ตอนที่ 233-1 หลิ่วกุ้ยเฟยหาเรื่องให้ตนถูกดูหมิ่น

ชายาเคียงหทัย

ตกเย็น เยี่ยหลีที่กลับถึงห้องแล้ว ยังคงขมวดคิ้วใคร่ครวญถึงเรื่องขององค์หญิงฉางเล่อ ถึงแม้องค์หญิงฉางเล่อในสายตาของเยี่ยหลีจะยังคงเป็นเพียงเด็กน้อย แต่เอาเข้าจริงนางก็โตเป็นสาวแล้ว ถึงแม้นางจะเอ่ยวาจาท้าทายหลิ่วกุ้ยเฟยอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าอันใดควรพูดอันใดไม่ควรพูด ดังนั้น คำถามของเยี่ยหลี นางจึงเพียงหยิบยกบางเรื่องขึ้นมาอ้างเพื่อให้ผ่านไปเท่านั้น เยี่ยหลีเข้าใจดีว่า ถึงแม้ด้วยฐานะขององค์หญิงทำให้ไม่ได้รับอิสระมากนัก แต่ก็มิได้ฝืนใจจนเกินไป

“อาหลีกำลังคิดอันใดอยู่หรือ” มือหนึ่งโอบบ่าเยี่ยหลีมาจากด้านหลัง ก่อนม่อซิวเหยาจะเอ่ยถามขึ้นเบาๆ

เยี่ยหลีหันหน้าไปมอง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ไม่มีอันใด…ข้ากำลังคิด เรื่องขององค์หญิงฉางเล่อ”

ต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อไปร่วมงานแต่งงานขององค์หญิงหนานจ้าวเพียงคนเดียว ถึงกับต้องให้กุ้ยเฟยและองค์หญิงเดินทางไปร่วมงานด้วยตนเอง มิใช่เรื่องปกติเลยจริงๆ แน่นอนว่า การที่หลิ่วกุ้ยเฟยไปร่วมงานย่อมดูไม่สมเหตุสมผลเสียยิ่งกว่าให้องค์หญิงฉางเล่อไปร่วมงาน แต่สิ่งที่เยี่ยหลีเป็นกังวลก็คือ องค์หญิงฉางเล่อคงมิได้มีความเห็นอันใดกับการเดินทางมาของหลิ่วกุ้ยเฟย

ม่อซิวเหยานั่งลงข้างกายเยี่ยหลี พลางยื่นมือไปรินชาให้พวกเขาสองคนคนละถ้วย พลางเอ่ยถามว่า “ฉางเล่อทำไมหรือ”

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ท่านไม่รู้สึกหรอกหรือว่า งานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี ม่อจิ่งฉีไม่ไปร่วมงานด้วยตนเองก็ไม่มีอันใด แต่กลับส่งกุ้ยเฟยกับองค์หญิงมาแทน ไม่ดูแปลกๆ หรือ”

องค์หญิงไปเป็นทูตที่ต่างแคว้นก็ยังพอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่การให้กุ้ยเฟยนางหนึ่งไปเป็นทูตที่ต่างแคว้นเพียงลำพัง ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก

ม่อซิวเหยาวางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะ เหลือบตาขึ้นมองเยี่ยหลี “ม่อจิ่งฉี…คงคิดอยากให้แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์”

“แต่งงานสานสัมพันธ์?” เยี่ยหลีอึ้งไป รู้สึกตั้งตัวไม่ทัน “ให้ผู้ใดแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์?”

ม่อซิวเหยามองนางนิ่งๆ มิได้ตอบอันใด แล้วเยี่ยหลีก็คิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ท่านหมายถึงองค์หญิงฉางเล่อ?! แต่หนานจ้าวมิได้มีองค์ชาย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีตระกูลชนชั้นสูงใดที่เป็นหน้าเป็นตาพอถึงกับต้องให้องค์หญิงสายหลักไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์เลยนี่”

หนานจ้าวอ๋องไม่มีพระโอรส แม้กระทั่งน้องชายหลานชายที่ยังมีชีวิตอยู่ก็หามีสักคนไม่ ดังนั้นองค์หญิงอันซีถึงได้ขึ้นเป็นรัชทายาทหญิง หนานจ้าวอ๋องรุ่นถัดไปเป็นสตรี เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์หญิงจะไปแต่งงานสามสัมพันธ์กับผู้ใด

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “หนานจ้าวถึงแม้จะไม่มีองค์ชาย แต่ก็ยังมีหนานจ้าวอ๋อง”

“ท่านหมายถึง…” เยี่ยหลีถึงกับพูดไม่ออก และในที่สุดก็เข้าใจว่า เหตุใดยามองค์หญิงได้ยินคำถามของนาง สีหน้าถึงได้ดูหม่นแสงเช่นนั้น

ถึงแม้คราที่นางไปหนานจ้าวจะมิได้พบหนานจ้าวอ๋อง แต่ปีนี้องค์หญิงอันซีก็อายุยี่สิบห้าปีเข้าไปแล้ว หนานจ้าวอ๋องก็ดูเหมือนจะมีองค์หญิงอันซีเมื่ออายุได้ประมาณยี่สิบปีเช่นกัน เช่นนั้นก็หมายความว่า ยามนี้หนานจ้าวอ๋องก็น่าจะอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต หากเป็นเช่นนี้ เมื่อเทียบกับองค์หญิงฉางเล่อแล้ว ที่ท่านหญิงหรงหวาได้แต่งงานไปกับรัชทายาทแห่งเป่ยหรง ก็ถือว่าโชคดีแล้วสินะ

อีกเรื่องหนึ่ง หากทั้งสองแคว้นคิดอยากแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างกันจริง ก็ควรยื่นหนังสือแคว้นถึงกันก่อน ให้ขุนนางของทั้งสองแคว้นปรึกษาหารือกันแล้วค่อยจัดงานแต่งงาน จากนั้นให้อีกฝ่ายส่งคนมารับตัวเจ้าสาว เพื่อเป็นการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ที่ถูกต้องตามพิธีการ แต่นี่กลับให้คนพาองค์หญิงฉางเล่อเดินทางไปหนานจ้าวด้วยตนเอง ซึ่งก็ถือเป็นการมอบองค์หญิงฉางเล่อให้กับหนานจ้าวอ๋อง เช่นนี้ ต่อให้แต่งงานกับสำเร็จจริง แต่สำหรับคนหนานจ้าวแล้ว องค์หญิงอันซีก็คงมิได้มีเกียรติสูงส่งอันใดนัก ไม่รู้จริงๆ ว่า ม่อจิ่งฉีกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่

“ม่อจิ่งหลีลอบติดต่อกับธิดาเทพแห่งนานเจียงและชนเผ่าเล็กๆ จำนวนมากของหนานเจียง ส่วนองค์หญิงอันซี ด้วยเพราะคุณชายชิงเฉิน จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเรามาโดยตลอด ต้าฉู่ในยามนี้ ภายในก็วุ่นวาย ซ้ำภายนอกก็จ้องเล่นงาน ดูท่าม่อจิ่งฉีคงคิดอยากเป็นพันธมิตรกับหนานจ้าวอ๋อง” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“เป็นพันธมิตร?” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว

ม่อซิวเหยาอมยิ้ม ดึงนางเข้ามาก่อน วางคางลงบนศีรษะนางแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “หนานจ้าวอ๋องรุ่นนี้ มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถไม่ถึง ตอนนั้นทะเล่อทะล่าบุกเข้ามาในต้าฉู่จนโดนข้าตีกลับไปจนแคว้นเกือบล่มสลาย แต่กลับกัน องค์หญิงอันซีมีพรสวรรค์ด้านการปกครองอย่างชาญฉลาดให้เห็นมั้งแต่เล็กๆ อายุเพียงสิบสี่ปี ก็สามารถช่วยเหลือหนานจ้าวอ๋องบริหารแคว้นหนานจ้าวได้แล้ว หลายปีมานี้หากไม่ได้องค์หญิงอันซี หนานจ้าวคงไม่มีทางฟื้นคืนจากสงครามใหญ่ครั้งนั้นได้รวดเร็วเช่นนี้ ส่วนธิดาเทพแห่งหนานเจียง…ถึงแม้จะมิได้มีความสามารถในเรื่องการบริหารแคว้น แต่การวางเล่ห์เหลี่ยมและคนที่อยู่เบื้องหลังนางก็ถือว่าไม่เลว เดิมทีหนานจ้าวอ๋องใช้ธิดาเทพแห่งหนานเจียงรักษาสมดุลและกดองค์หญิงอันซีไว้ ได้ยินว่าหลายปีนี้ องค์หญิงอันซีกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ หนานจ้าวอ๋องที่ถูกบีบอยู่ตรงกลางก็คงลำบากไม่น้อย”

เยี่ยหลีเข้าใจในทันที ที่แท้นี่ก็คือเสด็จพ่อไร้ความสามารถที่อยู่ตรงกลางระหว่างการต่อสู้ของสตรีที่เก่งกาจสองคนนี่เอง

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ถึงอย่างไรหนานจ้าวอ๋องก็คือหนานจ้าวอ๋อง ถึงแม้ตัวเขาเองจะไร้ความสามารถ ของเพียงเขายังนั่งอยู่ในตำแหน่ง ก็ยังสามารถห้ามปรามองค์หญิงอันซีและซูม่านหลินได้ ติดก็ตรงที่เบื้องหลังองค์หญิงอันซีกับซูม่านหลิน ถือว่ายังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ ดังนั้นหนานจ้าวอ๋องเองจึงคิดอยากเป็นพันธมิตรกับม่อจิ่งฉีของต้าฉู่? ถ้าเช่นนั้น…ซูม่านหลินก็ควรลงจากตำแหน่งธิดาเทพ ถอยไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงอันใดนั่นได้แล้วกระมัง”

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “กฎเกณฑ์เป็นสิ่งที่คนตั้งขึ้น” แน่นอนว่ามิอาจฝ่าฝืน อย่างน้อยยามนี้ ซูม่านหลินก็ยังอยู่ในตำแหน่งธิดาเทพแห่งหนานเจียงได้สบายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอิสระและอำนาจมากเสียยิ่งกว่าแต่ก่อนอีกด้วย

เยี่ยหลีทอดถอนใจด้วยความจนใจ พูดไปพูดมาก็คือ เป็นการพนันกันเรื่องอำนาจระหว่างม่อจิ่งฉีกับหนานจ้าวอ๋อง ส่วนสิ่งเดียวที่สละมาใช้เดิมพันในเกมนี้ก็คือองค์หญิงฉางเล่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี่เอง

ม่อซิวเหยายื่นมือไปโอบเยี่ยหลีไว้ ดึงนางให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน อีกมือหนึ่งตบลงบนมือนางเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า “อาหลีปวดใจหรือ”

เยี่ยหลีถอนหายใจ “องค์หญิงฉางเล่อยังเด็กอยู่เลย”

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เชื้อพระวงศ์ไม่มีคำว่าเด็ก นางรู้ดีว่านางต้องทำอันใด”

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว พลิกตัวขึ้นไปมองเขา “องค์หญิงฉางเล่อขอกริชเล่มหนึ่งกับข้า”

ม่อซิวเหยานิ่งคิดเล็กน้อย “ให้นางไป”

เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนทิ้งตัวกลับเข้าสู่อ้อมแขนของม่อซิวเหยา นางมิอาจช่วยเหลือองค์หญิงฉางเล่อได้ หากมีแค่องค์หญิงฉางเล่อเพียงคนเดียว จับนางไปซ่อนตัวไว้ก็สิ้นเรื่อง แต่เบื้องหลังองค์หญิงฉางเล่อ ยังเกี่ยวพันกับตระกูลฮว่า เชื้อพระวงศ์ของต้าฉู่ ฮองเฮา และชะตาชีวิตของคนอีกจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งล้วนมิใช่สิ่งที่นางจะเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยได้ ดังนั้น ในเมื่อมิอาจช่วยนางได้ เช่นนั้น…ก็ให้ในสิ่งที่นางต้องการก็แล้วกัน

“ซิวเหยา ต่อไปข้าไม่อยากให้ลูกเราต้องแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับผู้อื่น” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเบาๆ ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของม่อซิวเหยา

ม่อซิวเหยาจับผมนางขึ้นเบาๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววแห่งความอบอุ่นใจ “ลูกของเราไม่จำเป็นต้องใช้การแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์อันใดทั้งนั้น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีก็ระบายยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ บุตรชายของพวกนางไม่จำเป็นต้องสละชีวิตการแต่งงานของตนเองเพื่อผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ยามนี้ เยี่ยหลีรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งที่ตอนนั้นม่อจิ่งฉีให้นางได้แต่งงานกับม่อซิวเหยา มิใช่เพียงเพราะตัวนางเอง แต่เพราะบุตรของนางด้วย

“ซิวเหยา ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ การได้พบท่านเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตข้า”

ม่อซิวเหยาก้มลงมองดวงตาคู่งามของนาง นัยน์ตามีอารมณ์ที่พลุ่งพล่านแอบซ่อนอยู่ ก่อนก้มลงจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากที่หอมกรุ่น พร้อมไล้ไปมาอย่างอบอุ่น “ไม่เคย ต่อไปจะต้องพูดเช่นนี้ทุกวัน”

วันต่อมา ไม่เพียงคณะของม่อซิวเหยาที่ยังไม่ออกเดินทางจากหย่งหลินเท่านั้น คณะของเสนาบดีหลิ่วเองก็ยังไม่ออกเดินทางเช่นกัน และได้บังเอิญมาพบกันเข้าที่ภัตตาคารที่ดีที่สุดภายในเมืองอีกครั้ง

เยี่ยหลีอดเลิกคิ้วเรียวขึ้นไม่ได้ กวาดตามองไปยังหลิ่วกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างองค์หญิงฉางเล่อ นางจับแขนม่อซิวเหยาพลางยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “กุ้ยเฟยกับองค์หญิงก็ออกมาเดินเล่นเช่นกันหรือ เหตุใดถึงไม่เห็นเสนาบดีหลิ่วมาด้วยเล่า”

หลิ่วกุ้ยเฟยมองทั้งสองที่ยืนเคียงคู่กันเงียบๆ เยี่ยหลีเกาะแขนข้างหนึ่งของม่อซิวเหยาอย่างดูเป็นธรรมชาติ ม่อซิวเหยาเองก็มิได้มีทีท่าจะขัดขืนแต่อย่างใด สายตาที่ก้มลงมองเยี่ยหลี ดูอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมองผู้ใดมาก่อน

แววตาหลิ่วกุ้ยเฟยนิ่งขรึมไปทันที เอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านพ่อไม่ค่อยสบาย ลำบากคุณหนูต้องเป็นกังวลแล้ว”

เมื่อวานที่เสนาบดีหลิ่วโดนรุมต่อว่าจนล้มลงไป เยี่ยหลีย่อมได้ยินมาแล้ว ต้องบอกก่อนว่าคนในตำหนักติ้งอ๋องที่ปากคอเราะร้ายที่สุด นอกจากเฟิ่งจือเหยาแล้วก็คือจั๋วจิ้งนี่เอง เฟิ่งจือเหยาใช้วาจาสารัดรูปแบบในการแสดงความดูแคลนอย่างเปิดเผย ส่วนจั๋วจิ้งถึงแม้ยามเป็นองครักษ์ลับจะสีหน้าเรียบเฉยจนเคยชิน แต่ในใจของเขากลับไม่นิ่งเฉยเลยแม้แต่น้อย เรื่องเจ้าคิดเจ้าแค้นคงไม่ต้องพูดถึง แต่คำพูดคำจาอันเจ็บแสบที่ออกมาจากปากเขานั้น ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดได้ง่ายๆ

เสนาบดีหลิ่วไปยั่วโมโหสองคนนี้พร้อมๆ กันเข้า ม่อซิวเหยาผู้เป็นนายก็ไม่เคยรับผิดชอบอบรมสั่งสอนลูกน้องอย่างเคร่งครัด เสนาบดีหลิ่วจึงไม่มีวิธีการอื่นที่จะถอยออกจากสถานการณ์นั้น นอกเสียจากแกล้งเป็นลมล้มลงไปเสีย หากจะบอกว่าไม่สบาย สู้บอกว่าอับอายไม่กล้าสู้หน้าผู้คนยังจะดีเสียกว่ากระมัง

“เช่นนี้นี่เอง” เยี่ยหลีไม่สนใจว่าเสนาบดีหลิ่วจะเป็นเช่นไร ดังนั้นจึงเพียงพยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ขอให้เสนาบดีหลิ่วหายป่วยในเร็ววัน พวกเราสามีภรรยายังต้องไปรับประทานอาหาร เช่นนั้นคงไม่รบกวนกุ้ยเฟยและองค์หญิงแล้ว ฉางเล่อ…ของขวัญของเจ้า ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว ไว้ข้าจะให้คนนำไปให้”

หลิ่วกุ้ยเฟยผู้นี้ แม้แต่คำเรียกแทนยังทำให้มีเรื่องจนได้ นางคิดว่าที่นางเรียกตนว่าคุณหนู นางก็จะมิใช่ชายาติ้งอ๋องแล้วอย่างนั้นหรือ

องค์หญิงฉางเล่อระบายยิ้มกว้าง “ขอบพระคุณพระชายา”

“ในเมื่อทั้งสองท่านก็ยังไม่ได้รับประทานข้าว เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเลยดีหรือไม่” หลิ่วกุ้ยเฟยก้าวขึ้นมา จ้องนิ่งไปยังม่อซิวเหยา

ม่อซิวเหยาทำเป็นมองไม่เห็น

คิ้วเรียวขององค์หญิงฉางเล่อขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ถึงแม้ที่นี่จะมิได้มีคนนอก แต่อย่างไรก็ถือว่าอยู่ข้างนอก สนมรักของเสด็จพ่อผู้นี้ ดูจะไม่ระวังเลยจริงๆ “หลิ่วกุ้ยเฟย ท่านอาติ้งอ๋องกับพระชายาจะไปรับประทานข้าวด้วยกัน พวกเราเป็นคนนอกจะตามไปรบกวนไปไย หากท่านอยากรับประทาน พวกเรากลับโรงเตี๊ยมกันเถิด”