บทที่ 145 เหอะ กลยุทธ์เด็ดของโฮสต์แค่นี้เองเหรอ

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 145 เหอะ กลยุทธ์เด็ดของโฮสต์แค่นี้เองเหรอ

แม้ว่าฟางหนิงจะคิดวิธีแก้ไขได้แล้วและมั่นใจมากพอที่จะทำให้ระบบยอมรับ แต่เดิมทีเขาไม่ใช่คนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงจะไม่กลายเป็นโรคผัดวันประกันพรุ่งระยะสุดท้าย…

ดังนั้น ถ้ากลยุทธ์เกิดล้มเหลวขึ้นมาและอินเทอร์เน็ตถูกตัดไปครึ่งปี ฟางหนิงจึงคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา และยังฉวยโอกาสตอนที่ระบบไปจับปีศาจเล็กๆ กลับเข้าไปในคุกเพื่อพูดคุยกับแอนเดอร์สันและหมองูเซ่อถีอีกนาน

หลังจากยืนยันรายละเอียดทั้งหมดได้แล้ว และคิดทางหนีทีไล่ไว้เรียบร้อยฟางหนิงถึงค่อยมั่นใจ

แต่เขายังคงเสียดาย ถ้าเซ่อถีรู้จุดตายของงูจงอางตัวนั้นก็คงดีกว่า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องลงแรงมาก…

แม้ว่าวิธีการแก้ไขของตนเองจะยอดเยี่ยม และเมื่อนำมาใช้แล้วจะทำให้ระบบก้มหัวยอมรับแน่นอน แต่ตนเองต้องทำงานส่วนใหญ่ในกลยุทธ์นี้ และนั่นเป็นเรื่องที่โอตาคุอย่างเขาไม่ชอบทำเป็นที่สุด

ตรงกันข้ามกับระบบที่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย เมื่อเทียบกับอดีตแล้วทุกอย่างดูพลิกกลับตาลปัตรไปหมด น่าเหนื่อยใจจริงๆ…

ฟางหนิงคิดถึงเรื่องนี้ก็เปิดคอมพิวเตอร์ เตรียมพิมพ์เอกสารรายการงานที่เขากำลังจะทำทีละอย่าง ด้วยกลัวว่าถ้าลืมข้อไหนไปอาจทำให้แผนล้มเหลว ไม่อย่างนั้นมีหวังไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ตไปอีกครึ่งปีแน่นอน

ทันทีที่เขาเปิดคอมพิวเตอร์ก็ดึงดูดความสนใจจากระบบที่กำลังจับปีศาจได้อย่างดี

ระบบ “โฮสต์กำลังทำอะไร โฮสต์เพิ่งอ้างว่ามีกลยุทธ์เด็ดไม่ใช่เหรอ แต่ผ่านไปตั้งนานแล้วก็ยังไม่บอกระบบอีก หรือว่าจะกำลังเล่นเกมอีกแล้ว”

ฟางหนิงถูกระบบดูถูกแบบนั้นก็น้อยใจมาก ในฐานะที่เป็นอดีตโปรแกรมเมอร์ การแก้ไขเอกสารเป็นเรื่องน่ารำคาญที่สุด…

ตอนนี้เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ไม่มีข้อผิดพลาดใด เขาถึงต้องเขียนแผนการทำงาน นี่เขากำลังตั้งใจทำงานชัดๆ แต่กลับถูกมองว่ากำลังหาเรื่องเล่น แล้วจะไม่ให้เขาน้อยใจได้ยังไง

ฟางหนิงโต้กลับทันที “ฉันอยากจะเขียนแผนการออกมาให้ชัดเจน เพราะจู่ๆ ก็เกิดมีแรงบันดาลใจขึ้นมา แกมีหน้าที่บดขยี้ปีศาจก็ทำไปเถอะ ฉันคิดแผนการแกลงมือ เพราะฉะนั้นฉันจะเขียนกลยุทธ์นี้ออกมาให้ชัดเจน รวมทั้งเขียนทางหนีทีไล่ต่างๆ ด้วย…”

ระบบ “อย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนว่าระบบจะมองผิดไปสินะ”

ฟางหนิงเริ่มพิมพ์พลางบ่นพึมพำ “ก็ใช่น่ะสิ อย่าลืมให้เงินฉันเป็นค่าเยียวยาจิตใจด้วยล่ะ…”

ระบบกำลังต่อสู้…

ฟางหนิง “พอพูดถึงเงินก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเชียวนะ…”

ขณะที่ฟางหนิงกำลังใช้สมองเพื่อพัฒนากลยุทธ์ของเขาให้สมบูรณ์แบบ ทุกคนในสำนักงานสัจธรรมได้รับแจ้งเตือนจากราชาวานรหางขาว จึงเริ่มเตรียมการฉุกเฉินและรวบรวมกำลังคน

คำเตือนของราชาวานรหางขาวทำให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัวหลายชั่วโมง หลังจากนั้นกองสอดแนมหน่วยหนึ่งจึงค่อยส่งข่าวมา กลุ่มเม่นบ้าเลือดกลายพันธุ์กำลังมุ่งจากทางตะวันออกบ่ายหน้ามาทางที่ตั้งสำนักงานใหญ่ พวกเขาได้ปล่อยโดรนเพื่อติดตามแล้ว

ในเวลานี้ทุกคนในสำนักสัจธรรมอยู่ที่สำนักงานใหญ่ในดินแดนมรดก

ที่นี่คือฐานวัตถุดิบยาและการฝึกฝนที่สำคัญที่สุด เพราะสถานที่ตั้งดีที่สุด ผลผลิตวัตถุดิบยาสูงสุดและประสิทธิภาพการฝึกฝนก็สูงสุด สามารถรองรับคนมาฝึกฝนได้มากที่สุดในครั้งเดียว

สรุปแล้วจะยอมปล่อยที่นี่ไปไม่ได้ และจะปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นเข้าใกล้ง่ายๆ ไม่ได้ด้วย

หลังจากได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองแล้ว ทุกคนก็เข้าไปในศูนย์บัญชาการของสำนักงานใหญ่ แผนที่อิเล็กทรอนิกส์ที่นี่ได้รับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่โดรนส่งกลับมาแล้ว มันกำลังแสดงตำแหน่งของฝูงเม่นแบบเรียลไทม์

หลายปีที่ผ่านมา มีการสร้างความได้เปรียบด้านข้อมูลนานแล้ว และสร้างความสัมพันธ์กับเผ่าปีศาจท้องถิ่นที่อยู่รายรอบมานานเช่นกัน ทำให้มีแหล่งข่าวเพียงพอ พวกเขาจึงไม่อาจยอมรับได้อย่างมากที่ผู้มาทีหลังจะทำลายความสัมพันธ์นี้

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เส้นทางของอีกฝ่ายก็แสดงให้เห็นว่ามุ่งหน้ามาสำนักงานใหญ่จริงๆ

หลังจากแน่ใจแล้ว ผู้อาวุโสไห่ก็ออกคำสั่งสกัดกั้นทันที

สมาชิกในกองทหารชุดดำหลายหมื่นนายที่รวมตัวพร้อมอยู่แล้ว หลังจากได้รับคำสั่งก็รีบเร่งไปสร้างการป้องกันบนเส้นทางที่อีกฝ่ายกำลังจะผ่าน จัดเรียงกระบวนทัพเตรียมพร้อมรับมือเต็มที่

ตำแหน่งของพวกเขาดีมาก หากอีกฝ่ายต้องการโจมตีฐานสำนักงานใหญ่ก็ต้องผ่านเส้นทางนี้ให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็ต้องอ้อมไปอีกทางที่มีหัวหน้าเผ่าปีศาจใหญ่ครอบครอง และนั่นคือการรนหาที่ตาย

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สัตว์ปีศาจบ้าคลั่งไร้เหตุผลเมื่อเห็นกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ขวางทาง พวกมันจะไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน และไม่มีทางที่จะเลือกเส้นทางอ้อมหรือเปลี่ยนเป้าหมายด้วย

ทว่าตอนนี้กลับต่างออกไป หนึ่งชั่วโมงต่อมา แผนที่อิเล็กทรอนิกส์ก็แสดงให้เห็นว่าฝูงเม่นบ้าเลือดได้เปลี่ยนเส้นทางแล้ว แทนที่จะโจมตีสำนักงานใหญ่ พวกมันกลับอ้อมไปโจมตีฐานวัตถุดิบยาที่อยู่ไกลออกไปแทน

เฉียวจื่อเจียงเอ่ยแนะนำ “เสียงมาจากตะวันออกไปตะวันตก เหลือเชื่อว่าพวกมันฟังคำสั่งของชาวเทียนจู๋ แม้ว่ากองกำลังของเราจะแข็งแกร่ง แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่คล่องตัวมากนัก ด้วยสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ ตอนนี้จึงไม่อาจใช้ยานพาหนะขนส่งขนาดใหญ่ได้ ทำให้ไล่ตามฝูงเม่นนั่นไม่ได้ ถ้าถูกพวกมันลากไปมา มีแต่จะต้องวิ่งไปมาให้เหน็ดเหนื่อยเปล่า และเสียเปรียบกลายเป็นฝ่ายถูกควบคุม

“ผู้อาวุโสไห่ ผู้อำนวยการสวี่ รองผู้อำนวยการสวี่ พวกเราควรทำยังไงดี”

เฉียวอันผิงกอดอกมองแผนที่อิเล็กทรอนิกส์

เขาได้ฟังแล้วก็เอ่ยขึ้น “ผู้อำนวยการ ผู้อาวุโสไห่ ผมขอเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีก่อน แม้ว่าสัตว์ปีศาจจะทรงพลัง แต่ผมมั่นใจจะขวางพวกมันได้สองสามชั่วโมง มีเวลาเพียงพอที่จะให้กองทัพเข้ามาล้อมพวกมันไว้”

ผู้อาวุโสไห่ขมวดคิ้วตัดสินใจไม่ได้

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสไห่ก็ส่ายหน้า “สั่งเจ้าหน้าที่ฐานวัตถุดิบยาให้อพยพกลับมาที่สำนักงานใหญ่ทันที จะชักช้าไม่ได้ ให้พวกเขาสละที่นั่นชั่วคราว”

เฉียวอันผิงเอ่ยแย้งทันที “ผู้อาวุโสไห่ หรือว่าจะปล่อยให้สัตว์ปีศาจบ้าคลั่งพังที่นั่นไปเปล่าๆ เหรอ แม้ว่าที่นั่นจะอยู่ห่างไกล แต่ต้องใช้เวลาตั้งหกเจ็ดปีก่อสร้างขึ้นมา พี่น้องหลายคนต้องสละชีวิตที่นั่น…”

ผู้อาวุโสไห่ส่ายหน้า “คิดว่าฉันไม่เสียใจหรือไง อย่าลืมสิ รักษาที่ดินเสียคน เสียทั้งที่ดินทั้งคน รักษาคนเสียที่ดิน ยังรักษาได้ทั้งคนและที่ดิน คราวนี้เป็นสถานการณ์ใหม่ทั้งหมด ก่อนที่จะเข้าใจรายละเอียดเชิงลึกของศัตรู เราจะเร่งรีบปิดล้อมบดขยี้ไม่ได้ มันเสี่ยงมากเกินไป”

ผู้อาวุโสไห่พูดกับเฉียวจื่อเจียงต่อ “จื่อเจียงเธอรีบให้หลงฝานตรวจจับตำแหน่งใหม่ของคนกลุ่มนั้น ตีงูต้องตีให้ตาย อันผิงเธอเตรียมพร้อมโจมตี เป้าหมายการโจมตีไม่ใช่ฝูงเม่น แต่เป็นชาวเทียนจู๋นั่น พวกเขาต้องถูกจับเป็น ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเริ่มบัญชาการฝูงสัตว์ปีศาจ พวกเขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น”

เฉียวอันผิงพยักหน้า แล้วรอหลานสาวตรวจสอบอย่างอดทน

ขณะนี้ข้างนอกวิหารอันเจริญรุ่งเรืองในเมืองหลวงของเทียนจู๋ ผู้คนมากมายได้ยินเสียงภาษาสันสกฤตดังขึ้นเป็นระยะ

มุมหนึ่งด้านหลังอุโบสถ ที่ตรงนั้นเงียบสงัดมาก ผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคนเป็นคนผิวขาว กำลังฟังรายงานจากลูกน้องผิวดำ

หลังจากฟังจบแล้ว ทั้งสามคนก็ขอให้ลูกน้องออกไปพักผ่อนใกล้ๆ แล้วจึงเริ่มปรึกษากันตามลำพัง

ในกลุ่มสามคนนั้น สีหน้าของชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งฉายชัดถึงความไม่พอใจ “นักบวชโครว์ลี่อวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ พบร่างอวตารของเทพแห่งการทำลายล้างแล้วก็ควรรายงานทันที ใครอนุญาตให้เขาทำอะไรพลการไปสู้กับคนของสำนักสัจธรรม เขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้วค่อยส่งคนกลับมารายงานข่าว เห็นได้ชัดว่าทำก่อนรายงานทีหลัง”

ชายชราอีกคนที่อายุมากกว่าเอ่ยปกป้อง “ไม่เป็นไร คามาล เราทุกคนทราบความแข็งแกร่งของสำนักงานสัจธรรมดี ฟังจากที่คนผู้นี้รายงาน ไม่มีใครทำอะไรงูจงอางได้หรอก”

“โครว์ลี่ต้องการวางรากฐานสำหรับเราล่วงหน้า มันไม่ใช่ความผิด แต่เป็นหัวใจเพื่อทุกคน ถ้าเกิดล้มเหลวแล้ว ก็บอกได้ว่าโง่เขลามากทีเดียว เราทราบเรื่องทีหลัง สำนักสัจธรรมมีวิธีแยกแยะคำจริงหรือคำลวง ถ้าเราพูดแบบนั้นพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ โครว์ลี่คิดรอบคอบแล้ว”

คามาลหน้าแดง “เมลัม ท่านจะบิดคำพูดให้มีเหตุผลได้ยังไง ถึงท่านจะส่งเสริมเขาขึ้นก็ตาม แต่เขาก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว หรือว่าจะยังแสร้งทำเป็นไม่รู้อีก”

“งูจงอางนั้นทรงพลังมาก บางทีอาจจะไม่มีใครเทียบได้เลย แต่พวกเขาเป็นแค่คณะสำรวจ ไม่ต้องให้ผู้อาวุโสสำนักสัจธรรมหกคนลงมือหรอก แค่หัวหน้าหน่วยสืบสวนพิเศษก็ปราบพวกเขาได้แล้ว งูจงอางไม่ใช่ผู้ปกป้องโดยเฉพาะ ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่เราจะไม่ได้ดินแดนใดๆ เราจะต้องไถ่ตัวพวกเขาด้วย เรื่องนี้ตกลงกันก่อน ถึงตอนนั้นฉันจะไม่มีทางไปที่นั่นได้ก็ตาม”

ใบหน้าของเมลัมเย็นชา “คามาล เธอยังอายุน้อยและเป็นผู้สืบทอดของเทพแห่งการทำลายล้างด้วย ทำไมคำพูดที่ออกมาถึงได้อ่อนแออย่างนี้ล่ะ ฉันเป็นผู้สืบทอดเทพแห่งการสร้างสรรค์ไม่กลัวพวกคนของสำนักสัจธรรมเลยสักนิด ครั้งนี้ฉันจะไปดินแดนมรดกเอง มีความช่วยเหลือของงูจงอาง ฉันคนเดียวรับมือกับพวกเขาหกคนได้แน่นอน จะต้องแย่งชิงดินแดนมาให้ได้”

เขาพูดจบแล้วก็ไม่รอให้อีกสองคนออกปากห้าม สลายตัวกลายเป็นกลุ่มควันหายวับไปจากวิหาร

ชายหนุ่มผิวขาวใบหน้าหล่อเหลายืนมองกลุ่มควันด้วยความขุ่นเคือง พูดกับหญิงคนนั้นว่า “ซีน่า ดูสิ เมลัมเป็นคนถือตนอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เขาอาศัยความอาวุโสและพระนามของเทพแห่งการสร้างสรรค์ ก็ไม่สนใจความคิดเห็นของฉันเลย เขาทำอะไรตามอำเภอใจ แม้แต่พวกนักบวชลูกน้องของเขาแต่ละคนก็ยังหยิ่งผยอง”

หญิงผิวขาวที่ชื่อซีน่าเกลี้ยกล่อม “ใจเย็นๆ คามาล ตระกูลเมลัมมีอำนาจยิ่งใหญ่ โครว์ลี่เป็นคนตระกูลเขา แน่นอนว่าเขาอยากจะไปช่วย เขาไปคนเดียวก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ในฐานะผู้สืบทอดของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง เธอน่าจะรู้ดีที่สุดว่างูจงอางตัวนั้นทรงพลังแค่ไหน”

ฐานสำนักงานใหญ่ในดินแดนมรดกของสำนักงานสัจธรรม

เวลาผ่านไปแต่ละวินาที…ผู้อาวุโสทั้งสามต่างมองเฉียวจื่อเจียงด้วยความกังวล

แต่เฉียวจื่อเจียงยังคงขมวดคิ้วไม่พูดอะไร

เห็นได้ชัดว่าหลงฝานหาไม่เจอว่าชาวเทียนจู๋อยู่ที่ไหน

ทันใดนั้นก็มีโทรศัพท์จากภาคสนามดังขึ้น

ผู้อาวุโสสวี่รีบไปรับด้วยตนเอง หลังจากฟังอยู่ครู่หนึ่งสีหน้าของเขาก็ดูแปลกไปเล็กน้อย

“โอเคๆ พวกคุณช่วยฉันขอบคุณท่านอัศวินด้วย รีบเชิญเขาเข้ามา ช่างเถอะ อันผิงกับฉันจะไปพบเขาเอง”

สีหน้าของเฉียวจื่อเจียงเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน “ผู้อำนวยการสวี่ หรือว่าอัศวิน A มาที่นี่”

ผู้อาวุโสสวี่วางโทรศัพท์ด้วยสีหน้าจนใจ “ใช่ เป็นเขา”

เฉียวจื่อเจียง “อัศวิน A รู้เรื่องที่นี่ได้ยังไง หลงฝานสนิทกับเขามาก เป็นไปได้ไหมว่าผลจากเขาวงกตจิตในตัวหลงฝานถูกเขาทำลายแล้ว”

เฉียวอันผิงท่าทางยินดี “ตอนนี้อย่าเพิ่งกังวลเรื่องนี้เลย เขามาก็ดีแล้ว พวกเรามีผู้แข็งแกร่งสูงสุดสี่คนอยู่ที่นี่ ต่อให้ศัตรูจะแข็งแกร่งมาก แต่เขาย่อมหาทางช่วยพวกเราได้”

ผู้อาวุโสสวี่เห็นว่าเฉียวจื่อเจียงยังคงขมวดคิ้วก็รีบอธิบาย “จื่อเจียง เธอคิดมากเกินไปแล้ว ดูจากความลึกลับของอัศวิน A ฉันเดาว่าเขาน่าจะตามชาวเทียนจู๋มาที่นี่ เซวียเฟิงเคยรายงานฉันไว้ ไม่นานมานี้เขาเคยส่งอัศวินไปต่างประเทศ ตอนนั้นน่าจะติดตามชาวเทียนจู๋ไป ในเมื่อชาวเทียนจู๋มาถึงนี่แล้ว ต่อไปคงถึงเวลาเปิดบางส่วนในหน่วยงานประสานงานของพวกเราแล้ว”

เฉียวจื่อเจียงถอนหายใจโล่งอกจ คำอธิบายนี้น่าจะใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากกว่าการคาดเดาเองมากที่สุด

ผู้อาวุโสไห่ได้ยินก็ไม่ลังเลอีก “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว งั้นพวกเราก็ไปต้อนรับท่านอัศวินด้วยกันเถอะ จะได้หารือเรื่องใหญ่กัน”

ทั้งหมดเป็นผลจากชื่อเสียงที่อัศวิน A สั่งสมมาตั้งแต่อดีต หากเป็นคนอื่น พวกเขาจะไม่เสี่ยงอันตรายต้อนรับคนนอกเข้าสู่ใจกลางสำนักงานใหญ่แน่นอน

คนที่ได้รับความไว้วางใจจากยอดฝีมือทั้งสี่ของเสินโจว มีแต่อัศวิน A ที่มีใจ ‘ฝึกฝนขจัดความชั่วร้าย’ จริงๆ เรื่องนี้เพิ่งมีการยืนยันเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา

อัศวิน A ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของฐานสำนักงานใหญ่สำนักสัจธรรม เขามองเข้าไปข้างใน

ระบบ “เหอะ นี่เหรอกลยุทธ์เด็ดที่โฮสต์คิดได้ ก็แค่ใช้คนมีอำนาจมารังแกคนตัวเล็กเท่านั้นไม่ใช่เหรอ”

ฟางหนิงโต้กลับทันที “แกจะไปรู้อะไร คนมีอำนาจรังแกคนตัวเล็กเป็นกลยุทธ์เด็ดมาตั้งแต่โบราณ! เปิดศึกเป็นทางการแล้ว วางแผนร่วมกับพวกเขาแล้วรวบรวมกำลังทหารที่เหนือกว่าจัดการกับศัตรูที่ด้อยกว่า…

“ระบบเล็กๆ อย่างแกไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้ จะเข้าใจความคิดกลยุทธ์ประเภทนี้ได้ยังไง เดี๋ยวฉันแสดงฝีมือเอง แกหุบปากไปก่อนรอจนกว่าฉันจะจัดการทั้งหมดได้ ถึงตอนนั้นเมื่อพวกเขาเริ่มลงมือ แกก็ไปร่วมด้วย นี่ยังไม่เรียกว่าเด็ดอีกเหรอ งั้นแกคิดได้ดีกว่านี้ไหมล่ะ…”

ระบบ “…”

………………………………………………………..