บทที่ 37 ปีศาจปลาผู้ดุร้าย

บุหลันเคียงรัก

เทพีอูเจียงเคลื่อนไหวเร็วราวกับกระต่าย หลบสายฟ้าสองสายไปอย่างรวดเร็ว แต่ต่อมากลับมีสายฟ้านับหมื่นถาโถมใส่นางและกักนางไว้ภายในราวกับกรงขัง เทพราตรีและเหล่าเทพผู้ตรวจการก็ปรากฏตัวออกมา โซ่คล้องปีศาจมากมายพุ่งออกไปและรัดนางไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างแน่นหนา

 

 

เสียงเทพที่เปี่ยมไปด้วยพลังผู้นั้นดังออกมาอีกครั้ง “ท่านที่ถูกขังอยู่ยังไม่รีบหนีไปอีก! “

 

 

พูดแล้ว เทพใส่เกราะทองก็ปรากฏกายขึ้นบนเมฆ นั่นก็คือเทพเหลยเจ๋อหนึ่งในขุนพลแห่งแดนเทพ เขาปล่อยสายฟ้ามากมายออกมากักเทพีอูเจียงเอาไว้ แต่ว่านางกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัว โซ่คล้องปีศาจที่รัดร่างของนางอยู่กลับสะบัดไปมา เทพเหลยเจ๋อมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

 

 

“ไป” ฝูชางขี่ลมขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และเขาก็พบว่าเซ่าอี๋ที่อุ้มเสวียนอี่เอาไว้นั้นยังคงนิ่งอยู่ที่เดิม เขาจึงได้แต่ต้องย้อนกลับไปถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

เซ่าอี๋ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ปลาดุกอุยน้อยตัวหนักมาก ข้าเหาะไม่ขึ้น เจ้าเอาไป”

 

 

หนักรึ ฝูชางรับเอาเสวียนอี่มาไว้ในอก ใช้พลังเทพยกง้าวหนักนับพันนับหมื่นจิน [1] ยังไม่ใช่ปัญหา และกับร่างมนุษย์ของนางที่เบาราวกับขนนก ทำไมเขาถึงได้ว่าหนักกัน

 

 

เห็นตำหนักกำลังจะพังทลายลงมา เทพทั้งสองก็รีบขี่ลมออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นาน เสวียนอี่ก็เอาศีรษะออกมาจากบ่าของฝูชางแล้วถลึงตามองใส่เซ่าอี๋อย่างไม่สบอารมณ์ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ท่านจะอ่อนแอบอบบางเกินไปแล้ว ข้าหนักเสียที่ไหนกัน”

 

 

เวลาอย่างนี้นางยังจะมาแก้ตัวเรื่องไร้สาระอะไรอย่างนี้อีก! ฝูชางดันหัวของนางแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “อย่าขยับซี้ซั้ว”

 

 

เสวียนอี่ชักสีหน้าและไม่สนใจเขา

 

 

เมื่อครู่นี้บาดแผลของนางปริออกอีกแล้ว ฝูชางกำลังจะออกปากพูดก็ได้ยินเสียงของเทพีอูเจียงดังมาจากด้านหลัง พลังปีศาจมหาศาลที่น่ากลัวทะลักออกมา เทพทั้งสามหมุนตัวกลับไปมองก็เห็นว่าเทพีอูเจียง สาวน้อยงดงามคนนั้นกลับกลายเป็นร่างปีศาจเดิมของนางอีกครั้งแล้ว และกำลังสู้พัวพันอยู่กับเทพเหลยเจ๋ออย่างดุเดือด เทพราตรีและเหล่าเทพผู้ตรวจการที่ก่อนหน้านี้ใช้โซ่คล้องปีศาจรัดนางเอาไว้ต่างก็ถูกสะบัดออกไปไกล โซ่คล้องปีศาจกลายเป็นเศษซาก และแสงจากสายฟ้าของเทพเหลยเจ๋อเองก็เหมือนว่าจะไม่ส่งผลกับนางมากอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่รู้ทำไม นางยิ่งสู้ก็ยิ่งแกร่งขึ้น เทพเหลยเจ๋อถูกนางบีบจนต้องถอยหลังไปติดๆ ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล

 

 

ทันใดนั้น หนวดปีศาจปลาดุกของนางก็พุ่งมาทางพวกเขาอย่างไม่มีเค้าลางล่วงหน้า เสียงนางตะคอกดังขึ้นมาว่า “เอาสร้อยไข่มุกข้าคืนมา! “

 

 

แม้แต่ขุนพลแดนเทพยังสู้นางไม่ได้เลย! สีหน้าของเทพน้อยทั้งสามเปลี่ยนไป ฝูชางกับเซ่าอี๋เร่งพลังเทพถึงขีดสุด และรีบพุ่งไปทางประตูสวรรค์ทิศใต้ ปีศาจปลาดุกเองก็ไล่ตามมาด้านหลังติดๆ อย่างไม่ยอมแพ้

 

 

“เอาสร้อยคืนนางไป! ” ฝูชางรีบออกปาก แล้วแย่งสร้อยไข่มุกในมือของเสวียนอี่มา ออกแรงโยนออกไป สร้อยปะทะเข้ากับกระดูกสันหลังของปีศาจปลาดุกพอดี ทำให้นางผ่อนแรงไล่ตามลงไป

 

 

และในตอนนี้เอง สัตว์พาหนะของฝูชาง ราชสีห์เก้าเศียรปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางชั้นเมฆ บนหลังของมันมีเทพนั่งอยู่สองคนนั้นก็คือกู่ถิงและจื่อซี ดูท่าทางแล้วพวกเขาน่าจะเพิ่งมาจากประตูสวรรค์ทิศใต้ เห็นเพื่อร่วมสำนักทั้งสามหนีอย่างยากลำบาก และมีเซ่าอี๋อยู่ในนั้นด้วย กู่ถิงก็ชะงักไปแล้วรีบยื่นมือไปดึงพวกเขาขึ้นมาบนหลังของราชสีห์เก้าเศียร พลางกล่าวอย่างร้อนรนว่า

 

 

“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่! ยังดีว่าตอนที่ข้ากลับไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ไปเจอกับเทพเหลยเจ๋อกับลูกน้องกำลังมาเปลี่ยนเวรเข้าพอดี…”

 

 

ยังพูดไม่ทันจบก็เห็นหางของปีศาจปลาดุกสะบัดมา พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้แค่คืบ นางอ้าปากกว้างกัดลงไปที่ราชสีห์เก้าเศียร ได้ยินเสียงดัง “กึก” ฟันที่แหลมคมและหนาแน่นของปีศาจปลาดุกกัดลงไปบนแผ่นหินหยกขนาดใหญ่ที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏออกมาจากกลางอากาศ พริบตาเดียวฟันนางก็หักไปหลายซี่ เจ็บปวดจนนางร้องคำรามโหยหวนออกมา

 

 

จากนั้นแสงที่เยือกเย็นหลายสายก็พุ่งโจมตีไปที่สันหลังของปีศาจปลาดุกทับซ้อนกันไปมา จนทำให้กระดูกสันหลังของนางติดกัน นางร้องคำรามออกมาอีกครั้ง แล้วร่างปีศาจขนาดใหญ่ของนางก็สลายไปพร้อมแปลงกลับมาเป็นร่างมนุษย์ใหม่ ร่างของนางหมอบลงไปที่พื้นหินหยกอย่างดูไม่ได้ ที่หลังของนางมีปิ่นปักผมสี่อันปักเอาไว้จนทำให้นางขยับตัวไม่ได้

 

 

ราชสีห์เก้าเศียรตกใจจนตัวอ่อน ไม่ว่าฝูชางจะเรียกมันอย่างไร ดวงตาทั้งสิบแปดดวงของมันก็ยังคงมีน้ำตาไหลออกมา พร้อมทั้งตัวแข็งไม่กล้าขยับ

 

 

เทพเหลยเจ๋อที่ไล่ตามมาอย่างยากลำบากเห็นภาพตรงหน้านี้เข้าก็ถอนหายใจออกมา เขากุมมือแล้วหันไปคารวะให้กับบนฟ้าแล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “ที่แท้มหาเทพไป๋เจ๋อก็มาถึงแล้ว หากว่าไม่ได้มหาเทพลงมือ ผลลัพธ์ไม่อยากจะคิดเลย”

 

 

ตัวการสำคัญมาแล้ว! บรรดาเทพน้อยต่างก็เงยหน้ามองไปด้วยสีหน้าตำหนิ แม้แต่กู่ถิงเองยังพลอยมีสีหน้าไม่ดีไปด้วย สถานการณ์เมื่อครู่นี้เพียงพอที่จะทำให้พวกเขานอนหลับไม่ดีไปได้ถึงหลายร้อยปีเลยทีเดียว

 

 

ไม่นาน เงาร่างของมหาเทพไป๋เจ๋อก็ปรากฏตัวเข้ามาในระยะสายตา ครั้งนี้เขามาเองคนเดียว เสื้อผ้าเป็นระเบียบ ท่าทีน่าเคารพ ต่างกับครั้งที่สู้กับเทพเฟยเหลียนราวฟ้ากับดิน

 

 

เขาไปหยุดอยู่ใกล้ๆ กับราชสีห์เก้าเศียรก่อน พอเห็นพวกกู่ถิงไม่เป็นอะไรก็ถอนหายใจออกมา และเมื่อเห็นเหล่าลูกศิษย์ต่างก็ถลึงตามองมาที่เขา ทั้งไม่ยอมคารวะเขาอีก มหาเทพไป๋เจ๋อที่ชอบเห็นลูกศิษย์เป็นผู้ติดตามก็อดที่จะรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาไม่ได้

 

 

เขาทำหน้าด้านไม่ไปสนใจเหล่าลูกศิษย์ก่อน เขายกแขนขึ้น สร้อยไข่มุกสีขาวก็ลอยเข้ามาในมือของเขา เขาก้มหน้าลงไปมองอยู่นาน แล้วจึงถอนหายใจพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลย เดิมเป็นเรื่องดีแท้ๆ แต่วันนี้กลับมาถึงขั้นนี้เสียได้”

 

 

เขาลอยไปหน้าเทพีอูเจียงช้าๆ นางไม่กล่าวอะไรออกมา แต่รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเงยหน้าขึ้น ตาข้างซ้ายยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด นางใช้ตาข้างขวาจ้องไปที่เขาเขม็ง ในแววตาเต็มไปด้วยความหยามเหยียด

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อมีท่าทีคล้ายเศร้าเสียใจ แต่ก็คล้ายเมินเฉย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมาเสียงต่ำว่า “ตอนนั้นเปิ่นจั้ว [2] เห็นชะตาฟ้าว่าเทพแห่งแม่น้ำอูเจียงจะมีบุตรสาวหนึ่งคน แต่ว่านางกลับมาเกิดผิดที่ ไปเกิดในครรภ์ของปีศาจและกลายเป็นน้องสาวของเจ้าไป น้องสาวของเจ้าก็เป็นแค่ร่างปลอมเท่านั้น มีชะตากำหนดว่าจะต้องดับสูญตอนอายุห้าพันปี เป็นเปิ่นจั้วที่ใช้สร้อยไข่มุกนี้ทำลายร่างปีศาจของนางตอนที่นางอายุได้ห้าพันปี ทำให้นางได้กลับไปเกิดในครรภ์เทพ ข้าจึงได้ทิ้งสร้อยไข่มุกเส้นนี้เอาไว้ รอให้บุตรสาวของเทพแห่งแม่น้ำอูเจียงรู้ความ พวกเจ้าสองพี่น้องจะได้พบกันใหม่ น่าเสียดาย…เทพแม่น้ำทั้งตระกูลต้องมาดับสูญไปด้วยมือของเจ้า”

 

 

เทพีอูเจียงที่ผ่านการต่อสู้มา ผมเผ้าหลุดลุ่ย ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยรอยเลือด นางหัวเราะหึๆ แล้วกล่าวว่า “น้องสาวอ่อนแอกระทั่งจะออกหากินยังทำไม่ได้ ทุกอย่างล้วนแต่อาศัยข้าทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนข้าก็แข็งแกร่งกว่าน้องสาวไม่รู้กี่เท่า อาศัยอะไรที่เจ้าพูดมาประโยคเดียวจะทำให้นางกลับกลายเป็นเทพธิดาไปได้ ส่วนข้ายังคงต้องมุดหัวอยู่ใต้โคลนของแม่น้ำอูแห่งนี้และเป็นปีศาจที่ไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ตาแก่ไป๋เจ๋อ หรือว่าเจ้าคงไม่ใช่มีตาแต่ไร้แวว มองไม่ออกว่าข้าเก่งกาจกว่าน้องสาวตั้งไม่รู้กี่เท่า?! “

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อกล่าวเรียบๆ ว่า “เก่งกาจหรือไม่ เจ้าก็ยังเป็นปีศาจ เจ้าแอบอ้างเป็นเทพถือเป็นโทษหนัก ซ้ำกินเหล่าเทพเป็นอาหาร โทษยิ่งละเว้นไม่ได้”

 

 

นางกล่าวเสียงน่ากลัวว่า “เจ้าพูดมาเสียมากมายอย่างนี้ ก็แค่อยากจะฆ่าข้าเท่านั้น! เจ้าฆ่าข้าซะเถอะ! ข้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่มาตั้งนานแล้ว! ก่อนตายได้กินเทพไปมากขนาดนั้นก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว! “

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อมองไปที่นางอย่างครุ่นคิด มือทั้งสองไพล่ไปด้านหลังแล้วกล่าวว่า “หลายปีมานี้ เจ้าจับเหล่าเทพที่ผ่านไปมา เทพป่าเขาเองก็ถูกเจ้าบังคับจนไม่กล้าทำอะไร น้ำในแม่น้ำอูเอ่อล้นทุกปี ทำให้เหล่ามนุษย์ตายไปนับไม่ถ้วน ตอนนี้เจ้า…กลับมาพูดกับเปิ่นจั้วว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

สีหน้าของเทพีอูเจียงเต็มไปด้วยความดูถูก นางแค่นยิ้มเย็น “นับตั้งแต่ที่เจ้าพูดว่าน้องสาวข้าควรจะเป็นเทพ ข้าก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ตำแหน่งเทพเดิมควรจะให้ผู้แข็งแกร่งได้เป็น นางอ่อนแอไร้ความสามารถ ทำไมถึงสามารถเป็นเทพได้! ในโลกนี้มันมีเหตุผลอย่างนี้ที่ไหนกัน! เจ้ามันชี้ผิดคนชัดๆ แต่กลับไม่ยอมรับ! “

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อหัวเราะออกมา “หลายพันปีก่อนเทพแห่งแม่น้ำอูเจียงเคยส่งเทียบเชิญงานแต่งมาให้ข้า น่าจะเป็นงานแต่งของบุตรสาวแห่งเทพแม่น้ำอูเจียงกับบุตรชายคนที่แปดของเทพมังกรทะเลประจิม น่าเสียดายที่ตอนนั้นเปิ่นจั้วงานยุ่ง ทำให้ไปร่วมงานไม่ได้ ครั้งนี้ส่งเหล่าลูกศิษย์มาที่โลกเบื้องล่างเพื่อเอาสร้อยไข่มุกกลับไป หนึ่งก็เพราะจะให้พวกเขาได้เรียนรู้สรรพสัตว์สรรพสิ่งของโลกเบื้องล่าง สองก็เพื่อมาเยี่ยมเยียนพวกเจ้าสองพี่น้อง คิดไม่ถึงว่างานแต่งสุดท้ายก็ไม่ได้จัด ซ้ำยังกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ เทพมังกรทะเลประจิมมีบุตรสาวบุตรชายมากมาย การที่องค์ชายแปดไม่ได้กลับไปนานหลายปีก็ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร นี่ถึงได้ทำให้เจ้าย่ามใจมาได้นานขนาดนี้”

 

 

 

 

 

 

[1] จิน หน่วยวัดน้ำหนักของจีน โดย 1 จินมีค่าเท่ากับ 500 กรัม

 

 

[2] เปิ่นจั้ว : เป็นคำที่ใช้เรียกแทนตัวเองของเทพ ผู้ที่มีอำนาจมากและบุคคลที่ยิ่งใหญ่