บทที่ 291 เซน (1)
สถานะของสวี่ชีอันราวกับน้ำเย็นที่ไหลเข้าสู่หัวใจของทุกคน ทำให้บรรยากาศที่พุ่งขึ้นสงบลงและทำให้เสียงเชียร์ค่อยๆ หายไป
“ภิกษุน้อยตรงไหล่เขาคนนั้น ก็คือภิกษุน้อยที่นั่งอยู่บนสังเวียนกล้าหาญแห่งหนานเฉิงเป็นเวลาห้าวัน”
“ว่ากันว่าระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธนั้นไร้พ่ายจริงๆ ในเวลาห้าวัน วีรบุรุษมากมายขึ้นสังเวียนไปเพื่อท้าทายเขา แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายร่างทองของเขาได้”
เวลานี้ ประชาชนในเมืองหลวงกับคนในยุทธภพจากภายนอกต่างก็นึกถึงความหวาดกลัวที่ถูกร่างกายระดับเพชรของจิ้งซือครอบงำ
นึกถึงความร้ายกาจของภิกษุรูปงามรูปนี้
หลังจากประชาชนบางส่วนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในหนานเฉิงและไม่ค่อยรู้เรื่องนี้สอบถาม ปฏิกิริยาก็รุนแรงขึ้นทันที
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ พวกเจ้าอย่าไปฟังข่าวลือ ข่าวลือในตลาดชอบพูดเกินจริงและไม่น่าเชื่อถือ”
“ไม่ได้พูดเกินจริงเลย ข้ายังรู้อีกว่าเมื่อหลายวันก่อน มีนักดาบที่เก่งกาจมากคนหนึ่งลงมือ ว่ากันว่าเขาเรียกก้อนหินออกมาเป็นดาบ ซึ่งค่อนข้างโดดเด่นทีเดียว แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับภิกษุน้อยรูปนี้”
“ศาสนาพุทธแข็งแกร่งเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คนของพวกเราดูปากกัดตีนถีบและยากลำบากแสนเข็ญ”
ประชาชนในเมืองหลวงต่างพากันท้อแท้
ตั้งแต่การต่อสู้และการพูดคุยบนสังเวียนของจิ้งซือกับจิ้งเฉิน จนถึงการมาเยือนของธรรมลักษณะเมื่อคืนนี้ สำนักพุทธก็ทำให้ประชาชนในเมืองหลวงตกตะลึงอย่างมาก ความประทับใจอันแรงกล้าได้หยั่งรากลึกลงในใจของผู้คน
…
“อาตมาจำได้ว่า เคล็ดวิชาของสวี่หนิงเยี่ยนคือ ดาบเดียวตัดฟ้าดิน เขาจะมีพลังเหลือพอฟันดาบเดียวอีกหรือ” หมายเลขหกเหิงหย่วนส่ายหน้า เขาพนมมือและถอนหายใจ
“ค่ายกลระดับเพชรขั้นที่สองคือศิลปะการต่อสู้ เขามีเพียงพลังดาบเดียว แต่กลับใช้พลังในค่ายกลทุกข์แปด”
ฉู่หยวนเจิ่นอดหัวเราะไม่ได้ “หมายเลขหก เจ้าหัวดื้อเกินไป”
เหิงหย่วนขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
ฉู่หยวนเจิ่นไม่ตอบและกล่าวต่อ “เว้นเสียว่าเขาจะสามารถฟันดาบที่สอง และทะลวงดาบที่สองของค่ายกลทุกข์แปดได้ มิเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจฟันร่างทองของจิ้งซือได้”
…
ภายในซุ้มไม้ เวลานี้หลายคนกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
“หากพลังไม่เพียงพอก็สามารถพักผ่อนได้ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเวลา ขอเพียงสวี่ชีอันสามารถฟันดาบที่อานุภาพไม่อ่อนแอไปกว่าตอนนี้ได้ การทำลายค่ายกลระดับเพชรก็ไม่ใช่ปัญหา”
เมื่อขุนนางคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นของตัวเองจบ เขาก็ดึงดูดการโต้แย้งของผู้อื่นเข้าหาทันที
คนที่โต้แย้งเหวยไห่ป๋อก็เป็นขุนนางเช่นกันและระดับการฝึกก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน “ดาบเมื่อครู่นี้ เหวยไห่ป๋อคิดว่าเพียงแค่ทหารระดับเจ็ดคนหนึ่งจะสามารถฟันออกมาได้หรือ”
เหล่าขุนนางระดับสูงที่อยู่รอบๆ ฟังทั้งสองคนโต้เถียงกันอย่างตั้งใจ
ยายตัวร้ายโบกมือพร้อมเอ่ยด้วยเสียงคมชัด “เหวยไห่ป๋อ ผิงติ้งป๋อ พวกท่านทั้งสองชี้แจ้งให้กระจ่างหน่อย เจ้าสุนัข…สวี่ชีอันคนนั้นมั่นใจเพียงใดว่าจะทำลายค่ายกลระดับเพชรได้”
ผิงติ้งป๋อเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบต้นๆ อยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต รูปร่างกำยำ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยพลัง เมื่อได้ยินคำถามขององค์หญิงรอง เขาก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับ
“องค์หญิง ในความคิดของกระหม่อม สวี่ชีอันคนนั้นไม่มีโอกาสชนะเลยขอรับ”
ยายตัวร้ายขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”
ผิงติ้งป๋อถอนหายใจ “สวี่ชีอันเป็นเพียงทหารระดับเจ็ด ส่วนร่างทองของภิกษุจิ้งซือ แม้แต่ฉู่หยวนเจิ่นก็ไม่อาจทำลายได้ นับประสาอะไรกับเขา”
ขุนนางบุ๋นคนหนึ่งขมวดคิ้วและพูดว่า “ผิงติ้งป๋อไม่รู้หรือ แม้ว่าสวี่ชีอันจะอยู่ระดับเจ็ด แต่เขาก็แข็งแกร่งมาก มีบันทึกว่าเขาฟันทหารระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงระดับหกขาดถึงสองครั้ง”
ผิงติ้งป๋อส่ายหน้า “ระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธจะหยิบยกมาเทียบกับระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงของทหารได้อย่างไร มิหนำซ้ำ ภิกษุน้อยรูปนี้ประจำอยู่ที่หนานเฉิงมาห้าวันแล้ว หากสวี่ชีอันเอาชนะได้ เขาก็คงจะลงมือไปนานแล้ว เหตุใดจึงอดทนรอมาจนถึงบัดนี้”
ขุนนางบุ๋นที่เอ่ยขึ้นพยักหน้า ผิงติ้งป๋อเป็นขุนนางที่เข้าร่วมสงครามซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อน สายตาของเขาไม่มีพลาด ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ เช่นนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นความจริง
ยายตัวร้ายครุ่นคิดอยู่นาน หลังจากคิดคำโต้แย้งไม่ออก นางก็ตรัสด้วยความกริ้ว “ผิงติ้งป๋อ เจ้าเยินยอผู้อื่นและทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองได้อย่างไร หากสวี่ชีอันแพ้แล้วมีผลดีอะไรกับเจ้าหรือ”
ผิงติ้งป๋อเอ่ยอย่างจนปัญญา “กระหม่อมมิได้เยินยอผู้อื่น สวี่ชีอันต่อสู้ในนามของสำนักโหราจารย์และในนามของราชสำนัก กระหม่อมก็หวังว่าเขาจะสามารถเอาชนะได้ เพียงแต่…โอกาสชนะน้อยเกินไป”
ต้องรู้ว่า ขุนนางบุ๋นกับญาติผู้หญิงส่วนใหญ่ในที่นี้ล้วนเป็นคนจากภายนอก เมื่อครู่พวกเขาเห็นสวี่ชีอันฟันค่ายกลได้ด้วยดาบเดียว ความมั่นใจจึงเพิ่มขึ้นในทันที รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้างามของแต่ละคน
แต่ตอนนี้ เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของคนในเช่นผิงติ้งป๋อ เหล่าขุนนางบุ๋นกับญาติผู้หญิงก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยราบรื่นนัก
เหวยไห่ป๋อพ่นลมหายใจและกล่าวเสียงดัง “ผิงติ้งป๋อ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสวี่ชีอันไม่สามารถฟันดาบที่สองออกมาได้”
เวลานี้ ภิกษุจิ้งเฉินที่นั่งสมาธิไม่พูดไม่จาก็เอ่ยปาก “ดาบเมื่อครู่นี้ ต้องเป็นท่านโหราจารย์ที่ให้เขายืมพลังไปอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ด้วยทหารระดับเจ็ดคนเดียว เขาจะฟันปราณดาบที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ร่างกายของทหารระดับเจ็ดมีความแข็งแกร่งที่จำกัด เขาจะสามารถทนต่อการถ่ายเทของพลังนั่นได้อย่างไร?”
ผิงติ้งป๋อส่ายหน้า นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาอยากกล่าวเช่นกัน
ซุ้มไม้ทุกแห่งเงียบลง เหล่าข้าราชบริพารก้มหน้าดื่มสุรา เหล่าญาติผู้หญิงจงใจหันหน้าหนีไม่มองภิกษุของสำนักพุทธ
ไม่มีอะไรจะพูดอีก ทว่าภายในใจก็ยังคงไม่พอใจ
“ท่านพ่อ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
คุณหนูหวางมองใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวเบาๆ “มองให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป”
เมื่อในใจเชื่อว่าสวี่ชีอันนั้นยากที่จะชนะ ในใจก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องตัวเลือกคนต่อไปแล้ว แต่หลังจากการตบหน้าเมื่อสักครู่นี้ สมุหราชเลขาธิการหวางก็ไม่อาจด่วนสรุปได้อีก
สมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่จะไม่พลาดซ้ำสอง
“แต่ข้ากลับมีความคิดหนึ่ง”
คุณหนูหวางยิ้ม นางมองไปทางภิกษุจิ้งเฉินและกล่าวเสียงดัง “ท่านไต้ซือ ค่ายกลทุกข์แปดที่ภิกษุของสำนักพุทธใช้ขัดเกลาจิตแห่งพุทธนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพลังต่อสู้ ต่อให้เป็นทหารระดับสูงก็ยากจะทำลายค่ายกลลงได้ง่ายๆ ถูกต้องหรือไม่”
ภิกษุจิ้งเฉินพยักหน้า “แทนที่จะให้ทหารระดับสูงเข้าสู่ค่ายกล สู้หาเด็กหนุ่มสักคนหนึ่งจะดีกว่า”
คุณหนูหวางกล่าวด้วยท่าทางงดงาม “เมื่อสักครู่นี้ไต้ซือตู้เอ้อร์บอกว่า ต้าฟ่งมีโอกาสสามครั้ง ถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้อง”
ใบหน้าอันงดงามและอ่อนโยนของคุณหนูหวางเผยรอยยิ้มสดใสออกมา “ตอนนี้ค่ายกลทุกข์แปดถูกทำลายแล้ว แม้ว่าสวี่ชีอันจะหมดเรี่ยวแรงและไม่อาจผ่านค่ายกลระดับเพชรได้ เช่นนั้นราชสำนักก็ส่งทหารระดับสูงมาทำลายค่ายกล ภิกษุระดับเพชรตรงไหล่เขารูปนั้นจะขัดขวางได้หรือไม่”
ภิกษุจิ้งเฉินชะงัก จากนั้นก็ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย พวกเขารู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันที ความคิดต่างๆ แปรผัน
ส่วนเหตุใดท่านโหราจารย์ถึงเลือกฆ้องเงินระดับเจ็ดไปต่อสู้นั้น ไม่มีใครรู้เหตุผลและต่างสงสัยกับตัวเอง ตอนนี้สวี่ชีอันทำลายค่ายกลทุกข์แปดไปแล้ว คุณหนูหวางก็ชี้ให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียอีก
ความคิดของทุกคนเปิดออกทันที
“ที่แท้สวี่ชีอันก็เป็นลูกไล่ เช่นนั้นเขาสามารถออกมาได้ใช่หรือไม่ เปลี่ยนให้ทหารระดับสูงไปทำลายค่ายกล”
“อืม หากพูดถึงทหารระดับสูง ที่เมืองหลวงมีมากมาย ข้าคิดว่าพวกเขาสามารถทำลายร่างทองของสำนักพุทธได้”
“หากพูดถึงทหาร อ๋องสยบแดนเหนือของพวกเราเป็นคนแรกในต้าฟ่งที่คู่ควรอย่างยิ่ง”
หัวข้อค่อยๆ เปลี่ยนไปที่อ๋องสยบแดนเหนือ
คุณหนูหวางจงใจแสดงตัวเพื่อดึงดูดความสนใจ นางเหลือบมองไปทางเขตที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตั้งอยู่อย่างไม่ตั้งใจ เมื่อเห็นว่าสวี่ซินเหนียนกำลังมองนางเช่นกัน ในใจก็ปลื้มปีติ
ก่อนที่ทั้งสองคนจะสบตากัน คุณหนูหวางก็ละสายตาไปอย่างสงบเยือกเย็น
“คนที่พูดเมื่อสักครู่นี้เป็นญาติผู้หญิงของตระกูลสมุหราชเลขาธิการหวางหรือ ดูเหมือนนางจะเป็นบุตรสาวของเขา…” สวี่ซินเหนียนถอนสายตากลับอย่างรังเกียจ ความประทับใจที่เขามีต่อตระกูลหวางนั้นแย่มาก
เพราะพรรคหวางกับพรรคเว่ยเป็นศัตรูทางการเมืองต่อกัน พรรคหวางจึงข่มเหงพี่ใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สวี่ซินเหนียนเก็บเรื่องเหล่านี้ไว้ในใจทั้งหมด
เขามองว่าพรรคหวางเป็นศัตรูสมมติของตัวเองในอนาคตนานแล้ว
“อ๋องสยบแดนเหนือถูกยกย่องว่าเป็นทหารที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมาของต้าฟ่ง น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่ในเมืองหลวง มิเช่นนั้นลาหัวโล้นกลุ่มนี้คงไม่ได้หยิ่งผยอง”
สวี่ซินเหนียนได้ยินหญิงสาวที่อยู่ข้างเขาเอ่ยปากแสดงความคิดเห็น
“หญิงสาวคนนี้รู้ไม่น้อย ความเข้าใจนี้ ไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวในครอบครัวธรรมดาจะเทียบได้ ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ไปรู้จักหญิงสาวที่แต่งงานแล้วเช่นนี้จากที่ไหน” สวี่ซินเหนียนพึมพำเบาๆ
“พี่ใหญ่ของข้าก็เป็นอัจฉริยะด้านการฝึกวรยุทธ์เช่นกัน” สวี่หลิงเยวี่ยกล่าว
หญิงสาวยิ้มและไม่ได้โต้เถียง
แต่สวี่หลิงเยวี่ยฟังความหมายที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้นออก มันคือความคร้านจะโต้เถียง เหมือนกับคนที่ถือความจริงไว้ในมือและดูแคลนการโต้เถียงกับคนที่โต้แย้งโดยไร้เหตุผล
…
ฝอซาน
สวี่ชีอันพักผ่อนครู่หนึ่งและก้าวขึ้นบันไดต่อไป ระหว่างทางเขาไม่พบด่านใดอีกจึงตรงไปที่ภิกษุจิ้งซือ
ในเวลานี้ จิ้งซือเปล่งแสงสีทองจางๆ ออกมา ทั่วทั้งร่างราวกับหล่อด้วยทองคำ
น่าอิจฉา หากข้าได้เรียนรู้กระบวนเวทเทพแบบนี้ ทั่วทั้งร่างก็คงเป็นสีทองอร่ามเจิดจ้า…คำคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของสวี่ชีอันโดยอัตโนมัติ ‘หอกทองคำจะไม่ล้ม!’
“ไต้ซือจิ้งซือ!”
สวี่ชีอันหยุดฝีเท้า เขานั่งลงใต้แท่นบันไดและพูดว่า “ข้าขอพักสักครู่ได้หรือไม่”
ภิกษุน้อยจิ้งซือนั่งขัดสมาธิและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ประสกอย่าลังเลที่จะปรับลมหายใจ”
สวี่ชีอันเลิกคิ้ว “ท่านไม่กลัวข้าใช้ดาบฟันอีกหรือ”
ภิกษุจิ้งซือยิ้ม “เวลานี้เส้นลมปราณของประสกกำลังร้อนรุ่ม ประสกยังสามารถแบกรับพลังเมื่อครู่นี้ไว้ได้อีกหรือไม่”
“ปัญหาไม่ใช่ว่าแบกรับได้หรือไม่ เพียงแต่ทักษะนี้ต้องทำให้เย็นลงก็เท่านั้น” สวี่ชีอันยิ้มมุมปาก
ร่างกายก็เปรียบเหมือนภาชนะ เพราะแบกรับพลังจากภายนอกเกินขีดจำกัด ตอนนี้จึงเข้าสู่สภาวะไร้ความปรารถนา แต่นี่ก็เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือ ตอนนี้เขาไม่สามารถดึงพลังแห่งสรรพชีวิตได้อีกแล้ว
เหมือนกับที่หนึ่งวันเขาเก็บเงินได้เพียงหนึ่งครั้งและต้องรอวันพรุ่งนี้ถึงจะเก็บทองต่อได้ ดังนั้นถึงบอกว่าทักษะนี้ต้องทำให้เย็นลง
ใช้เคล็ดลับของหมายเลขสี่เพื่อดึงพลังแห่งสรรพชีวิต…เคล็ดลับควรจะเป็นเพียงวิธีการหนึ่งเท่านั้น แก่นของปัญหาอยู่ที่ตัวข้า ข้าสามารถดึงพลังแห่งสรรพชีวิตได้…ข้าสงสัยว่านี่เป็นเวอร์ชันอัปเกรดของความโชคดีแปลกประหลาดของข้า…เห็นได้ชัดว่าไต้ซือเสินซูรู้ความสามารถนี้ของข้า เช่นนั้นท่านโหราจารย์ก็ย่อมรู้เช่นกัน…ข้าจำได้ว่าไต้ซือเสินซูเคยบอกว่า เขากับข้าเป็นคนประเภทเดียวกัน เขาถึงขั้นเป็นกาฝากภายในร่างกายของข้าก็ด้วยเหตุผลนี้…นี่แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!
สวี่ชีอันลอบครุ่นคิด
“ไต้ซือออกบวชตั้งแต่ยังเยาว์ใช่หรือไม่” สวี่ชีอันพูดคุยด้วย
ภิกษุจิ้งซือพยักหน้า
“ที่ไต้ซือฝึกคือเซนหรือศิลปะการต่อสู้”
“บำเพ็ญคู่ระหว่างเซนกับศิลปะการต่อสู้” จิ้งซือตอบ
ยังมีการบำเพ็ญคู่ระหว่างเซนกับศิลปะการต่อสู้อีกหรือ พรสวรรค์ของภิกษุน้อยรูปนี้ช่างน่าทึ่ง…สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดว่า “ข้าได้ยินว่า สำนักพุทธพิถีพิถันเรื่องการเข้าสู่โลกก่อนแล้วค่อยออกบวช ไต้ซือออกบวชตั้งแต่เด็ก แม้แต่ครอบครัวก็ไม่มีแล้วออกบวชได้อย่างไรหรือ”
ภิกษุจิ้งซือฟังออกว่าสวี่ชีอันต้องการแยกพระธรรมออกจากตัวเอง เขาจึงพูดอย่างไม่เกรงกลัว “การออกบวชหมายถึงการขจัดปัญหายุ่งเหยิง ละทางโลกและเข้าสู่ทางธรรม ประสกไม่ต้องเอาจริงเอาจังกับการตีความตามตัวอักษรมากเกินไป อาตมาปฏิบัติพระธรรมตั้งแต่ยังเด็ก ท่องไปยังแดนประจิม สัมผัสความทุกข์ยากทั่วทุกมุมโลกและสัมผัสความทุกข์ทั้งแปดของชีวิต”
สัมผัสความทุกข์ทั้งแปดของชีวิตบ้าบออะไร คนที่ไม่เคยประสบแม้แต่สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์กับสินสอดราคาสูงเสียดฟ้าเช่นเจ้า กล้าพูดต่อหน้าข้าว่าสัมผัสความทุกข์ทั้งแปดของชีวิตหรือ
สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจ
“ไต้ซือรู้สึกอย่างไรกับสตรีเพศ” สวี่ชีอันถาม
“มีดเฉือนกระดูก!” ภิกษุจิ้งซือประเมินอย่างกระชับและครอบคลุม
“ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเช่นนั้น ไต้ซือไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวสตรีเพศเลยแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสตรีเพศไม่ใช่สิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก”
บทสนทนาของทั้งสองคน ผู้ที่ล้อมวงชมฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
“ไม่ใช่ค่ายกลระดับเพชรหรือ เหตุใดถึงเริ่มพูดคุยเรื่องพระธรรม”
“พูดเรื่องพระธรรมที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่ากำลังพูดเรื่องสตรีเพศ แต่คำพูดของใต้เท้าท่านนี้ราวกับไข่มุก พูดไปถึงก้นบึ้งหัวใจของข้าเลย”
เหล่าผู้ชายเผยรอยยิ้ม ‘ฮิฮิฮิ’ ออกมาอย่างพร้อมเพรียง
แต่ผู้หญิงกลับหน้าแดงและลอบกลืน ‘น้ำลาย’
“ไอหยา เจ้าสุนัขรับใช้พูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร” ยายตัวร้ายหน้าแดงและก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ไม่จริงจังขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” สวี่หลิงเยวี่ยกระทืบเท้า
อาสะใภ้ไม่พูดไม่จาและรู้สึกอายเล็กน้อย
อารองสวี่ทั้งเขินอายและอับอาย เด็กคนนี้พูดจาไร้สาระอะไร ที่นี่มีขุนนางระดับสูงมารวมตัวกันและยังมีประชาชนอีกนับหมื่นนับพันคนมาล้อมวงชม คำพูดที่ไร้ซึ่งความสง่างามเช่นนี้ไม่ต้องพ่นออกมา
…
“อาตมาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องสตรีเพศจริง แต่สตรีเพศนั้นดุร้ายราวกับเสือ นี่เป็นเรื่องที่ภิกษุชั้นสูงเล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ประสกอย่าได้โต้แย้งโดยไม่มีเหตุผลเลย” จิ้งซือไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
“กล่าวกันว่า ไม่เข้าถ้ำเสือ มีหรือจะได้ลูกเสือ” สวี่ชีอันโต้กลับ
จิ้งซือตกตะลึง “ประสกพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
สวี่ชีอันไม่พูดไม่จา
“ไม่เข้าถ้ำเสือ มีหรือจะได้ลูกเสือ…นี่เกี่ยวอะไรกับความงาม”
“บางทีในนั้นอาจจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งอยู่ เพียงแต่พวกเราไม่อาจคลี่คลายได้กระมัง”
เกิดความสงสัยขึ้นภายในจิตใจของผู้คนที่อยู่ข้างนอก
…………………………………………………