ส่วนที่ 1 ตอนที่ 31 งานชุมนุมปักบุปผา (12)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เนื่องจากการประลองรอบสองคัดออกอีกกว่าครึ่ง สุดท้ายเหลือแค่สิบห้าคน ดังนั้นสลากวันนี้จึงมีใบหนึ่งว่างเปล่า

 

คนที่จับได้สลากว่างเปล่า จะได้เข้าสู่สนามประลองสุดท้ายไปก่อน ไม่ต้องร่วมการประลองอีกครั้งในวันนี้ ดังนั้นทุกคนล้วนเรียกว่าสลากโชคดี หมายความว่าจะได้พักมากกว่าคนอื่นหนึ่งวัน

 

ตอนที่ฉู่เหล่ยส่งกล่องแบนที่มีสลากในนั้นลงไป ทุกคนชะเง้อรอคอย ดูว่าผู้ใดจะจับได้กระดาษเปล่าที่โชคดีใบนั้นไป

 

เจ้าหุบเขาหรงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงคลี่กระดาษออก เสียงกังวานก้องว่า “รายงานเลขแต่ละคนมา”

 

บรรดาศิษย์ทีเหลืออีกสิบห้าคนพากันคลี่กระดาษที่ลงครั่งไว้ออก พลันมีคนขมวดคิ้ว มีคนถอนหายใจ พลันมีคน “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง ทุกคนมองไปพร้อมกัน เห็นกระดาษในมืออูถงยกขึ้นสูง ราวยิ้มราวไม่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าได้สลากเปล่า”

 

เสียงเอะอะดังขึ้นโดยรอบ เขาคลี่กระดาษว่างเปล่าใบนั้นออกท่ามกลางสายตาทุกคน ประสานมือไปรอบทิศอย่างนอบน้อม ส่งไปตรงหน้าเจ้าหุบเขาหรงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหุบเขาหรง เชิญตรวจดู”

 

ทุกคนเห็นว่าผู้ที่จับได้สลากเปล่าถึงกับเป็นเขา กล่าวว่าไม่อิจฉาก็คงไม่ได้ คนผู้นี้ช่างเป็นม้ามืดในงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้จริงๆ เมื่อก่อนแต่ไรมาก็ไม่รู้ว่ามีคนผู้นี้ ผู้ใดจะคิดว่าในการประลองสองครั้งในรอบก่อนเขาก็ผ่านมาง่ายดาย การประลองครั้งนี้ก็จับได้สลากเปล่าอีก เป็นสวรรค์เมตตาเขาเป็นพิเศษจริง

 

เจ้าหุบเขาหรงแม้ว่าสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่สายตาไม่อาจปิดบังความยินดีไว้ได้ รับกระดาษใบนั้นไป ค่อยๆ กล่าวว่า “เจ้าถอยกลับไปได้”

 

อูถงยิ้มร่า ได้ใจอย่างยิ่งยวด หันกายจะจากไปเหมือนกับหลายครั้งก่อน ราวกับเขาไม่สนใจการประลองของคู่อื่นแม้แต่น้อย กลับไปที่พักตนเองทันที

 

เดินไปได้กลางทาง เขาก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาหลิงหลงมองมา ตามคาด นางยังคงใช้สายตาสังหารผู้คนจ้องมองเขา เขายกมุมปาก ยักคิ้ว ส่งรอยยิ้มเยาะให้นาง พลันเห็นปฏิกิริยาดังคาด นางหน้าแดง กำกระบี่ด้ามนั้นที่เอวแน่น ดูท่าแล้วหากคนข้างๆ ไม่ดึงนางไว้ นางคงกระโดดออกมาแล้ว

 

น่าสนใจ น่าสนใจจริง

 

อูถงหัวเราะดังลั่น จากไปอย่างสบายอารมณ์ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน

 

“หลิงหลง! เจ้าใจเย็นหน่อยได้ไหม!” จงหมิ่นเหยียนดึงนางไว้เป็นนาน กว่าจะทำให้นางหยุดได้ ตนเองก็เหนื่อยจนหอบ

 

หลิงหลงเงยหน้ามองเขาเย็นชา ดึงแขนกลับ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น”

 

จงหมิ่นเหยียนพลันไร้วาจา หน้าแดงก่ำ อวี่ซือเฟิ่งกลัวเขาสองคนมีเรื่องกันหนัก กำลังจะเข้าไปเตือน กลับได้ยินจงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “เป็นคุณหนูใหญ่ที่ปรนนิบัติยากเสียจริง โลกนี้นอกจากข้าแล้ว คิดว่าไม่มีผู้ใดทนรับเจ้าได้แล้ว”

 

หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “ผู้ใดให้เจ้าทนรับข้า! ข้าเป็นคุณหนูใหญ่ของข้า เจ้าก็เป็นจอมยุทธ์จงของเจ้าไป ผู้ใดอยากให้เจ้ามาสนใจข้ากัน!”

 

พูดอยู่นั่นขอบตาก็แดงอีก

 

จงหมิ่นเหยียนกล่าวอ่อนโยนว่า “แต่ข้าชอบทนรับเจ้า หาเรื่องเองทนรับเอง น่าแปลกมาก”

 

หลิงหลงส่งเสียงชิ หันหลังให้ เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “กล่าววาจาราวไร้ลิ้น รังเกียจเจ้าเช่นนี้จริง!”

 

จงหมิ่นเหยียนยิ้ม โอบบ่านางไว้ ตบศีรษะเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ยังจะเอาเรื่องข้าอีก? หรือว่าศิษย์พี่หกเคยโกรธเจ้าจริงๆ หรือ หรือว่าวาจาศิษย์พี่หกไม่ได้หวังดีกับเจ้า”

 

หลิงหลงค้อนเขาขวับ มุมปากเริ่มมีรอยยิ้ม หยิกไปที่มือเขาทีหนึ่ง ฉอเลาะว่า “อันใดก็ไม่ดี! เจ้าหกน่าตาย! อย่างไรข้าไม่ใช่เด็กน้อยที่ให้เจ้าต้องมาทนนะ!”

 

จงหมิ่นเหยียนรีบกล่าวว่า “เหมือน! ไหนเลยไม่เหมือน! นิ่งเงียบไม่ตอบ ข้ากล่าวสิบประโยค เจ้าตอบไม่ถึงครึ่งประโยค เช่นนั้นจึงน่ารังเกียจ! เอาละ ครั้งนี้เป็นศิษย์พี่ผิดไปแล้ว เจ้าอย่าได้งอนข้าเอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกเลยนะ”

 

“ผู้ใดร้องไห้ขี้มูกโป่งกัน!” นางเผยรอยยิ้มบาง หางตามีหยาดน้ำตา ใบหน้ากลับเผยยิ้มกว้าง ราวกับดอกไม้รับแสงตะวัน งดงามสะดุดตา นางปัดจมูกเขา กล่าวว่า “เจ้าสิร้องไห้ขี้มูกโป่ง!”

 

จงหมิ่นเหยียนเห็นว่าในที่สุดก็หยอกจนคุณหนูผู้นี้ยิ้มได้แล้ว ในใจก็แอบโล่งอก พลอยเบิกบานใจตามไปด้วย รั้งนางไว้พูดนั่นนี่ไม่หยุด ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงเขาสองคนคุยกันดังที่สุดและมากที่สุด

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นเขาสองคนในที่สุดก็ปลอดภัย ก็หันกลับไปยิ้มกับเสวียนจีกล่าวว่า “พวกเขาสองคน ราวกับ เด็กน้อย”

 

กล่าวจบ ก็ไม่เห็นเสวียนจีตอบ เห็นเพียงสีหน้านางซีดเผือด แพขนตายาวหลุบลง สั่นไหวเล็กน้อย สองมือราวกับเอาแต่บิดชายเสื้อ เห็นชัดว่าจิตใจไม่สงบ

 

เขาเป็นคนฉลาดระดับไหน เข้าใจได้แปดเก้าส่วนทันที เพียงแค่แต่ไรมาไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้ พลันเงียบลง อึ้งอยู่กับที่ ในใจบัดเดี๋ยวหอมหวาน บัดเดี๋ยวเปรี้ยว บัดเดี๋ยวเฝื่อนขม ไม่รู้ว่ารสชาติใดกัน

 

นิ่งเป็นนานเขาจึงได้กระซิบว่า “เสวียนจี ไม่เบิกบานใจ?”

 

เสวียนจีกะพริบตาปริบ ส่ายหน้า “เปล่า…ข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของศิษย์พี่หกกับหลิงหลงดีจริง”

 

อวี่ซือเฟิ่งยกมุมปาก “หมิ่นเหยียน…เป็นคน คนดี ข้าเอง ก็ชอบเขามาก”

 

เสวียนจีสะดุ้ง กัดริมฝีปากไม่พูดอันใดอีก

 

ในใจเขาพลันถอนหายใจ ยกมือคิดจะลูบผมยาวของนาง แต่ยกไปได้ไม่ทันถึง ก็ลังเลชักมือกลับ

 

“ยังมีอีก คนดียิ่งกว่า” เขากระซิบแผ่วเบา “โลกนี้ คนดี มีมากมาย”

 

เสวียนจีเหลือบตามอง ดวงตากลมใสกระจ่างจ้องมองเขาราวกับกำลังถาม ยังมีที่ดีกว่าอีกหรือ ยังมีคนที่ดียิ่งกว่าศิษย์พี่หกอีกหรือ

 

มีสิ! เขาเกือบหลุดเสียงออกไป อยากถามนาง ในใจนาง ตนเป็นอย่างไร เป็นเพื่อนสนิทแท้จริง หรือว่าเป็นเด็กโง่เล่นงูประหลาดที่สวมหน้ากากคนหนึ่ง หรือว่านางจะชอบเขาบ้างไหม

 

แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่ยิ้ม เบนสายตาออกอย่างยากลำบาก กล่าวเบาๆ ว่า “วันหน้า เจ้าโตขึ้น อีกนิด ก็จะรู้”

 

การประลองวันนี้ ทั้งสี่คนไม่ได้ตั้งใจชม จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงเอาแต่คุยเล่น อวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีเอาแต่นิ่งคิดเรื่องในใจ การประลองสุดท้ายจบลง ฝูงชนกลับไป พวกเขาจึงได้รู้ตัว ค่อยเดินกลับไปที่พักตนเอง

 

เสวียนจีเดินไปได้ครึ่งทาง ก็พลันได้ยินเสียงคนเรียกนาง “หนูน้อย! เหตุใดจึงไม่มีกระจิตกระใจ”

 

นางตกใจ รีบหันกลับไป เห็นตงฟางชิงฉีเผยรอยยิ้มบางยืนอยู่ กวักมือเรียกนาง

 

นางพลันคิดถึงภาพที่ได้เห็นเมื่อตอนบ่ายวันนั้น นางนิ่งอึ้งไปทันที เป็นนานกว่าจะกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าเกาะตงฟาง…”

 

“เจ้าเกาะอันใด! เรียกข้าท่านอา!” เขาเดินมาขยี้ผมนางอย่างเอ็นดู ยิ้มกล่าวว่า “เหตุใดมาอยู่ที่นี่คนเดียว เมื่อครู่เจ้าหอฉู่ยังถามข้าถึงเจ้าอยู่ ราวกับกำลังมีเรื่องหาเจ้า”

 

ท่านอาหงหานาง? เสวียนจีกล่าวว่า “ข้า…ข้าชมการประลองเสร็จ กำลังจะกลับ”

 

ตงฟางชิงฉีพอเอ่ยถึงการประลอง แววตาก็ส่องประกายวาบ “เป็นอย่างไรบ้าง เห็นเพียนเพียนกับอวี้หนิงของเราไหม คงไม่ใช่มองตาค้างหรอกนะ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

 

นั่นไม่ได้เห็น…แต่นางไม่กล้าพูด ได้แต่รับคำไปอย่างนั้น พลันคิดอันใดได้ ลองถามดูว่า “ท่านอาตงฟาง ภรรยาท่านเล่า”

 

ตงฟางชิงฉียิ้มกล่าวว่า “นางนำศิษย์บาดเจ็บไปรักษา ทำไม เจ้าเด็กน้อย เจ้าอยากพบภรรยาข้า?”

 

เห็นท่าทางเขา ดูแล้วคงไม่รู้

 

เสวียนจีเม้มปาก ลังเลกล่าวว่า “คือ คือว่า ท่านอา ข้าได้ยินหลิงหลงว่า ภรรยาท่านอาตงฟางเป็นสาวงามอันดับหนึ่งใต้หล้า…”

 

แม้ว่าได้ยินคำชมมามาก แต่วาจาจากปากเด็กน้อย เขาย่อมรู้สึกภาคภูมิใจยิ่ง กล่าวอ่อนโยนว่า “คืนนี้ไปที่ที่พักข้ากินข้าวกัน ภรรยาข้านำของกินเล่นจากเกาะฝูอวี้มาบ้างพอดี เจ้าจะได้ลองชิม ใช่แล้ว ตามหลิงหลง หมิ่นเหยียน ซือเฟิ่งมาด้วย!”

 

“อ๊ะ…ไม่ ไม่ต้อง” นางรีบปฏิเสธ “เหมือนว่าคืนนี้ท่านพ่อมีธุระ ครั้งหน้าข้ากับพวกหลิงหลงจะไปเที่ยวเกาะฝูอวี้แล้วกัน ข้ายังไม่เคยไปเลย”

 

“เช่นนั้นก็ดี ตกลงกันแล้วนะ” ตงฟางชิงฉีคล้ายไม่เห็นความผิดปกติของนางแม้แต่น้อย ขยี้หัวนางอีกทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ข้ายังมีงานอีก ไปก่อนนะ เจ้ารีบกลับไปเถอะ เห็นเจ้าหอฉู่มีเรื่องต้องการพบเจ้า”

 

เสวียนจีมองตามแผ่นหลังเขาไปเงียบๆ

 

ชายน่าสงสารผู้นี้ เป็นวีรบุรุษมาชั่วชีวิต กลับต้องมาเจออุปสรรคบนเส้นทางความรัก

 

เห็นแผ่นหลังตรงของเขาเดินไป ในใจก็รู้สึกเศร้า ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอันใด