ตั้งแต่อดีตแนวเทือกเขาฉินหลิ่งเป็นสถานที่ที่มีความลับยากคาดเดา ต่อให้ดำเนินมาถึงปัจจุบันนี้ ทางการก็ยังไม่กล้ามาสำรวจง่ายๆ คนธรรมดาไม่อาจรับรู้ไปได้ชั่วชีวิต ทางการเข้าใจข้อมูลทางด้านนี้ดี ในสถานที่ต้องห้ามอันลึกลับของประเทศจีนแห่งนี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีพรรควรยุทธโบราณที่เร้นกายอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกภายนอก ที่เรียกว่าเร้นกายไม่ใช่ว่าเร้นกายไม่ปรากฏตัวออกมา แต่หมายถึงไม่ยุ่งกับเรื่องของคนนอกและทางการ การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นอิสระ ทางการไม่กล้าเข้าไปวุ่นวาย ทำได้เพียงรักษาให้คงอยู่ในระดับหนึ่งต่อไป
ยามค่ำคืนมาถึง แสงจันทร์สาดส่อง มีเงาคนสี่คนพุ่งทะยานอยู่ในป่า บนร่างของทุกคนสะพายกระบี่ไว้ที่หลังเล่มหนึ่ง สวมเสื้อผ้ายุคโบราณ เพียงแต่ทรงผมเป็นรูปแบบยุคสมัยปัจจุบัน สี่คนนี้สามารถใช้วิชาตัวเบาได้ ฝีเท้าเบาประดุจล่องลอยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ เพียงพริบตาเดียวก็ล้อมรอบภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากพรรคสุสานโบราณเอาไว้ ฝีมือของคนทั้งสี่แข็งแกร่งมาก ไปถึงระดับที่ใช้พลังภายในได้ตามใจแล้ว
คนที่อยู่หน้าสุดมีร่างกายสูงใหญ่ สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ยิ่งไปกว่านั้นยังกำยำมากด้วย ด้านหลังสะพายกระบี่เอาไว้ เรียกได้ว่าเป็นกระบี่ และเรียกได้ว่าเป็นดาบ เป็นกระบี่ที่มีใบกว้างหนาเป็นอย่างมาก เพียงแค่ดูจากสองอย่างนี้ก็เห็นได้แล้วว่าคนที่จะใช้มันได้อย่างน้อยต้องมีพลังกายแข็งแกร่ง ต้องทราบว่ากระบี่และดาบของพรรควรยุทธโบราณแตกต่างกับกระบี่หรือดาบที่ซื้อขายกันอยู่ในสังคมปัจจุบัน ทั้งหมดต่างใช้เหล็กกล้าสร้างขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังผสานพลังภายในเข้าไปด้วย กระบี่หนึ่งเล่มมีน้ำหนักเกือบ 100 จินเป็นเรื่องปกติมาก คนธรรมดาอยากจะยกก็ยกไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะใช้มันเลย แต่กระบี่ที่มีใบดาบกว้างใหญ่ซึ่งสะพายอยู่ด้านหลังผู้ที่เดินนำหน้ามานี้ ประเมินด้วยสายตาแล้วอย่างน้อยควรจะหนัก 150 จิน ถ้าไม่มีพลังกายมากพอก็จะไม่อาจยกได้ แน่นอนว่านอกจากจะใช้พลังภายในที่แข็งแกร่ง
ฟิ้วๆๆ…
เงาร่างทั้งสี่หยุดอยู่บริเวณตีนเขาที่อยู่ไม่ไกลจากพรรคสุสานโบราณ เบื้องหน้าของพวกเขามีศพอยู่สามศพ นั่นก็คือศพของพวกเฉินฮุยแห่งพรรคท่องกระบี่ทั้งสามคน พวกเขาต้องการใส่ร้ายเย่เทียนเฉินจึงถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตาย
ผู้นำมองศพเฉินฮุยแล้วขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงโบกมือขวาขึ้น คนทั้งสามที่อยู่ด้านหลังจึงแยกย้ายกันไป ย่อตัวลงเริ่มตรวทสอบศพทั้งสามของพวกเฉินฮุย เพียงไม่นานคนทั้งสามที่ตรวจสอบศพก็ลุกขึ้นยืน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองถูกคนใช้ฝ่ามือซัดจนตาย พลังฝ่ามือแข็งแกร่งมาก กระทั่งกระบี่จิงกังของศิษย์พี่รองก็ถูกซัดจนหัก!”
“ศิษย์พี่อีกสองคนก็ถูกฟันหัวขาดในกระบี่เดียว พวกเราพบรอยกระบี่อยู่รอบๆ แข็งแกร่งมาก!”
ผู้เป็นหัวหน้าที่มีร่างกายกำยำชะงักไปครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกแปลกใจ ความสามารถของเฉินฮุยอยู่ในขอบเขตราชันนักรบขั้นต้น ไม่ควรจะถูกคนฆ่าตายง่ายๆ อย่างน้อยก็มีพลังเพียงพอที่จะปกป้องตัวเอง ต่อให้ไม่ใช่คู่มือของศัตรู ด้วยนิสัยของเฉินฮุยก็ควรจะหาวิธีหนีไปถึงจะถูก ยิ่งไปกว่านั้นพรสวรรค์ของเฉินฮุยก็ไม่ต่ำต้อยเลย ขอบเขตนักรบราชันขั้นต้น สามารถใช้พลังในขอบเขตนักรบขั้นกลางออกมาได้จางๆ แล้ว ต่อให้เขาลงมือก็ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยส่วนว่าจะสามารถซัดเฉินฮุยจนตายได้ในฝ่ามือเดียว ดูท่าทางศัตรูที่สังหารพวกเฉินฮุยทั้งสามคนจะแข็งแกร่งมาก หากไล่ตามต่อไปเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีอันตรายหรือไม่
“ฉันดูแล้วคนที่ฆ่าพวกศิษย์น้องรองทั้งสามคน อย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถการบ่มเพาะอยู่ในระดับนักรบราชันขั้นสุดท้าย หรือกระทั่งอยู่ในขอบเขตนักรบจอมราชันขั้นต้น ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ดูจากวิธีการลงมือแล้วไม่เหมือนกับเถียนปอกวง ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดถึงขอบเขตการบ่มเพาะระดับนักรบจอมราชันระดับกลางของเถียนปอกวงแล้ว เขามีชื่อเสียงด้านเคล็ดวิชาดาบที่รวดเร็ว ใช้ดาบเดียวปั่นป่วนใต้หล้า ดูเหมือนเขาจะไม่ใช้กระบี่และมือเปล่ามาสังหารผู้คน เพราะทำแบบนั้นจะทำให้เขารู้สึกไม่สะใจ!” ชายที่เป็นหัวหน้าชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“นี่…ใครกันแน่ที่กล้ามาล่วงเกินพรคคท่องกระบี่ของพวกเรา แล้วยังฆ่าศิษย์พี่รองและศิษย์คนอื่นๆ อีกสองคนด้วย เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน…”
“ถูกต้อง หากท่านอาจารย์รู้เรื่องต้องโกรธแน่ ศิษย์น้องเล็กเพิ่งจะถูกเถียนปอกวงไอ้วิปริตนั่นหยอกล้อ ตอนนี้ศิษย์พรรคท่องกระบี่ของพวกเราก็ถูกฆ่าอีก ท่านอาจารย์ต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่!”
ชายผู้เป็นหัวหน้าพยักหน้าก่อนจะมองไปรอบๆ ในใจรู้สึกกังวล ครุ่นคิดมากมาย เขาไม่เหมือนกับที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นคิด ที่ว่าเป็นคนที่ไม่มีสมอง ชอบทำอะไรบุ่มบ่าม ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวมักจะแสดงความซื่อสัตย์จริงใจออกมา นั่นเป็นความคิดไร้เดียงสาอย่างหนึ่ง เพียงแต่คนธรรมดาไม่รู้ มีเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคนที่ต้องการสนับสนุนให้เขาเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไปเหล่านั้นถึงรู้ว่าเขาเก็บซ่อนได้ลึกล้ำมาโดยตลอด
เรื่องที่เถียนปอกวงหยอกล้อศิษย์น้องเล็กในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พรรคท่องกระบี่โกรธแค้น ทั่วทั้งโลกวรยุทธโบราณและพรรคอื่นๆ ก็ล้วนได้ยินข่าวนี้เช่นกัน ต่างรอดูเรื่องขบขันของพรรคท่องกระบี่ ดูว่าพรรคท่องกระบี่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ต้องทราบว่าเถียนปอกวงไปหยอกล้อลูกสาวของหัวหน้าพรรคท่องกระบี่ถึงประตูนี่ นับว่าเป็นการไม่เห็นพรรคท่องกระบี่อยู่ในสายตา เป็นการท้าทายอำนาจของพรรคท่องกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเกือบจะลงมือสำเร็จแล้ว ทำให้ทุกคนในพรรคท่องกระบี่เสียหน้า ถูกพรรคอื่นๆ หัวเราะเยาะ ดังนั้นหัวหน้าพรรคของพรรคท่องกระบี่จึงตามฆ่าเถียนปอกวงไปทั่วทุกมุมโลก
หากพูดถึงการบ่มเพาะเพียงอย่างเดียว การบ่มเพาะของเถียนปอกวงอยู่ในระดับนักรบจอมราชันขั้นกลาง หากเทียบกับหัวหน้าพรรควรยุทธโบราณบางพรรค โดยเฉพาะพรรคท่องกระบี่ซึ่งสืบทอดกันมายาวนาน การบ่มเพาะของเขายังอ่อนแอกว่าหัวหน้าพรรคเหล่านี้อยู่เล็กน้อย เพียงแต่เถียนปอกวงมีนิสัยวิปริต หลงใหลในผู้หญิง ใช้เคล็ดวิชาดาบที่รวดเร็วลงมือ ในตอนที่คุณไม่เห็นตัวเขา หัวของคุณก็ขาดแล้ว แต่หากมีพลังบ่นเพาะอยู่ที่ขอบเขตนักรบจอมราชันขั้นกลางเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ จะอย่างไรหัวหน้าพรรควรยุทธโบราณจำนวนหนึ่งก็มีการบ่มเพาะลึกล้ำเหนือกว่าเถียนปอกวง ขอเพียงตามเถียนปอกวงได้ก็จะสามารถฆ่าเถียนปอกวงได้แน่ แต่เถียนปอกวงมีส่วนที่เหนือผู้อื่นอยู่ เขาเป็นคนที่ทำให้ยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณที่มีพลังบ่มเพาะสูงกว่าเขาจำนวนหนึ่งรู้สึกห่างชั้น นั่นเพราะเขามีเคล็ดวิชา “โดดเดี่ยวใต้หล้า” เถียนปอกวงได้พบตำราลับเล่มหนึ่งโดยบังเอิญ ในตำราลับมีบันทึกวิชาตัวเบาที่สามารถท่องได้ไกลหมื่นลี้เอาไว้ ชื่อว่า “เคล็ดย่างก้าวเซียนสวรรค์” เมื่อฝึกฝนจนสำเร็จ จะลุกนั่งมั่นคง ก้าวย่างดั่งสายลม ทำให้ใครหลายคนคิดจะไล่ตามเถียนปอกวงก็ไม่อาจทำได้ กล่าวคือ ในตอนที่เจ้าหมอนี่ทำเรื่องชั่วร้ายเสร็จ คุณยังไม่ทันตามมาเขาก็หนีไปไกลหลายร้อยลี้แล้ว คุณจะตามไปได้อย่างไร?
เคล็ดย่างก้าวเซียนสวรรค์ เล่าขานกันว่าเป็นวิชาตัวเบาที่พิเศษที่ไต้จงซึ่งเป็นหนึ่งใน 108 วีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซานถ่ายทอดเอาไว้ก่อนตาย ไต้จงมีฉายาว่าเป็น “เจ้าลมกรด” ไม่รู้ว่าไต้จงคนนี้เรียนรู้เคล็ดวิชาตัวเบาเช่นนี้มาจากไหน มีบันทึกไว้ในพงษาวดารว่า ในตอนที่ไต้จงยังเป็นหนุ่ม ได้ติดตามเรียนรู้วิชาเต๋าจากนักพรตท่านหนึ่ง เขานำเกราะม้ามาผูกไว้ที่ขาทั้งสอง สร้างเป็น “วิถีเทพท่อง” หนึ่งวันท่องไปได้ 400 ลี้ เกราะม้าสี่เกราะผูกไว้ที่ขา หนึ่งวันจะสามารถท่องไปได้ 800 ลี้ ทั้งยังถูกเรียกว่า “เท้าลมกรด”
เถียนปอกวงได้เคล็ดย่างก้าวเซียนสวรรค์นี้มาโดยไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่ถูกยอดฝีมือไล่ฆ่าก็จะใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวเซียนสวรรค์หนีไป เพียงพริบตาเดียวก็หายไปดั่งสายลม ทำให้ผู้คนรู้สึกห่างชั้น ยอดฝีมือทั่วไปตามไม่ทัน อีกอย่าง ปรมาจารย์ที่แท้จริงหรือยอดฝีมือระดับสูงนั้น หากไม่กำลังทำการบ่มเพาะก็กำลังศึกษาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาว จะมาลงมือไล่ตามฆ่าคนวิปริตคนหนึ่งนับว่าไม่สมฐานะเลยจริงๆ
“ฉันกับศิษย์น้องรองได้รับคำสั่งให้ไปฆ่าเถียนปอกวง ท่านอาจารย์แสดงท่าทีชัดเจนว่าให้ฉันเป็นหัวหน้า แต่ศิษย์น้องรองไม่ยอมฟังคำสั่ง พาคนมาเคลื่อนไหวตามใจ ถ้าเขาถูกคนฆ่าตายก็ว่าอะไรฉันไม่ได้ เถียนปอกวงหยอกล้อศิษย์น้องเล็ก ล่วงเกินพรรคท่องกระบี่ของพวกเรา ไม่ต้องพูดถึงเคล็ดวิชาย่างก้าวเซียนสวรรค์ของเขาเลย ต่อให้มีวิชาบินขึ้นฟ้าหรือดำดินก็จะไม่ยอมปล่อยไปแน่ ฉันไม่เพียงแต่จะฆ่าเถียนปอกวงให้ได้ แต่จะล้างแค้นให้พวกศิษย์น้องรองทั้งสามคนด้วย!” ชายร่างกำยำที่เป็นหัวหน้าพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“ถูกต้อง ผู้ที่สังหารศิษย์พี่รองทั้งสามคน อย่างมากก็มีความสามารถอยู่ในระดับนักรบจอมราชันขั้นต้น ส่วนการบ่มเพาะของเถียนปอกวงก็ไม่เกินระดับนักรบจอมราชันขั้นกลางเท่านั้น แต่ความสามารถของศิษย์พี่ใหญ่ไปถึงขอบเขตนักรบจอมราชันขั้นกลางหลายปีแล้ว และเกือบจะไปถึงขอบเขตนักรบจอมราชันขั้นสุดท้ายแล้วด้วย ไม่อ่อนด้อยไปกว่าเถียนปอกวงเลย ครั้งนี้พวกเราจะต้องฆ่าเถียนปอกวงและล้างแค้นให้ศิษย์พี่รองให้ได้ จะต้องได้รับความสำคัญจากท่านอาจารย์และได้เคล็ดวิชาปราณกระบี่ลับมาแน่!”
“งั้นพวกเราจะตามไปฆ่าตอนนี้เลยหรือเปล่า?” คนหนึ่งถามขึ้น
“ไม่ต้องรีบร้อน ให้ฉันดูสักหน่อยก่อน!”
ฟิ้ว!
ผู้ที่เป็นหัวหน้าเพิ่งจะกล่าวจบก็สะกิดตัวกระโดดขึ้น ร่างกายกำยำมีกระบี่ใหญ่ที่มีใบดาบกว้างและหนาสะพายอยู่ที่หลัง แต่กลับมีร่างกายเบาหวิวราวกับนกนางแอ่น เห็นได้ชัดว่ามีขอบเขตการบ่มเพาะสูงส่ง อายุของเขาก็ดูท่าทางไม่เกิน 40 ปีเท่านั้นแต่มาถึงขอบเขตจอมราชันขั้นสุดท้ายได้แล้ว ในหมู่พรรควรยุทธโบราณนับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งคนหนึ่ง ต้องทราบว่าคนมากมายฝึกฝนวรยุทธโบราณชั่วชีวิตก็ไปได้แค่ขอบเขตนักรบจิตวิญญาณเท่านั้น เมื่อมาถึงขอบเขตนักรบจิตวิญญาณ ถึงจะนับเป็นขอบเขตความสามารถแรกเริ่มของวรยุทธโบราณ หากต้องการทะลวงขอบเขตไปในระดับที่สูงยิ่งขึ้น ยังต้องทะลวงขอบเขตไปอีกสามขั้นเล็กต่อเนื่อง ซึ่งก็คือขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสุดท้าย ทุกขอบเขตขั้นเล็กที่ทะลวงผ่านจะมีความสามารถเพิ่มขึ้นมาก หลังจากเพิ่มขึ้นหนึ่งขอบเขตอย่างแท้จริงก็จะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พูดง่ายๆ ก็คือ หากขอบเขตนักรบจิตวิญญาณต้องการต่อสู้ขอบเขตนักรบราชันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ขอบเขตนักรบราชันซัดฝ่ามือเดียวก็ทำให้คุณตายได้แล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเย่เทียนเฉินที่ได้สัมผัสถึงขอบเขตการต่อสู้ข้ามขั้น สามารถสู้กับผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถเหนือกว่าตนเองได้
ยอดฝีมือหลายคนล้วนถูกสกัดกั้นอยู่ในขอบเขตนี้ ชั่วชีวิตก็ไม่อาจทะลวงไปได้ ดังนั้นหากต้องการไปถึงขอบเขตความสามารถที่สูงยิ่งขึ้นจึงเป็นเรื่องยากมาก อาจจะใช้เวลาสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี…หรือกระทั่งชั่วชีวิตก็ไม่อาจทะลวงได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษหรือผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาวรยุทธโบราณก็ตาม ยิ่งฝึกไปถึงขอบเขตหลังๆ ก็จะมีปัจจัยขัดขวางมากมายขึ้น มีกระทั่งทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ นั่นไม่ใช่เพียงคำเล่าลือ แต่ไม่ใช่ทัณฑ์พิโรธอย่างที่เล่าลือ เมื่อระดับการบ่มเพาะของคนผู้หนึ่งไปถึงระดับที่สามารถต่อต้านสวรรค์ได้ สวรรค์ก็จะมีปฏิกิริยาและขัดขวาง ยิ่งไปถึงขั้นหลังๆ ก็จะต้องอาศัยสติปัญญาเพียงคำเดียวเท่านั้น อย่างที่คำโบราณกล่าวไว้ว่า ยากลำบากสิบปีไม่สู้การตระหนักรู้ชั่วพริบตา!
ในตอนที่ชายผู้เป็นหัวหน้ากระโดดลงมาจากบนต้นไม้ใหญ่ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชั่วช้า นี่เป็นโอกาสที่มีเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต หากเขาฆ่าเถียนปอกวงและแก้แค้นให้พวกเฉินฮุยทั้งสาม เช่นนั้นอำนาจในพรรคท่องกระบี่ของเขาก็จะสูงส่งยิ่งขึ้น ตำแหน่งหัวหน้าพรรคต้องเป็นของเขาแน่นอน!
“ฉันเซียวหย่วน แต่ไหนแต่ไรลงมือไม่เคยพลาด ครั้งนี้ก็เช่นกัน!” ชายผู้เป็นหัวหน้าเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมที่มุมปากแล้วพูดขึ้น
………………..