บทที่ 238.2 ร้อนน้อยผ่านไป ลมวสันต์ยังคงอยู่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 238.2 ร้อนน้อยผ่านไป ลมวสันต์ยังคงอยู่ โดย ProjectZyphon

เฉินผิงอันถือกระบี่ไม้ไหวไว้ในมือ พอเท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้นก็หมุนตัวโซเซมาขวางอยู่เบื้องหน้าปีศาจจิ้งจอก โบกไม้โบกมือฟาดฟันปราณกระบี่ที่แตกกระจายมั่วซั่วเป็นพัลวัน ท่าโบกตวัดกระบี่ก็คือท่าหมัดหวังปา *(หวังปาเป็นคำด่าว่าสารเลว ตัวเงินตัวทอง)*ที่ใครบางคนเคยเอ่ยแซวอย่างแท้จริง

นักพรตจางซานเฟิงที่เพิ่งจะถอนหายใจโล่งอกอดตาค้างกับท่านี้ของเขาไม่ได้

ชายฉกรรจ์เคราดกยกมือขึ้นกุมขมับ กล่าวอย่างระอาใจ “เดิมทีนึกว่าไอ้หมอนี่มีวิชาหมัดไม่ธรรมดา แบกกล่องกระบี่มานานขนาดนี้ต้องเป็นจอมยุทธ์น้อยมือกระบี่คนหนึ่งที่เก็บงำฝีมืออย่างลึกล้ำแน่นอน…”

ปราณกระบี่ด้านหน้าแตกกระจายจนหมด เฉินผิงอันทำงานส่วนของตัวเองเรียบร้อยก็รีบมองประเมินความเสียหายของกระบี่ไม้ไหวในมือ แม้ว่าจะเป็นกระบี่ไม้น้ำหนักเบาขนาดกะทัดรัด แต่กลับมีความแข็งแกร่งทนทานอย่างมาก เมื่อปะทะเข้ากับปราณกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลของปรมาจารย์วิถีกระบี่แคว้นซูสุ่ยผู้นั้นแล้ว ตัวกระบี่กลับไม่มีความเสียหายแม้แต่จุดเดียว เฉินผิงอันจึงพอจะสบายใจได้บ้าง

ผู้เฒ่าชุดดำคลี่ยิ้มสง่างาม เอ่ยเย้ยตัวเองว่า “คิดไม่ถึงว่าบนโลกจะมีคนใช้หมัดหวังปาต้านรับกระบี่ของข้าผู้อาวุโสได้ เอาเถอะ ข้าผู้อาวุโสพูดคำไหนคำนั้น เด็กน้อยเจ้ารับได้แล้วก็คือรับได้แล้ว ข้าผู้อาวุโสจะไม่สร้างความลำบากใจให้ปีศาจจิ้งจอกที่อยู่บนพื้นตัวนั้นอีก พวกเจ้าหนึ่งคนหนึ่งปีศาจจงทำตัวให้ดี ควรรู้ไว้ว่ากรรมตามสนองนั้นไม่ได้สบาย หวังว่าพวกเจ้าจะทะนุถนอมวาสนาที่ยังไม่รู้ว่าดีหรือร้ายครั้งนี้ให้ดี”

ผู้เฒ่าเก็บกระบี่เข้าฝัก เขาที่นั่งขัดสมาธิมาโดยตลอดลุกขึ้นยืน หมุนกายจากไป เดินออกประตูใหญ่ของวัดไปแล้วก็เงยหน้ามองม่านฟ้ามืดทะมึน พลางพึมพำกับตัวเอง “ปีศาจและมารร้ายที่กำจัดไม่หมดสิ้น ภูตผีวิญญาณที่สังหารอย่างไรก็ไม่มีวันลดน้อยลง  แล้วเมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดสักที?”

บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขา ผู้สถาปนาหมู่บ้านวารีกระบี่ท่านนี้พลันหันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ “หากพวกเจ้าสี่คนสนใจสามารถไปที่หมู่บ้านของข้าผู้อาวุโสได้ ช่วงนี้หมู่บ้านกระบี่กำลังจัดงานรวมตัวผู้นำแห่งยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย จะดีจะชั่วก็ถือเป็นงานมงคลของยุทธภพ หากพวกเจ้าไปถึงหมู่บ้านแล้ว บางทีข้าผู้อาวุโสอาจจะไม่อยู่ที่นั่น แต่พวกเจ้าสามารถไปหาผู้ดูแลฉู่ที่อายุมากที่สุดได้โดยตรง บอกกับเขาว่าเป็นสหายที่ข้าเพิ่งได้รู้จักในยุทธภพ ขอเหล้าแค่ไม่กี่จอกดื่มย่อมไม่เป็นปัญหา”

สุดท้ายผู้เฒ่ามองมาทางเฉินผิงอัน “ความอดทนที่คิดจะ ‘ทำเรื่องที่ดีให้ดีและถูกต้องยิ่งกว่าเดิม’ ของเจ้าในคืนนี้ ตอนที่ข้าผู้อาวุโสยังไม่แก่ชรา ช่วงวัยตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มถึงวัยกลางคน ข้าเองก็เป็นอย่างเจ้ามาโดยตลอด และมีแต่จะมากกว่า ไม่มีน้อยกว่า ทว่า…ช่างเถอะ คำพูดไม่เป็นมงคลของคนแก่อย่านำมาพูดให้เด็กหนุ่มฟังจะดีกว่า สรุปก็คือหวังว่าเจ้าจะยังยืนหยัดต่อไปได้”

ผู้เฒ่าวัยชราตบกระบี่ยาวตรงเอว เดินจากไปไกลอย่างเงียบเชียบท่ามกลางม่านราตรี

เฉินผิงอันยืนเหม่อ พอหลุดจากภวังค์ หันหน้ากลับไปมองข้างหลังก็เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกอายุน้อยตนนั้นหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ชายฉกรรจ์เคราดกยื่นนิ้วชี้หน้าตัวเอง พูดสัพยอก “เฉินผิงอันเอ๋ยเฉินผิงอัน วีรบุรุษช่วยเหลือสาวงาม หลังจบเรื่องสาวงามจะเอาตัวตอบแทนหรือไม่ ยังต้องดูกันที่ตรงนี้!”

เฉินผิงอันเอากระบี่ไม้ไหวเก็บไว้ในกล่องไม้ที่เว่ยป้อเป็นคนทำให้ วิ่งเหยาะๆ ไปที่กองไฟ ยื่นมือขยับเข้าใกล้กองไฟพลางชำเลืองตามองหลิ่วชื่อเฉิงที่นั่งหาวอยู่ฝั่งตรงข้ามคล้ายไม่ตั้งใจแต่ก็คล้ายมีเจตนา ฝ่ายหลังยิ้มหน้าเป็นส่งมาให้ “มองอะไร  คราวนี้เริ่มอิจฉาความหล่อเหลาสง่างามของข้าแล้วสินะ? เฮ้อ อันที่จริงข้าเองก็อิจฉาเจ้าเฉินผิงอันเหมือนกัน หากข้ามีวรยุทธ์ได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ก็คงกลายเป็นผู้ชายในฝันของจอมยุทธ์และเทพธิดาสาวนับพันนับหมื่นในยุทธภพไปนานแล้ว!”

เฉินผิงอันกลอกตามองสูงใส่อีกฝ่าย ปลดน้ำเต้า แหงนหน้ากรอกเหล้าคำใหญ่เข้าปาก

หลังดื่มเหล้าไปแล้ว เฉินผิงอันก็ถือน้ำเต้าไว้ในมือ ความสั่นสะเทือนในอารมณ์ไม่ได้เบาสบายอย่างที่แสดงออกภายนอก

การที่เขาไม่ได้เชื้อเชิญบรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้ไปขัดขวางปราณกระบี่ของซ่งอวี่เซาหัวหน้าหมู่บ้านกระบี่ กลับกันยังพาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย หาใช่เฉินผิงอันใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาไม่

เฉินผิงอันถอนหายใจ ลุกขึ้นเดินไปยังพื้นที่ว่าง หลังจากรัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็หลับตาลง หวนนึกถึงการออกกระบี่ทั้งสามครั้งของผู้เฒ่าอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ย ครั้งหนึ่งฟันลงไปที่แท่นบูชาเทวรูป บีบให้ปีศาจจิ้งจอกเผยกาย อีกครั้งหนึ่งบิดข้อมือเบาๆ ปราณกระบี่กลายเป็นตาข่าย ครั้งสุดท้ายแน่นอนว่าคือกระบี่ที่พุ่งเข้าแสกหน้าเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยังคงไม่ลืมตา แต่กลับดึงกระบี่ไม้ไหวออกมาช้าๆ เอากระบี่มาวางพาดขวางไว้ตรงหน้าอกเลียนแบบผู้เฒ่า เหมือนกระบี่ยังอยู่ในฝัก จะเอาออกแต่ไม่เอาออก

ไม่รู้ว่าทำไม เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองเลียนแบบจากต้นฉบับ ต่อให้ฝึกเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็ยังทำได้ไม่เหมือน อย่าว่าแต่เหมือนจากความรู้สึกเลย แค่เหมือนจากภายนอกก็ยังยาก

นี่ไม่ค่อยเหมือนกับในปีนั้นที่เขามองดูแม่นางหนิงฝึกเดินนิ่งหกก้าว

ที่แท้การออกกระบี่ก็ไม่เหมือนกับการฝึกหมัด

เฉินผิงอันถอนหายใจ ได้แต่เก็บกระบี่ไม้ไหวที่ติดตามตนออกเดินทางในยุทธภพมาแล้วสองครั้งกลับลงไปอีกครั้ง

มีคนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา “เฉินผิงอัน กระบี่ไม้ไหวของเจ้าเบาเกินไป ดังนั้นไม่ว่าพยายามทำอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ยกหนักเหมือนเบาคือขอบเขตที่สูงมากของวิถีกระบี่ เจ้าเพิ่งจะเริ่มเรียน แถมยังไม่ใช่คนที่พรสวรรค์เลิศล้ำด้านการฝึกกระบี่ ย่อมรู้สึกว่าจะทำแบบไหนก็ผิดไปซะหมด ไม่พูดถึงเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุด เอาแค่ขั้นเริ่มต้นพื้นฐาน หากเป็นเรื่องของการฝึกหมัด แค่มีอาจารย์ที่พอจะมีชื่อเสียงช่วยนำทางให้ก็พอแล้ว แต่การฝึกกระบี่จำเป็นต้องมีพระวิสุทธิ์อาจารย์นำทางให้ถึงจะได้ อันที่จริงเจ้าควรจะสอบถามความรู้ด้านวิถีกระบี่จากซ่งอวี่เซาผู้นั้นด้วยความจริงใจ วิถีวรยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่สูง แต่เขาได้เดินไปบนวิถีกระบี่ของตัวเองแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง

คำพูดที่เปิดเผยข้อเท็จจริงออกมาหมดเปลือกนี้ ไม่ได้ออกมาจากปากของชายฉกรรจ์เคราดก แล้วก็ไม่ได้ออกมาจากปากของจางซานเฟิงที่สามารถบังคับกระบี่ไม้ท้อให้บินฉวัดเฉวียนได้ กลับเป็นคำพูดจากหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับยุทธภพมากที่สุด ตอนที่พูดประโยคนี้ หลิ่วชื่อเฉิงยืนอยู่ข้างกองไฟที่ลุกโชติช่วงเพราะกิ่งไม้แห้งจำนวนมากถูกเพิ่มเข้าไป เปลวเพลิงสาดสะท้อนให้เรือนกายที่สูงเพรียวของเขาส่ายไหวไปตามแสงไฟ

จางซานเฟิงกำลังขอคำแนะนำเรื่องวิชาการสกัดจุดในยุทธภพจากสวีหย่วนเสีย หนึ่งคนถามหนึ่งคนตอบ ตั้งใจคุยกันอย่างมาก จึงไม่มีใครสนใจคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิง

หรือควรจะพูดอีกอย่างว่า คนทั้งสองไม่มีใครได้ยินคำพูดของหลิ่วชื่อเฉิง

เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ หลิ่วชื่อเฉิงไม่ได้ขยับปากเลยสักครั้ง แต่เฉินผิงอันกลับได้ยินเสียงของหลิ่วชื่อเฉิงจริงๆ

เฉินผิงอันถามคำถามที่ประหลาดมาก “เป็นเจ้า? ตอนที่อยู่เมืองแยนจือ ข้าได้ยินเจ้าเมืองหลิวพูดว่า อันที่จริงเจ้าคือเทพเซียนขอบเขตโอสถทอง เพราะเคยแสดงวิชาอภินิหารครั้งหนึ่งตอนอยู่นอกเมือง”

หลิ่วชื่อเฉิงโบกมือ ค่อยๆ อ้อมผ่านกองไฟ เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะว่า “เอาล่ะ พวกเราสองคนอย่ามัววางอุบายหลอกล่อกันเองอยู่เลย เจ้ารู้แล้วว่าข้าคือปีศาจใหญ่ ข้าเองก็รู้ว่ากระบี่ที่เจ้าสะพายอยู่ด้านหลังมีภูมิหลังไม่ธรรมดา หาไม่แล้วเมื่อครู่นี้มันก็คงไม่มีทางสะกดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ หลังจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของข้าจึงสั่นสะเทือนส่งเสียงร้องขึ้นมาเอง แม้ว่าเจ้าจะสยบความเคลื่อนไหวของมันได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้าก็ไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด ดังนั้นตอนนี้เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่า เป็นเทพเซียนฝ่ายใดที่สร้างกระบี่เล่มนี้? เจ้าจะเอาไปส่งที่ภูเขาห้อยหัว เอาไปส่งให้ใคร?”

เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าคิดจะแย่งกระบี่?”

‘หลิวชื่อเฉิง’ ยิ้มตาหยีคล้ายได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก เขาเอาสองมือไพล่หลัง ส่ายหน้ายิ้ม “เป็นกระบี่ดีก็จริง แต่ข้าไม่สนใจ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อคำพูดประเภทนี้ ไม่เป็นไร ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้ามากนัก เจ้าแค่รอดูเรื่องที่ข้าจะทำก็พอ ใช่แล้ว เจ้าเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่ที่บอกว่า ของดีบนโลกไม่ทนทาน เมฆหลากสีสลายง่ายดั่งแก้วเปราะบาง?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เคยอ่านจากบทกลอนในตำรา”

หลิ่วชื่อเฉิงโบกมือหนึ่งครั้ง ไอน้ำก็ผุดขมุกขมัว เมฆหมอกล้อมวนไปตกลงตรงกองไฟ เมื่อคนที่อยู่ตรงนั้นมองมาทางนี้จะไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ จะเห็นเพียงว่า ‘หลิวชื่อเฉิง’ กำลังพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างสนุกสนาน แต่ในความเป็นจริงแล้วภาพของปัญญาชนยากจนจากแคว้นไป๋สุ่ยที่สวมชุดเต๋าสีชมพูยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนี้กลับแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด

หลิ่วชื่อเฉิงกล่าวต่อว่า “‘เมฆหลากสีสลายง่าย’ พูดถึงชั้นเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวที่ก้อนเมฆหลากสีสันมารวมตัวกันและแยกสลายออกจากกันประหนึ่งกลุ่มควันที่ล่องลอย เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามตระการตา”

“‘แก้วเปราะบาง’ นั้นพูดถึงเรื่องในอดีตของปีศาจใหญ่แห่งระบบลัทธิมารซึ่งมีชาติกำเนิดจากในนครจักรพรรดิขาวคนหนึ่ง เรื่องนั้นก็เหมือนกับความขัดแย้งในคืนนี้ เขาเองก็ทำเพื่อปีศาจน้อยที่มองดูเหมือนไม่มีความสำคัญ ยอมทะเลาะกับศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเอง ศิษย์พี่ใหญ่ทำเพื่อแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้า ข้าทำเพื่ออารมณ์และเหตุผลเล็กๆ นับแต่นั้นมาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็แตกหัก ตอนนี้เมื่อย้อนกลับไปมองดูก็ช่างน่าขันจริงๆ เหมือนเด็กสองคนที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง สรุปก็คือด้วยความโมโห ข้าเลยทุบทำลายหอหลิวหลี (แก้วหลากสี) ทั้งหลังที่อยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว สุดท้ายหลงเหลือเพียงถ้วยหลิวหลีเล็กๆ ไม่กี่ใบ นับแต่นั้นมาข้าก็ออกจากนครจักรพรรดิขาว ท่องเที่ยวไปทั่วทุกสารทิศ เมื่อไม่มีสำนักคอยปกป้อง สุดท้ายจึงถูกนักพรตพิทักษ์ความเป็นธรรมซึ่งเป็นผู้นำของฝ่ายธรรมะไล่ฆ่าเป็นระยะทางไกลนับพันนับหมื่นลี้ สุดท้ายถูกจับขังเข้าคุกใหญ่ กดกำราบเอาไว้นานนับพันปี และตั้งแต่ต้นจนจบ ศิษย์พี่ใหญ่ท่านนั้นของข้าก็เอาแต่นิ่งดูดาย”

เฉินผิงอันขมวดคิ้วถาม “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม?”

หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มบางๆ สะบัดชายแขนเสื้อกว้างของเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีชมพู ยกมือทั้งสองข้างทับซ้อนกันบนหน้าท้อง ท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “เพราะช่วงนี้ข้ามีความคิดอยากจะรับลูกศิษย์ รู้สึกว่าเจ้าเฉินผิงอันไม่เลวเลยทีเดียว ข้าสามารถถ่ายทอดวิชากระบี่อันดับสูงสุดในโลกให้แก่เจ้า แม้ว่าข้าจะมีชาติกำเนิดจากเผ่าปีศาจของใต้หล้าไพศาล แต่เมื่อเทียบกับศิษย์พี่ของข้าที่เป็นผู้นำลัทธิมารแล้วกลับเหมือนเทพเซียนยิ่งกว่าเทพเซียน ต่อให้เป็นยอดฝีมือตระกูลเซียนดั้งเดิมหลายคนก็ยังเต็มใจที่จะก้มลงกราบกรานศิษย์พี่ของข้า ดังนั้นวิชากระบี่ที่ข้าจะสอนให้เจ้าจึงมากพอที่จะช่วยให้เจ้าเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของมหามรรคาแห่งวิถีกระบี่ดั้งเดิมที่ถูกต้อง เมื่อโชควาสนามาถึง เจ้าก็จะมีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ต้องรู้ว่าคำว่า ‘ดั้งเดิม’ นี้ ไม่ใช่คำที่จะเอามาใช้กันส่งเดชได้ คนอย่างซ่งอวี่เซาที่ถึงแม้จะคลำเจอปณิธานที่แท้จริงของวิถีกระบี่ตัวเอง แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่พรสวรรค์มีจำกัดแบบเขา ต่อให้วรยุทธ์จะสูงแค่ไหน อย่างมากสุดก็ได้แค่ช่วยให้เจ้าเลื่อนสู่ตำแหน่งของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางเท่านั้น เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าไง? เจ้ายินดีจะใช้สถานะของลูกศิษย์มาติดตามข้าผู้อาวุโสฝึกตนบนมหามรรคาหรือไม่?”

เฉินผิงอันถามกลับ “เป็นมารรึ?”

หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มบางๆ ตอบว่า “ในสายตาของข้า มหามรรคาคดเคี้ยวเดินได้ยากลำบาก มีเพียงคนที่ยืนหยัดไม่ยอมแพ้เท่านั้นถึงจะสามารถเดินไปได้ถึงท้ายที่สุด หรือถึงขั้นมีความหวังว่าจะเดินไปได้สูงกว่าและไกลกว่าพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเลิศล้ำ เจ้าเฉินผิงอันคือคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกับข้า ตอนนี้ข้าช่วยเจ้ารับศิษย์พี่ใหญ่ไว้คนหนึ่งแล้ว วางใจเถอะ เจ้าคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า มากสุดคือหนึ่งร้อยปี รับรองว่าพวกเราสามอาจารย์และศิษย์จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า เมื่อหวนกลับนครจักรพรรดิขาวอีกครั้งจะต้องมีที่ให้พวกเราได้หยัดยืนอย่างแน่นอน”

หลิ่วชื่อเฉิงจ้องนิ่งไปที่ดวงตาของเฉินผิงอัน แล้วคลี่ยิ้ม “สำนักที่ข้ากับศิษย์พี่อยู่ด้วยกันตอนนั้นน่าสนใจอย่างมาก ศิษย์พี่ใหญ่คือคน แต่ฝึกวิชาของลัทธิมาร ข้าเป็นปีศาจ แต่ฝึกวิชาอภินิหารของมนุษย์ อาจารย์ของพวกเราตั้งเจตจำนงของสำนักเอาไว้เพียงสี่คำว่า การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น ข้อนี้คล้ายคลึงกับลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงผู้นั้นมาก นอกจากนครจักรพรรดิขาวแล้ว ลัทธิมารใต้หล้ายังมีระบบใหญ่อีกมากมาย แต่ละฝ่ายมีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่จนน่าตกตะลึง ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องถักทอกัน ต่อให้เป็นตระกูลเซียนดั้งเดิมที่ใช้คำว่าสำนักก็ยังต้องหลบเลี่ยงประกายแหลมคม ดังนั้นขอแค่หมัดของเจ้าแข็งพอ ขอบเขตสูงมากพอ ไม่ว่าจะธรรมะหรืออธรรมก็ล้วนเป็นเพียงเรื่องน่าขัน ไม่มีความสำคัญเลยสักนิด”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “จะรับเจ้าเป็นอาจารย์หรือไม่ ข้าต้องถามก่อนถึงจะได้”

เหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผากนานแล้ว แต่เด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ในเวลานี้กลับมีสีหน้าเป็นปกติ ไม่มีความหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย

“อ้อ?”

ดวงตาของหลิ่วชื่อเฉิงเป็นประกายเจิดจ้า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมีอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาที่ไม่ธรรมดา ไม่เป็นไร ไหนลองว่ามาสิ หากสุดท้ายเจ้าพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แล้วเลือกกิ่งไม้ที่ดีกว่าเพื่อพักนอน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ข้าเองก็จะไม่บังคับฝืนใจ และยิ่งไม่พูดจาข่มขู่เจ้า ขอแค่อาจารย์ของเจ้ามีฝีมือสูงกว่าข้า ข้าก็จะไม่ดึงดันในวาสนาของอาจารย์และศิษย์ครั้งนี้อีกต่อไป”

เหวินเซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่าเดินทางออกจากแจกันสมบัติทวีปตามที่คาดการณ์ไว้นานแล้ว เฉินผิงอันจะไปตามหาเขาจากที่ไหน?

ส่วนอาจารย์ฉีก็จากโลกนี้ไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีอีกเช่นกัน

แต่ที่แน่ๆ เลยก็คือเฉินผิงอันไม่เต็มใจจะติดตามคนผู้นี้ฝึกมหามรรคาค้ำฟ้าอะไรทั้งนั้น

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลองเดิมพันดูสักตั้ง

จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว

หากไม่ได้จริงๆ อย่างมากก็แค่ลองสู้สุดชีวิตดูสักครั้ง หากยังไม่ได้ก็ทำเหมือนที่อาเหลียงพูด ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีชีวิตอยู่ต่างหากที่สำคัญที่สุด รับ ‘หลิ่วชื่อเฉิง’ เป็นอาจารย์เสียก็จบเรื่อง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอากระบี่ไปส่งที่ภูเขาห้อยหัว ส่งมันให้ถึงมือแม่นางหนิงก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง!

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมครั้งแรกที่เฉินผิงอันพาพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไกลไปส่งถึงต้าสุย รวมไปถึงติดตามเด็กหนุ่มชุยฉานกลับแคว้นหวงถิง ทุกครั้งที่เขาไปยืนอยู่บนยอดเขาสูงหรือริมแม่น้ำ จะต้องฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่ง อีกทั้งต่อให้ฝึกเสร็จแล้วก็ยังยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน

ต่อให้ครั้งนี้จะเดินทางท่องยุทธภพเพียงลำพัง อย่างเช่นคราวก่อนที่มองส่งหลิวเกาซินออกเดินทางไกลแล้ว เฉินผิงอันก็ยังนั่งอยู่บนหลังคา ดื่มเหล้า พึมพำกับตัวเองท่ามกลางสายลมช่วงสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิ

นั่นก็เพราะในช่วงเวลาที่ไม่มีใครสนใจจะครุ่นคิดให้ลึกซึ้งเหล่านั้น กลับมีสายลมวสันต์ล้อมวนเวียนอยู่ตรงชายแขนเสื้อของเขา

ส่วนลึกในหัวใจของเฉินผิงอันรู้ว่าคนผู้นั้นจากโลกนี้ไปแล้ว แต่คนผู้นั้นก็เคยกล่าวไว้ว่า

หากพบเจอเรื่องใดที่ตัดสินใจไม่ได้ สามารถสอบถามสายลมฤดูใบไม้ผลิ

จากนั้นหลิ่วชื่อเฉิงที่รู้สึกสนุกก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เพราะเขาเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็สะบัดข้อมือ ยกชายแขนเสื้อขึ้นเหมือนที่เขาทำก่อนหน้านี้

แต่ไม่นานหลิ่วชื่อเฉิงก็หัวเราะไม่ออก

เพราะระหว่างมือสองข้างของเด็กหนุ่มที่ชูขึ้นสูงมีลมวสันต์ระลอกแล้วระลอกเล่าล้อมวนชายแขนเสื้อทั้งสองของเขาอย่างเริงร่า คล้ายเจียวหลงสีเขียวหลายตัวที่ว่ายวนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ

เฉินผิงอันถามเบาๆ “อาจารย์ฉี?”

หัวใจของหลิ่วชื่อเฉิงสั่นสะท้านรุนแรง นาทีนี้เหมือนเขาได้เผชิญหน้ากับจางเทียนซือที่มือหนึ่งถือกระบี่เซียน อีกมือหนึ่งประคองตราประทับแห่งกฎเกณฑ์ในศึกใหญ่เมื่อหนึ่งพันปีก่อนอีกครั้ง!

น้ำเสียงนุ่มทุ้มอบอุ่นดังขึ้นข้างกายเฉินผิงอัน “ข้าอยู่นี่”

—–