ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 119 ปริศนาคำทาย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

แพะดำจ้องมองเฉินฉางเซิงเงียบๆ พลันก้มหัวลงไปคลอเคลียซอกคอเขาเบาๆ

เฉินฉางเซิงตีความหมายผิดไป รีบลูบคลำบนร่างกายของตน พบว่าไม่ได้พกอาหารสิ่งใดมา แหงนหน้าขึ้นมอง เห็นลูกพลับอยู่บนต้นด้านขวามือไม่กี่ลูก เห็นผิวเพิ่งจะสุกงอม ทำท่าทางว่าอย่าบอกผู้ใดแก่แพะดำ แล้วเขย่งเท้าขึ้นไปเด็ด หลังจากนั้นยื่นส่งไปข้างหน้ามัน

แพะดำเอียงคอเล็กน้อย ทว่ายังคงจ้องมองเขาเงียบๆ เช่นนี้ทำให้เขาอึดอัดเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่านัยน์ตาของมันกำลังหัวเราะตนเองอยู่ อดไม่ได้ที่จะตระหนกวุ่นวายจนทำอะไรไม่ถูก เวลานี้เอง แพะดำก้มศีรษะลง กลืนลูกพลับเข้าไปในปาก แล้วค่อยๆ เคี้ยว

เฉินฉางเซิงทอนหายใจ รู้สึกคล้ายกับว่าตนทำเรื่องที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งสำเร็จลุล่วงไปแล้ว

หลังจากแพะดำเคี้ยวผลไม้เสร็จ จึงดันหัวเข่าเขา หลังจากนั้นมุ่งไปยังป่าฤดูใบไม้ร่วง เมื่ออยู่ในพระราชวังครั้งก่อน มันนำทางเฉินฉางเซิงก็ทำเช่นนี้ เฉินฉางเซิงเดินตามมันไปเบื้องหน้า ในใจครุ่นคิดว่าจะนำตนไปแห่งใด ขณะกำลังคิด พลันมองเห็นตะเกียงไฟอยู่ในป่าฤดูใบไม้ร่วง

ยังคงเป็นโต๊ะหินตัวนั้น มีตะเกียงไฟหนึ่งดวง กาน้ำชาหนึ่งใบ ถ้วยน้ำชาสองใบและสตรีวัยกลางคนที่เอ่ยวาจาไม่ได้ท่านนั้น

เฉินฉางเซิงคารวะสตรีวัยกลางคนผู้นั้น ท่าทางสงบนิ่งของเขา ทว่าในจิตใจกลับตื่นเต้น เขารู้ดีว่าแพะดำอยู่ที่พระราชวังมีตำแหน่งพิเศษอย่างยิ่ง ในเรื่องเล่าขาน มีเพียงแค่แม่นางม่ออวี่ถึงจะสามารถใกล้ชิดมันได้ ค่ำคืนนี้แพะดำกลับมาสวนร้อยหญ้ากับสตรีวัยกลางคน เช่นนี้สตรีผู้นี้แท้จริงแล้วคือใคร

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสตรีผู้นี้เป็นนางสนมในพระราชวัง จนกระทั่งอาจจะเป็นหัวหน้านางสนมที่มีอำนาจอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้มองแล้ว ไม่แน่ว่าตำแหน่งของนางอาจจะสูงกว่านั้นเสียแล้ว

เขาคิดไปถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง แต่ทว่าในจิตใจรีบปฏิเสธความเป็นไปได้นั้นทันที เพราะว่าทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้ดี นักปราชญ์ผู้นั้นงดงามวิจิตรทั่วทั้งโลกหล้า ในปีไท่จงเป็นสตรีที่งดงามมีชื่อเสียงที่สุดในดินแดนต้าลู่ ถ้าหากว่าเป็นนักปราชญ์ท่านนั้นจริง แล้วจะใส่ใจที่จะแก้ไขรูปหน้าเพื่อมาพบบุคคลตัวเล็กๆ เช่นตนด้วยเหตุใดเล่า

พบว่าคนที่มาเป็นเฉินฉางเซิง สตรีวัยกลางคนมิได้มีท่าทางแปลกประหลาดใจ เพียงแค่มองแพะดำแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าไม่เห็นด้วยที่มันพาเขามาที่นี่ อาจจะเป็นเพราะแพะดำคาดเดาได้ว่านางไม่ปรารถนาให้ใครรบกวน หลังจากนำเฉินฉางเซิงมายังป่าฤดูใบไม้ร่วงก็หันกายกลับไป โดยมันมิได้สบสายตาของนางเลย

เสียงต๊อกๆ ดังขึ้นเบาๆ นิ้วมือของสตรีวัยกลางคนเคาะบนโต๊ะหินเบาๆ

เฉินฉางเซิงนั่งลง ยกกาน้ำชาขึ้นรินใส่ถ้วยน้ำชาจนเต็ม ยกถ้วยน้ำชาใบหนึ่งด้วยความเคารพนอบน้อมไปยังเบื้องหน้าสตรีวัยกลางคนผู้นั้น

สตรีผู้นั้นใช้นิ้วมือยกถ้วยน้ำชาขึ้น ก็เหมือนกับเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างแม่น้ำ ส่งเข้าอยู่ด้านหน้าริมฝีปากค่อยๆ ดื่ม

เฉินฉางเซิงใช้มือทั้งสองยกถ้วยน้ำชา ประหนึ่งกำลังประคองไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่ง ส่งเข้าอยู่ด้านหน้าริมฝีปากเป่าลมหายใจเบาๆ

สตรีวัยกลางคนเห็นท่าทางเช่นนี้ ยิ้มออกมาไร้เสียง ท่าทางกล่าวไม่ออกว่าสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายกับว่ากำลังยิ้มที่เขาระมัดระวังจนเกินไป

“ร้อนเกินไป กลับกันมิได้เป็นเพราะสิ่งอื่นใด”

เฉินฉางเซิงกล่าวอธิบายเขินอาย หลังจากนั้นคิดได้ว่านางพูดไม่ได้ ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียง เขาจึงนำถ้วยน้ำชาวางไว้บนโต๊ะ ใช้มือวาดไม่กี่แบบออกไป

หลังจากนั้น จึงดื่มน้ำชาต่อ

เหมือนกับค่ำคืนนั้นที่เจอกันครั้งแรกในสวนร้อยหญ้า สตรีวัยกลางคนกับหนุ่มน้อยก็มิได้สนทนาสิ่งใดกัน เพียงแค่นั่งดื่มน้ำชากัน สายตาน้อยอย่างยิ่งที่จะร่วงหล่นบนร่างกายของฝ่ายตรงข้าม

เฉินฉางเซิงเคยชินกับบรรยากาศชนิดนี้แล้ว นี่ทำให้เขาคิดไปถึงศิษย์พี่ของตนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตอนนี้ศิษย์พี่อยู่ที่วัดเก่าซีหนิงจะเป็นเช่นไร เมื่อไหร่ถึงจะยินยอมมาจิงตู

เขาไม่รู้ว่าม่ออวี่ได้ส่งคนไปซีหนิงแล้ว ที่แห่งนั้นคนออกไปแล้วพบเพียงแค่วัดว่างเปล่า นักพรตจี้กับศิษย์พี่อวี๋เหรินของเขาไม่รู้ว่าไปแห่งใดแล้ว

สายตาของเฉินฉางเซิงร่วงหล่นยังบนร่างของสตรีวัยกลางคน หยุดชะงักชั่วครู่

เขาคิดอยากจะเข้าพระราชวังไปพบมังกรดำตัวนั้นมาตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไร้หนทางที่จะไป เรื่องนี้ก็ไร้หนทางที่จะไปขอร้องแพะดำตัวนั้น…คืนนี้คาดเดาว่าฐานะของสตรีวัยกลางคนที่อยู่ในพระราชวังมิได้ธรรมดา เขาอยู่ๆ ก็อยากจะขอคำแนะนำจากฝ่ายตรงข้าม จะแอบเข้าไปในพระราชวังได้อย่างไร ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับมังกรดำตัวนั้นหรือไม่

ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาจะทำอย่างไรล้วนแต่รนหาที่ตาย สอบถามการแอบเข้าไปในพระราชวังกับผู้มีฐานะสูงในพระราชวังที่มีความเป็นมาลึกลับ จะต้องสืบถามข้อต้องห้ามอย่างเช่นมังกรดำนี้ มิใช่การรนหาที่ตายแล้วเป็นอะไรเล่า

ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามยินยอมที่จะบอกตน อีกทั้งยังไม่คิดจะทำร้ายตน

ตั้งแต่เยาว์วัยเขาเติบโตมากับศิษย์พี่อวี๋เหริน เขาคิดมาตลอดว่าคนใบ้เป็นคนดีที่จิตใจดีงาม เมื่อเขามองสตรีวัยกลางคนผู้นี้ทำให้คิดไปถึงศิษย์พี่ได้ง่าย รู้สึกว่าใกล้ชิดสนิทสนม รู้สึกว่าเชื่อใจได้ ก็เหมือนกับความรู้สึกของคนจำนวนมากพบเขาครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคืนนั้นนางยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้าเขา ทำให้เขาคิดไปถึงคนที่มิได้คิดหานานแล้ว หรืออาจจะกล่าวว่า เป็นคำที่ไม่เคยคิดถึงมานานมากแล้ว

เขาเป็นเด็กกำพร้า คนทั้งสองหรือว่าคำนั้นแต่ไหนแต่ไรก็มิได้อยู่ในชีวิตของเขา เป็นธรรมดาที่ยากจะคิดถึง และเป็นธรรมดาที่นานมาแล้วลืมคิดถึงได้ง่ายดาย

ชาร้อนในกาน้ำชายังคงถูกเทมิขาดสาย ไอร้อนบนถ้วยน้ำชาไร้หนทางที่จะหายไป เพียงแค่ล่องลอยไปตามสายลมยามค่ำคืนเล็กน้อย

มือทั้งสองของเฉินฉางเซิง เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ด้านหน้า เพื่อแสดงความหมายของเขา

สตรีวัยกลางคนใบหน้าไร้ความรู้สึกจ้องมองท่าทางของเขา บรรยากาศเงียบสงบก่อนหน้านี้ได้ถูกความเยือกเย็นเข้ามาแทนที่ ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นเพราะคำถามของเฉินฉางเซิง นางจึงไม่ยินดีเล็กน้อย

หลังจากเฉินฉางเซิงเอ่ยถามเรื่องราวของมังกรดำแล้ว นางยกมือข้างขวาขึ้น ใช้นิ้วมือสามนิ้ววาดบนสายลมยามค่ำคืนไม่กี่ที

ท่าทางนิ้วมือของนางราวกับสายลมเย็นสบายที่ยากจะคาดเดาได้ ถ้าหากมิใช่สายตาที่ว่องไวเฉียบขาดของเฉินฉางเซิง อีกทั้งยังตั้งใจอย่างยิ่ง ก็คงไร้หนทางจะมองได้ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าจะเข้าใจความหมายของนาง

แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายของนาง และก็ไม่มีสิ่งใดให้น่ายินดี

นางเอ่ยถามเฉินฉางเซิง เจ้าไม่กลัวตายหรือ

เฉินฉางเซิงวาดมือเอ่ยออกไป ตนเองไม่อยากตาย ทว่าการสัญญาเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง อีกทั้งตนอาจจะเผชิญกับปัญหาที่ยากจะแก้ไข ถ้าหากแก้ไขมิได้ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสเข้าไปในพระราชวัง และก็ไม่มีโอกาสพบกับมังกรดำตัวนั้น ด้วยเหตุนี้เขาถึงเสี่ยงที่จะถามนาง

ป่าฤดูใบไม้ร่วงที่เหน็บหนาว สตรีวัยกลางคนจ้องมองเขาเงียบๆ เป็นเวลาเนิ่นนาน อยู่ๆ ก็ยิ้มออกมาไร้สุ้มเสียง วาดมือถามอีกครา มองแล้วเจ้าคงไม่กลัวตายจริงๆ

ประโยคแรกไม่กลัวตายหรือ มีความหมายว่านางไม่ยินดีและใช้อำนาจคุกคามต่อเขา ประโยคนี้ที่ว่าไม่กลัว หมายความว่านางกำลังตัดสินเขา

นี่ก็เป็นจุดที่นางชื่นชมเขาที่สุด

สตรีวัยกลางคนยื่นมือไปจุ่มในถ้วยน้ำชา แล้วเขียนตัวอักษรหนึ่งตัวบนโต๊ะ หลังจากนั้นยืดตัวลุกขึ้นไปยังพระราชวัง

แพะดำไม่รู้ว่าเดินออกมาจากแห่งใดของสวน เดินตามหลังของนางมุ่งไปยังในป่า มันเหลียวมามองของแวบหนึ่ง

เฉินฉางเซิงเดิมคิดดังเช่นครั้งก่อน อยากจะไปส่งนางถึงให้ถึงประตูความลับบนกำแพงแห่งนั้น ทว่ากังวลว่าตัวอักษรบนโต๊ะจะหายไป จึงยังนั่งอยู่ที่เดิม

ชาเป็นชาดำ เป็นชาร้อนที่เข้มข้น เมื่อเขียนลงบนโต๊ะหินสีเทา ชัดเจนอย่างยิ่ง

เป็นตัวอักษรคำว่า ‘น้ำแข็ง’

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ แหงนหน้าทอดสายตามองไป ไหนเลยจะมองเห็นภาพด้านหลังของสตรีวัยกลางคนผู้นั้นกับแพะดำได้เล่า

เขากับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นไร้วิธีที่จะสนทนากัน กล่าวก็คือภาษาใบ้ ตัวอักษรนี้เป็นปริศนาคำทายจริงๆ