก็ยังเอาแต่มองลงไปเบื้องล่าง พร้อมกับคิดว่าคงจะดีหากได้ยินเสียงร้องโหยหวนและเสียงกระแทกกับที่ไหนสักแห่ง
ทว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาจากใต้ล่างนั้นกลับต่างจากที่เขาคาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง
“นั่นมัน…!”
ก่อนที่เขาจะได้พูดออกมาจนจบคำด้วยความตกใจ แสงสีฟ้าครามที่เริ่มจากเบื้องล่างพลันพุ่งทะลักขึ้นมาด้านบน การระเบิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รุนแรงจนดูเหมือนจะครอบคลุมไปทั้งโลกลุกโชนกลายเป็นเสาไฟขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ระเบิดออกมาตอนนี้ เกราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมวิหารหลวงดูไม่ต่างไปจากการล้อเล่นของเด็กน้อยเลย
ทั้งคนที่กำลังหนี ทั้งอัศวินที่กำลังเผชิญหน้ากับพระเจ้าบรรพกาล ทั้งราธบันที่กำลังฟาดฟันมัน หรือแม้แต่แอสรันกับพระเจ้าบรรพกาลที่กำลังพัวพันกันทำลายล้างโลก ต่างก็หยุดการเคลื่อนไหวเพราะการระเบิดของพลังศักดิ์สิทธิ์
“อะ อะไร…”
ทุกคนต่างก็รู้สึกสุขกายสบายใจเมื่อเห็นแสงนั่น แต่คาร์ลไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขารู้ดีเหลือเกินว่าเจ้าของพลังศักดิ์สิทธิ์นี้คือใคร
“…!”
ไกลออกไป มีร่างหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากเบื้องล่างของรอยแยก อีเบลลีน่ากอดอีริสที่หมดสติไว้และจ้องเขาเขม็ง เมื่อเห็นสายตาเฉียบคมและเยือกเย็น คาร์ลก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าตอนนี้เขาต้องหนีไปจากนางเดี๋ยวนี้
นักบุญหญิงได้พลังศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาแล้ว
ชั่วขณะที่หมุนตัวกลับอย่างรีบเร่ง และกำลังจะหนีออกห่างไปด้วยเวทมนตร์ที่เหลืออยู่ คาร์ลก็ส่งเสียงร้องออกมาเพราะรู้สึกถึงความเจ็บปวดอันแสบร้อนที่จู่โจมแผ่นหลังของเขาอย่างกะทันหัน
“อ๊ากกก!”
เมื่อหันหน้ากลับไปก็พบว่าองค์ชายรัชทายาทเลออนกำลังยิ้มให้เขาอยู่เบื้องล่าง ในมือขององค์ชายถือแผ่นประกาศิตเวทมนตร์ที่ฉีกแล้วอยู่
“นะ ไหนบอกว่าอันที่ให้ข้าคืออันสุดท้าย…!”
“แน่อยู่แล้วว่าข้าโกหก”
คาร์ลได้ยินคำพูดของเลออนพร้อมกับที่ร่วงลงไปบนพื้น ความเจ็บปวดแสนสาหัสแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง เลออนเดินเข้าไปหาคาร์ลที่ตะเกียกตะกาย หยิบดาบที่ตกอยู่แถวนั้นขึ้นมา แล้วแทงไปที่หลังมือของเขาอย่างไม่ลังเล
“อ๊ากกก!”
หลังจากส่งเสียงร้องน่าเวทนาไม่ต่างจากปีศาจ คาร์ลก็ไม่อาจต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสและทำได้เพียงหายใจแรง เลออนใช้เท้าเหยียบดาบเอาไว้เพื่อไม่ให้คาร์ลขยับได้อีก จากนั้นรอคอยลีน่า ผ่านไปไม่นาน ร่างของนางที่กอดอีริสเอาไว้ก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือรอยแยก
ภาพของนางที่โอบล้อมไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าครามด้วยใบหน้าสงบนิ่งทำให้เลออนขนลุก
ตอนนี้ นักบุญหญิงอยู่ที่นี่แล้ว
***
ทันทีที่คว้าอีริสไว้ได้ แสงสีฟ้าครามที่เหมือนจะทำให้ตาบอดก็ระเบิดออก ฉันหลับตาแล้วดึงอีริสเข้ามากอดแน่นขึ้น ลมโหมกระโชกแรง พร้อมกันนั้นฉันสัมผัสได้ว่าพลังอันยิ่งใหญ่กำลังกลับเข้ามาในตัวฉัน ฉันจำได้ว่าเคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับสิ่งนี้เมื่อไร
ตอนที่ฉันสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งหมด และไปพบกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชั้นใต้ดินด้านหลังจัตุรัสกลาง ฉันเคยจับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังพุ่งขึ้นมาจากใต้ล่าง พลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวยพุ่งราวม่านหมอกเฉียดผ่านมือของฉันไป ฉันจำความอบอุ่นที่สัมผัสในชั่วขณะนั้นได้
สิ่งที่กำลังเข้ามาอยู่ในร่างของฉันตอนนี้ ไม่ใช่เปลวเพลิงที่มีความอบอุ่นเบาบางแต่กำลังลุกไหม้ แม้มันจะร้อนแต่ไม่ทำให้เจ็บปวด สิ่งที่หลงทางและเร่ร่อนอยู่ชั่วขณะหนึ่งได้พบกับที่อยู่เดิมและกำลังกลับมาแล้ว
ทันทีที่พลังศักดิ์สิทธิ์หวนกลับคืนมา ฉันก็พบว่าความทรงจำต่างๆ ที่อีเบลลีน่าปิดบังเอาไว้ได้ถูกคลายผนึกออกมาทั้งหมด ฉันตระหนักได้ในชั่วพริบตาว่าต้องใช้พลังที่ล้นทะลักออกมานี้อย่างไร
ร่างกายของฉันและอีริสที่ร่วงลงไปไม่สิ้นสุดหยุดตรงที่ใดสักแห่งกลางอากาศ พลังที่ปกคลุมใต้พื้นดินอัดแน่นจนเต็มรอยแยกและขยายไปสู่ท้องฟ้ากว้าง ฉันปล่อยตัวไปตามเส้นทางนั้น
ไม่นานแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตรงหน้าฉัน คาร์ลกำลังกำลังดิ้นไปมาโดยที่มือข้างหนึ่งถูกดาบปักยึดไว้กับพื้น
ฉันพาอีริสที่กอดไว้ไปฝากกับเลออน จากนั้นยกมือขึ้นไปบนฟ้า พลังศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายไปทั่วทุกสารทิศในโลกได้สร้างเกราะขนาดใหญ่บริเวณรอบๆ แอสรันและพระเจ้าบรรพกาล จากนั้นฉันก็จ้องคาร์ล
ฉันเข้าไปหาคาร์ล ดึงดาบที่ปักอยู่ที่หลังมือของเขาออกอย่างแรง คาร์ลร้องโอดโอยพร้อมกับบิดตัวหนีทันที เขากุมมือข้างที่เลือดออก ก่อนจะจ้องฉันเขม็ง
“ทำไม อยากตายหรือไง”
แม้ฉันจะถือดาบอยู่ในมือ แต่คาร์ลก็ยังยิ้มเย้ยโดยไม่เผยสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“หากทำได้เจ้าก็ทำไปแล้ว จู่ๆ เจ้าก็ลืมไปแล้วหรือ อีเบลลีน่า? เจ้าเป็นนักบุญหญิง เจ้าฆ่าใครไม่ได้ หากจะฆ่าข้าก็ต้องยืมมือองค์ชายรัชทายาทผู้นั้นนู่น”
ฉันเข้าไปหาคาร์ลแล้วยกมือที่ถือดาบขึ้น คาร์ลกล่าวอย่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“อีเบลลีน่า เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก”
ดาบที่อยู่ในมือของฉันแทงคอของคาร์ลอย่างแม่นยำทันที
“ค่อก!”
เสียงร้องแสบแก้วหูดังขึ้นพร้อมกับที่ดวงตาของคาร์ลเบิกโพลง เลือดทะลักออกมาจากลำคอของเขาประหนึ่งน้ำพุ มือที่สั่นเทาของคาร์ลควานหาและคลำเจอดาบที่ปักอยู่ที่คอของเขา
“ทะ…ทำไม…”
ฉันกล่าวกับคาร์ล
“ข้าไม่ใช่อีเบลลีน่า”
“…!”
ได้ยินดังนั้น คาร์ลก็เบิกตากว้างคล้ายจะถามว่าหมายความว่าอย่างไร ฉันดึงดาบที่ปักคอของเขาออกมาแทนคำตอบ แล้วเอื้อมมือออกไปหาเขา แสงสีฟ้าครามสว่างช่วยรักษาบาดแผลของเขาในพริบตา ทิ้งไว้เพียงเลือดที่ไหลออกมา คอของคาร์ลกลับคืนสู่ผิวสะอาดเกลี้ยงเกลาที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเสมือนกับตอนที่เขาเพิ่งเกิดมา
“ทำไม… แค่ก!”
เขาคงจะอยากถามว่าทำแบบนี้ไปทำไมละมั้ง แต่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันจำเป็นต้องรู้ ฉันมองดาบที่แทงท้องของอีกฝ่าย แล้วออกแรงที่มือข้างที่จับมันมากขึ้น ชุดผู้อาวุโสที่เลอะเทอะถูกย้อมไปด้วยเลือด
เมื่อดึงดาบออก เลือดก็พุ่งออกมาเหมือนตอนที่คอถูกแทงเมื่อครู่ก่อน ฉันเอื้อมมือออกไปหาคาร์ลอีกครั้ง ทันทีที่พลังศักดิ์สิทธิ์คลุมตัวเขา บาดแผลที่อยู่บนหน้าท้องของเขาก็หายไปไม่เหลือร่องรอยเช่นกัน
แต่แม้จะบอกว่าบาดแผลหายไป ก็ใช่ว่าความเจ็บปวดจะหายไปด้วย
คงเพราะยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ถูกแทงเมื่อครู่นี้ ใบหน้าของคาร์ลจึงซีดขาว ฉันยกมือขึ้นอีกครั้ง คาร์ลลุกขึ้นและเดินถอยหลังไปด้วยความตกใจ ทว่าขาที่โก่งงอของเขาเหยียบลงบนพื้นได้ไม่ดี จึงซวนเซล้มลงและกลิ้งไปกับพื้น
ฉันออกแรงเตะขาที่กระตุกเหมือนหนอนของคาร์ลอย่างไม่ลังเล
“อ๊ากกก!”
ฉันฟังเสียงร้องของเขาพลางกล่าว
“เจ้าน่าจะรู้ว่าทำไมข้าถึงทำเช่นนี้”
เสียงที่กล่าวเช่นนั้นของฉันกำลังสั่นเครือ
ทุกอย่างที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นสิ่งที่อีเบลลีน่าเคยจินตนาการเอาไว้ ทุกครั้งที่ถูกย่ำยีอยู่ใต้ล่างเขา อีเบลลีน่าจะจินตนาการถึงเรื่องที่นางไม่อาจทำได้ เรื่องง่ายๆ เหล่านี้ที่หากนางไม่ใช่นักบุญหญิงก็คงทำได้ทุกเมื่อ
ฉันได้ยินเสียงของอีเบลลีน่าในจิตสำนึก นางเอาแต่ร้องไห้และไม่อาจเอ่ยคำใด แต่ฉันรับรู้ได้ว่าการกระทำที่ฉันทำอยู่ตอนนี้เป็นสิ่งที่นางต้องการทำมากเพียงใด ทุกครั้งที่นางต้องส่งเสียงครางเพราะถูกข่มเหงจากเขาหนึ่งครั้ง อีเบลลีน่าก็จะฆ่าเขาในจินตนาการของนางหลายต่อหลายครั้งจนไม่บังอาจนับจำนวน
ฉันแทงคาร์ลอย่างที่นางเคยจินตนาการ จะตายในครั้งเดียวไม่ได้ เขาต้องตายให้เท่ากับจำนวนที่อีเบลลีน่าฆ่าเขาในจินตนาการ
ฉันมองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหวกระเพื่อมอยู่รอบข้าง ทันทีที่ช่วยอีริสได้ อีเบลลีน่าก็บอกวิธีการควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดกับฉัน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ความทรงจำต่างๆ ที่อีเบลลีน่าไม่ยอมให้ฉันดูจนจบหลั่งไหลเข้ามา ความทรงจำทุกช่วงเวลาที่นางต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดผวาภายในวิหารหลวงแห่งนี้
“เจ้า…ถ้าไม่ใช่อีเบลลีน่า…แล้วเป็นใคร…”
คงเพราะรับรู้แล้วว่าตนเองอาจจะตายด้วยเงื้อมมือของฉันได้ ในที่สุดใบหน้าของคาร์ลก็เริ่มมีความหวาดกลัวแผ่ซ่าน ฉันเข้าไปหาคาร์ล แล้วแตะดาบเข้าที่ขาของเขา ขาข้างที่ปกติดีไม่บิดเบี้ยว
“มะ ไม่นะ!”
เขาอ้อนวอน เวลาเดียวกับที่ฉันปักดาบลงไปที่ขาของเขาแล้วออกแรงบิด
“อ๊ากกก!”
คาร์ลดิ้นไปมาเพราะความเจ็บปวดที่ไม่อาจอดกลั้น แต่ฉันไม่สนใจ
น่าจะเป็นดาบดี ขาของเขาถูกฟันลึกไปจนถึงกระดูกจนห้อยรุ่งริ่ง ฉันออกแรงมากขึ้น ผ่านไปไม่นาน ขาของคาร์ลก็กลิ้งไปอยู่ข้างเขา
“ขะ ขาของข้า! ขาของข้า!”
ด้วยเพราะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ อย่าว่าแต่เขาตายเลย ยังสลบไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันจับดาบโยนไป จากนั้นหมุนตัวกลับไปหาอีริสที่อยู่ในอ้อมแขนของเลออน ตอนนั้นเอง เสียงของอีเบลลีน่าพลันดังขึ้นด้านในตัวฉัน
“…ขอบใจนะ”
น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการสะอื้นจนยากจะฟังให้ถูกต้องจะต้องพูดอย่างนั้นเป็นแน่ เสียงของอีเบลลีน่าที่สะอื้นและถอนหายใจออกมาพร้อมกันกำลังเลือนราง
บัดนี้ อีเบลลีน่ากำลังจะพบกับความตายอยู่ด้านในตัวฉัน
“…แค่ครั้งเดียว”
อีเบลลีน่าอ้อนวอนกับฉัน
“แค่ครั้งเดียวนะ…”
ฉันเข้าใจว่าคำพูดที่นางไม่กล้าเอ่ยออกมาคืออะไร ฉันหลับตาลง ภาพการมองเห็นเปลี่ยนไปในพริบตา
อีเบลลีน่าที่ใช้ร่างกายแทนฉันเอื้อมมือออกไป นางแนบหน้าผากของตนเองกับหน้าผากของอีริสที่ไม่ได้สติ อาจเป็นเพราะการกระทำนั้น อีริสถึงได้ร้องครางแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากกะพริบตาสองครั้ง อีริสก็เห็นอีเบลลีน่า แล้วยิ้มอย่างสดใสออกมา อีเบลลีน่ายิ้มพลางกล่าว
“ข้าคิดถึงเจ้า”
ได้ยินดังนั้น ดวงตาของอีริสพลันแดงก่ำ อีเบลลีน่าค่อยๆ จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย ราวกับได้พบเด็กน้อยที่คะนึงหา ราวกับคนที่จะออกเดินทางโดยไม่อาจหวนกลับมาได้อีกเป็นครั้งที่สอง
“…ลาก่อน”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของอีเบลลีน่า