ตอนที่ 262 คุณสมบัติของแม่ทัพ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 262 คุณสมบัติของแม่ทัพ

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หน้าแดง หรือใจเต้นรัว เขาเอ่ยออกมาอย่างหน้าตาเฉย

“ข้าจริงจังยิ่งนัก มิใช่เพียงต้องการยกยอท่านแม่ทัพใหญ่ แต่อาหารบนโต๊ะทั้งหมดนี้ข้ารู้สึกเหมือนได้ทานอาหารอยู่ที่จวน คนอื่น ๆ อาจจะคิดว่าอาหารอันโอชะคืออาหารที่สีสันสดใสหอมกรุ่น แต่สำหรับข้านั้น ข้าได้ชิมถึงจิตวิญญาณที่สะท้อนออกมาจากอาหารนี้ ท่านฮูหยินหยูตั้งใจทำออกมาได้เลิศรสเพียงนี้ เสี่ยวกวนขอดื่มให้แก่ท่านฮูหยินหยู 1 จอก ! ”

เผิงยวี๋เยี่ยนหัวร่อชอบใจ นางรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้น่าสนใจยิ่ง

ดังนั้นทั้งสองจึงได้ชนแก้วแล้วดื่มสุราจนหมดจอก

งานเลี้ยงเล็ก ๆ ดำเนินไปท่ามกลางเสียงขบขัน ทั้งสองฝ่ายจากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จักและจากคนรู้จักกลายเป็นคนสนิทในที่สุด

บัดนี้แม้แต่หยูชุนชิวก็ได้ลืมจดหมายทั้งสองฉบับที่องค์ชายสี่ส่งมาให้เขาเสียแล้ว

เมื่อดื่มสุรากันพอประมาณแล้ว ทุกคนก็นั่งดื่มชากันต่อ

และพูดคุยถามไถ่ไปตามประสา เผิงยวี๋เยี่ยนเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาว่า “เมื่อปีกลายเจ้าได้ร่างนโยบายการทำสงครามขึ้นที่เมืองหลวง ข้าและสามีได้วิเคราะห์อยู่เนิ่นนานเสียทีเดียว แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีบางส่วนมิเข้าใจ ขอใช้โอกาสนี้เอ่ยถามให้กระจ่าง พวกเราจะสามารถฝึกฝนทหารผู้มีความสามารถได้เยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาคิดว่านี่คงเป็นการลองภูมิเขาเป็นแน่ ดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มแล้วตอบว่า “วิธีการฝึกทหารมีมากมาย ข้าจำได้ว่าเคยเขียนไว้ที่นโยบายนั้น ภูมิประเทศที่นี่ข้าลองดูคร่าว ๆ แล้ว คำแนะนำของข้าคือให้คัดเลือกทหารมา 20,000 นาย แล้วทำการฝึกฝนภาคพื้นบนภูเขา”

“ข้ามิแน่ใจว่าหากมีศัตรูโจมตีเข้ามานั้นจำเป็นจะต้องผ่านทางเดินภูเขาฉีซานหรือไม่ แต่ในเมื่อภูเขาฉีซานคือเกราะกำบัง พวกเขาก็จะต้องปีนข้ามมา ภูเขาฉีซานในฐานะสนามรบหลักจึงได้เปรียบกว่าพื้นที่ราบเช่นนี้แน่นอน การฝึกฝนนี้สามารถทำให้ทหารมีร่างกายแข็งแรงกว่าเดิม อีกทั้งยังคุ้นเคยกับเส้นทางในภูเขา พวกเขาจะต้องมีทักษะทุกประการเหมือนดั่งที่ราบ ใช้ธนูและดาบสั้นเป็นหลัก และล้มเลิกการใช้ม้าศึก”

“สงครามแต่ละคราหาแน่นอนมิได้ ดังนั้นวิธีการรับมือจึงมิอาจกำหนดไว้ล่วงหน้าได้ สามารถถล่มก้อนหินใหญ่ลงตรงที่ศัตรูผ่าน หรืออาจสร้างกับดักเอาไว้ หรือแม้กระทั่งวางเพลิง เป็นต้น…”

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาอย่างฉะฉาน ตั้งแต่การลาดตระเวนบนภูเขาไปจนถึงการประสานงานในกองทัพ อีกทั้งการโจมตีของทหารม้าจากด้านหลัง หรือกระทั่งทหารราบจะร่วมมือกับทหารม้าได้อย่างไร เขาใช้เวลาไปกว่า 2 เค่อ ทำให้หยูชุนชิวและเผงิยวี๋เยี่ยนตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง และเข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ยมาเกือบทั้งหมด

ฟู่เสี่ยวกวนยกชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง แล้วกล่าวประโยคสุดท้ายว่า “ข้าตั้งใจอธิบายให้พวกท่านฟัง มิใช่เป็นเพียงแผนการในกระดาษ ! ”

เช่นนั้น เขาเป็นพวกบุ๋นหรือว่าพวกบู๊กัน ?

สองสามีภรรยาเกิดความสงสัยขึ้นมา เนื่องจากสิ่งที่เขาเอ่ยมาสามารถนำไปใช้ได้จริง บัดนี้ในสมองของทั้งสองมีแนวทางการรบไว้แล้ว หากสามารถทำให้คำพูดของเขาเมื่อครู่เป็นจริงได้ พวกเขาเชื่อว่าทหารทางใต้จะเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์หยู

หลังจากการสนทนา สองสามีภรรยาจึงได้มั่นใจว่าเขามิได้เป็นเพียงผู้มีพรสวรรค์ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติของแม่ทัพอีกด้วย !

หยูชุนชิวนั่งหลังตรง เขาสูดหายใจเข้ายาว ๆ แล้วเอ่ยว่า “เมืองหลวงมีจดหมายมาว่า หากสวรรค์มิได้ให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน ทั้งใต้หล้ายังคงดำรงอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เดิมทีข้าอ่านแล้วรู้สึกน่าขัน คิดว่าบรรดาผู้คนในเมืองหลวงล้าหลังมิมีความรู้ แต่ทว่าในค่ำคืนนี้ได้ฟังสิ่งที่ท่านกล่าวมา ข้าได้ความรู้เพิ่มขึ้นล้นพ้น จึงได้เข้าใจว่าชาวเมืองหลวงมิใช่ผู้ล้าหลัง แต่กลับเป็นข้าเองที่เป็น ดังนั้น ท่านเหมาะสมกับคำที่กล่าวไว้นั้นอย่างแท้จริง ชีวิตข้านั้นมีคนที่เคารพนับถืออยู่เพียงไม่กี่คน อีกทั้งบัดนี้พวกเขาได้แก่ชราลงแล้ว แต่ทว่าเจ้ายังอายุน้อยแต่กลับเป็นผู้ที่ข้านับถือเป็นอันดับแรก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกละอายเล็กน้อย เนื่องจากประโยคนั้นเขาได้เป็นผู้กล่าวไว้เอง

“น่าเสียดาย…”เผิงยวี๋เยี่ยนถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ ว่า “น่าเสียดายที่บุตรสาวของข้าได้หมั้นหมายกับผู้อื่นเสียแล้ว…หรือพวกเราจะมีบุตรสาวอีกสักคน แล้วมอบให้เจ้าในอนาคต เป็นเยี่ยงไร ? ”

…….

ประโยคนั้นของท่านฮูหยินหยูเมื่อครู่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเป็นอย่างมาก ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้แต่ฝืนยิ้มออกมา

แม้จะเป็นเพียงคำพูดเอ่ยเล่น แต่กลับทำให้รู้ถึงตำแหน่งของฟู่เสี่ยวกวนในใจของทั้งสองนาง

เขาคือสามีของพวกนาง !

เรื่องการทหารเมื่อครู่พวกนางมิเข้าใจ แต่ดูจากท่าทางและคำพูดของหยูชุนชิวและภรรยาแล้วมองออกว่าสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นเขาทั้งสองจะให้ความสำคัญเพียงนี้หรือ ?

นี่คือผู้ที่สามารถใช้พู่กันปกครองประเทศ และสามารถใช้ดาบทำให้ประเทศเกิดความสงบ !

พวกนางรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก !

จากนั้นพวกเขาได้สนทนากันถึงเรื่องวรรณกรรม เช่นหนังสือความฝันในหอแดง เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว เป็นต้น

ฟู่เสี่ยวกวนเดิมทีคิดว่าเผิงยวี๋เยี่ยนที่ชื่นชอบในการต่อสู้นั้นจะเพียงรู้สึกแปลกใหม่ในเรื่องนี้ คาดมิถึงว่านางก็มีความสามารถด้านวรรณกรรมเช่นกัน ทั้งสองได้สนทนากัน เขาจึงได้เข้าใจว่าสตรีนางนี้ช่างแปลกประหลาด มิน่าเล่าหยูชุนชิวจึงได้รับนางมาเป็นภรรยา อีกทั้งยังมีเพียงหนึ่งเดียว

หัวข้อสนทนาจากเดิมที่ราวกับสายฝนปรอยในฤดูใบไม้ผลิ ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของการเมือง

“พวกเจ้าน่าจะยังไม่รู้ว่าทางเหนือเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว มิใช่ชาวฮวงแต่กลับเป็นคนของกงเซินฉางที่แอบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ราบ พวกมันรวบรวมทหารได้ถึง 50,000 นาย เบื้องหลังของพวกมันมีเงาของชาวฮวงอยู่ คาดว่าชาวฮวงจะให้อาวุธและม้าศึกแก่พวกมัน หลายเดือนมานี้ พวกมันได้เข้าปล้นเมืองรอบ ๆ ซินโจว แล้วใช้เสบียงที่ปล้นมาได้แจกจ่ายแก่ชาวผิงหลิงอี้เพื่อเข้าเป็นพรรคพวก เนื่องจากเขตนี้ค่อนข้างยากจน ชาวบ้านกินไม่อิ่มท้อง ดังนั้นผู้ใดให้อาหารแก่พวกเขา พวกเขาก็ให้ได้แม้ชีวิต ! ”

เผิงยวี๋เยี่ยนถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว หาได้มีผู้ใดอยากจะร่วมก่อกบฏ แต่ทว่าก็มิมีผู้ใดอยากหิวตายเช่นกัน ดังนั้น ความยากจนคือปัญหาที่แท้จริงของการที่ประเทศวุ่นวาย ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนก็คิดเช่นนั้น การที่พวกเขาอดมื้ออิ่มมือ ทำให้พวกเขามิอาจได้ร่ำเรียนหนังสือ บรรดาชาวบ้านที่ยากจนนั้นยากจะบรรยาย จากที่ฟู่เสี่ยวกวนดูแล้ว นี่มิใช่ความผิดของพวกเขา เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการสูงสุดนั่นคือมีชีวิต และสิ่งที่พวกเขาปรารถนาก็คือการมีชีวิตรอด

ส่วนจะมีชีวิตอย่างไรนั้น นั่นมิใช่เรื่องสำคัญ

ถ้าเช่นนั้นคือความผิดของผู้ใดกัน ?

ผิดที่คนเรียนหนังสือในใต้หล้า ผิดที่ขุนนางทุกคนและผิดที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

คำเหล่านี้เขามิกล้าเอ่ยออกมา เพียงแต่ฝืนยิ้มแล้วส่ายหัว “กองทัพมดก็สามารถทลายกำแพงใหญ่ได้ ทางนั้นเงียบไปเป็นเวลานาน เป็นเรื่องอันตรายสำหรับราชวงศ์หยู อันที่จริงอันตรายเหล่านี้ซ่อนไว้อยู่มากมายเช่น เหมียวเจียง ซีฮวง การก่อกบฏต้องการคนจำนวนมาก ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า ใครให้อาหารพวกเขาแม้แต่มื้อเดียว พวกเขาก็พร้อมจะมอบชีวิตให้ ทั้งสองเขตนี้ยากจนเป็นอย่างมาก ดังนั้นที่ทั้งสองเขตนี้จะกลายเป็นที่ก่อกบฏ ”

หยูชุนชิวพยักหน้า “ดังนั้นปัญหาที่แท้จริงก็คือความยากจน หากทำให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นมาได้ เห้อ… ! ”

“ฝ่าบาททรงกำลังพยายามผลักดันแนวเศรษฐกิจใหม่ แต่ข้าคาดว่าคงอีกนานทีเดียวจึงจะเห็นผล โจรเหล่านี้ยังคงต้องปราบปราม ทหารทางเหนือมีความเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่ ?”

“มี แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทหารเหนือคือเผิงเฉิงอู่ บุตรบุญธรรมที่ท่านพ่อข้ารับเลี้ยงเอาไว้ เขาเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ภายใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อเช่นกัน ข้าเคยได้ส่งจดหมายไปถามไถ่ เขากล่าวว่าภูมิประเทศที่เขตผิงหลิงอี้ค่อนข้างซับซ้อน เคยไปปราบปรามมาแล้วหลายครา แต่ทว่าล้มเหลวกลับมาทุกครา น่าเสียดายอย่างแท้จริง หากเขามีผู้นำที่เข้าใจด้านพื้นที่ภูเขาอย่างที่เจ้ากล่าว เรื่องนี้คงจัดการได้อย่างง่ายดาย”