เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ หมู่บ้านด้านล่างเทือกเขาฮาเชียสจะเปิดตลาดตั้งแต่เช้าตรู่ เจ้าของร้านขายขนมปังรีบกางแผงที่ทำจากไม้ แล้วเอาขนมปังที่ตั้งใจอบตั้งแต่เช้ามืดมากองไว้บนแผงจนเต็ม ตอนที่กำลังจะจัดแจงขนมปังที่นำมาเสร็จ หญิงสาวผมสีน้ำตาลก็เห็นขนมปังแล้วพูดขึ้น
“เอาขนมปังกลมสีดำสิบอัน ขนมปังยาวสีขาวสิบอัน แล้วก็ขนมปังไส้ผลไม้อบแห้งอีกสามก้อนค่ะ”
ได้ยินดังนั้น เจ้าของร้านก็ยิ้มหน้าบาน มีลูกค้ามาซื้อเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เปิดตลาดวันแรก ดูเหมือนวันนี้จะเริ่มต้นได้ดี เขาหยิบถุงที่ทำจากผ้าเก่าๆ ขึ้นมา แล้วใส่ขนมปังที่ลูกค้าสั่งลงไปทีละชิ้นๆ พลางชวนลูกค้าคุย
“ดูท่าคนในครอบครัวเยอะเลยนะเนี่ย? ถึงได้ซื้อไปมากมายเพียงนี้”
“ไม่เลยค่ะ ไม่ได้คนเยอะ ข้าแค่ได้ยินมาว่าระหว่างข้ามเขาจะไม่มีหมู่บ้านเลยน่ะค่ะ”
เจ้าของร้านกระโดดโหยงแล้วโบกมือด้วยความตกใจ
“โอ๊ย นั่นหมายความว่าอย่างไร จะข้ามเทือกเขาฮาเชียสหรือ นั่นเป็นสถานที่ที่อันตรายขนาดไหนไม่รู้หรือ นั่นเป็นเทือกเขาที่ผู้หญิงคนเดียวข้ามไปไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ”
“ข้าไม่ได้ไปคนเดียวแต่มีเพื่อนร่วมทางค่ะ”
“เพื่อนร่วมทาง?”
เมื่อเจ้าของร้านหันหน้าไปก็พบชายหนุ่มผิวขาวซีดที่ดูราวกับจะตัวหักเพียงแค่ถูกทุบเพียงทีเดียวอยู่ไม่ไกลออกไป ใบหน้าของเจ้าของร้านที่เห็นชายคนนั้นพลันหมองหม่น
“หมายความว่าเจ้าจะข้ามเทือกเขาฮาเชียสกันไปสองคนอย่างนั้นหรือ ไม่เคยได้ยินข่าวทางฝั่งนี้บ้างหรือไร ถึงมันจะเป็นทางลัดที่ใช้ข้ามไปที่ราบฝั่งตรงข้ามได้ในอดีต แต่สามปีก่อนมีปีศาจปรากฏตัวขึ้นและอาศัยอยู่ในฮาเชียสแล้ว ดังนั้นการเดินข้ามเทือกเขานั่นจึงกลายเป็นการเอาชีวิตไปเสี่ยง ถึงไม่ข้ามเขาแต่ทางเดินกลับก็อันตรายเหมือนกัน บางทีก็มีลูกปีศาจลงมาถึงด้านล่างเขา เลิกคิดที่จะข้ามเขาเถิด แต่หากจะต้องไปจริงๆ ให้หาคนที่จะกลับไปบนเขาแล้วไปด้วยกัน”
สิ้นคำ เจ้าของร้านก็มองชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอแล้วเดาะลิ้นจิ๊จ๊ะ
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไรกัน แต่อย่างไรหนุ่มสาวก็ควรเอาของกินไปให้มากหน่อย ข้าแถมขนมปังแยมเข้าไปให้ด้วยสองสามชิ้นนะ เฮ้อ ข้ากังวลจริงๆ ว่าจะยกดาบหนักๆ ที่เอวขึ้นมาได้หรือเปล่า เอาเถอะ เดินทางปลอดภัยนะ”
หญิงสาวที่รับถุงผ้าจากเจ้าของร้านยิ้มออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น ยื่นเงินให้ กล่าวขอบคุณแล้วหมุนตัวจากไป
“เดี๋ยวก่อน นี่คนที่ไหนกันทำไมถึงไม่รู้ว่าทางฝั่งนี้มีปีศาจอาศัยอยู่”
เจ้าของร้านมองเทือกเขาสูงพลางคิดอย่างภูมิใจว่าวันนี้ตนได้ช่วยสองชีวิตเอาไว้แล้ว แต่ตอนที่เขาหันหน้าไปกลับต้องกังขากับสายตาของตนเอง
“เอ๋…?”
เห็นได้ชัดว่าคนที่ซื้อขนมปังของเขาไปเมื่อกี้เป็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลกับชายหนุ่มที่ดูแคระแกร็นมาก แต่คนที่ถือถุงผ้าที่เขาใส่ขนมปังลงไปให้เมื่อครู่ตรงนั้น กลับเป็นหญิงสาวผมสีบลอนด์กับชายหนุ่มรูปร่างใหญ่มาก เจ้าของร้านกะพริบตาด้วยความตกใจ ทันใดนั้นภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงหญิงสาวกับชายหนุ่มที่ซื้อขนมปังตอนแรกอีกครั้ง
“ข้ามองผิดหรือ?”
เป็นไปไม่ได้ที่จะมองคนที่ต่างกันถึงเพียงนั้นผิดไป คงเป็นเขาที่จำถุงผ้าผิดไปเอง หลังจากมองคนสองคนที่ห่างออกไป เจ้าของร้านก็ต้อนรับลูกค้าคนใหม่ที่เข้ามา และลืมความสงสัยเกี่ยวกับลูกค้าคนแรกไป
***
“น่าตื่นเต้นทุกครั้งที่ใช้เลยนะ”
ลีน่ามองสิ่งที่พันรอบข้อมือของตนเอง มองแวบๆ มันดูเหมือนผ้าที่ถูกผูกไว้ตรงข้อมือ แต่อันที่จริงนี่คือหนังของปีศาจ ปีศาจที่จับมาได้เมื่อปีที่แล้ว มีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์มาก นั่นคือการทำให้รูปโฉมของตนเองดูแตกต่างจากเดิมในทุกครั้ง
พวกเขาลำบากลำบนมากกว่าจะจับมันมาได้ เพราะพอละสายตาไปแวบเดียวก็เห็นมันเป็นหมี เป็นงู เป็นกิ่งไม้ กว่าจะได้เห็นร่างจริงก็เป็นหลังจากที่มันตายไปแล้ว
หลังจากจับปีศาจได้ ราธบันก็พินิจพิจารณาดูครู่หนึ่ง เขาถลกหนังส่วนหนึ่งของมันออกมาก่อนที่จะฝังศพ จากนั้นนำมันมาพันไว้ที่มือ ในตอนนั้น ดาบที่ลีน่าถืออยู่ก็ร่วงลงไปทันที
ราธบันที่เคยอยู่ตรงหน้าหายไปที่ไหนสักแห่งแล้ว กลับมีเด็กน้อยที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกแทน เมื่อเห็นท่าทางตกใจของนาง เด็กน้อยก็คลายหนังที่พันมือออก ทันใดนั้น ที่ตรงนั้นก็มีราธบันยืนอยู่อีกครั้ง
“อาร์ติแฟกต์ในวิหารหลวงเคยก็มีของคล้ายๆ แบบนี้อยู่ ข้าลองทดสอบดูเผื่อไว้ โชคดีที่มันเหมือนจะได้ผล”
แน่นอนว่ามันไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อใดที่มองที่อื่นไปชั่วขณะ พอหันกลับมามองอีกครั้งก็อาจจะเปลี่ยนเป็นรูปโฉมอื่นไปแล้ว บางคราวยังเปลี่ยนเป็นรูปโฉมที่ไม่ใช่คนด้วย แต่พอได้ปรับแก้อีกหลายที่ เจ้าสิ่งนี้ก็ค่อยๆ แสดงความสามารถที่มีความเสถียรภาพมากขึ้น
หลังจากเข้าไปในถนนบนภูเขาที่ไม่มีใครผ่านมาอีกแล้ว ลีน่าถึงได้คลายมันออก ราธบันที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กลับคืนสู่รูปโฉมเดิมด้วยในทันที
“ข้าซื้อขนมปังมาเยอะมาก คิดว่าน่าจะพอจนกว่าพวกเราจะข้ามเขา ราธบัน เนยล่ะ?”
“อยู่นี่ขอรับ”
ลีน่านั่งลงที่ทุ่งหญ้าแถวนั้น แกะของที่ตนกับราธบันซื้อมาจากตลาด แล้วเริ่มจัดใส่กระเป๋าอีกครั้ง
“อันนี้เอาใส่ในกระเป๋าข้า…”
“ไม่ขอรับ เอาให้ข้า”
“งั้นอันนี้ใส่กระเป๋าข้า…”
“อันนั้นเดี๋ยวข้าก็จะถือไปให้ด้วย”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลีน่าก็เท้าคางมองกระเป๋าสองใบที่วางอยู่ตรงหน้า กระเป๋าใบใหญ่ของราธอัดแน่นจนอ้วนราวกับจะแตกออกมาเสียเดี๋ยวนี้ ในขณะที่กระเป๋าใบเล็กของนางวางเปล่าจนทำให้นึกสงสัยว่ามีของใส่ลงไปจริงไหม
นางทำตามที่ราธบันขอ แล้วก็เป็นแบบนี้อีกแล้ว
“เฮ้อออ…”
ลีน่าถอนหายใจยาวและทำท่าจะหยิบของในกระเป๋าของราธบันออกมา แต่ราธบันถือกระเป๋าของตนเองยืนขึ้นทันที
“ดูเหมือนจะแบ่งกันอย่างยุติธรรมแล้ว ตอนนี้พวกเราออกเดินทางกันเถิด”
“ยุติธรรม…? นี่ความหมายของคำศัพท์เปลี่ยนไประหว่างที่ข้าไม่รู้หรือเปล่า”
“ข้าคิดว่าคนที่สามารถถือได้เยอะจะถือเยอะกว่าก็ยุติธรรมแล้วขอรับ”
“แต่ขนาดนี้มีที่ไหน ใครเห็นก็คงนึกว่าข้าเป็นคนที่ออกมาเที่ยวเล่นกันพอดี”
ได้ยินดังนั้น ราธบันก็ทำเพียงยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร ลีน่าถอนหายใจยาวอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขา พลางล้มเลิกที่จะแบกสัมภาระเพิ่มอีก เพราะนางรู้ว่าราธบันไม่มีทางยอมแน่
ราธบันเป็นแบบนี้มาตลอด เขาแบกทุกอย่างเพื่อให้นางท่องเที่ยวอย่างไร้ความกังวล เพื่อไม่ให้นางต้องเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
‘ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ…’
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด บางทีก็แอบเศร้าใจด้วย
‘ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย’
ลีน่ามองราธบันที่สะพายกระเป๋า แล้วแอบรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์มาไว้ที่มือ แสงสีฟ้าครามมารวมกันที่ปลายนิ้วของนางอย่างรวดเร็ว
หลังจากวันที่วิหารหลวงล่มสลาย พลังศักดิ์สิทธิ์ก็กลับมา แม้จะอ่อนแอกว่าเดิมเมื่อเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อีเบลลีน่าเคยครอบครอง แต่ลีน่าก็รู้ว่าตนเป็นคนที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งกล้าที่สุดในทวีปแล้ว และพลังศักดิ์สิทธิ์ส่วนที่หายไปก็อยู่ในร่างของอีริส
‘เป็นความต้องการของอีเบลลีน่าเหรอ’
ลีน่าเดาว่านี่อาจเป็นของที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้นางเพื่อช่วยน้องสาวที่เหลือตัวคนเดียวหลังจากที่ตนตายไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้พลังศักดิ์สิทธิ์กลับมาและร่วมเดินทางกับราธบัน นางก็ได้ลองศึกษาหลายอย่างว่าควรจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อย่างไรถึงจะใช้ได้ดี โชคดีที่ลีน่ามีอาจารย์ที่ชื่อว่าราธบันอยู่ นั่นทำให้นางคุ้นเคยกับวิธีการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในสถานการณ์จริงได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งสิ่งที่ราธบันสอนยังไม่ได้มีแค่เรื่องนั้น
ลีน่ามองดาบที่เหน็บอยู่ตรงเอว ดาบที่มีรูปทรงอยู่ระหว่างดาบสั้นกับดาบยาวนั้น เบาพอที่จะทำให้นางใช้มันได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ราธบันสอนศิลปะดาบให้นางทุกครั้งที่มีเวลาว่างระหว่างเดินทาง ดูเหมือนเขาจะไม่ลืมสัญญาที่เคยให้ไว้ตอนที่อยู่ในวิหารหลวงเมื่อนานมาแล้ว
‘ถึงจะเป็นปัญหาเพราะไม่ได้จบลงที่การฝึกดาบก็เถอะ…’
ลีน่าลูบๆ คลำๆ ด้ามดาบพลางใช้หลังมือช่วยให้ใบหน้าที่แดงก่ำสงบลง นางย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน
***
ระหว่างท่องเที่ยวทุ่งกว้าง นางได้ร่วมกันปราบปีศาจที่ทำอันตรายชาวบ้านที่สัญจรไปมากับราธบัน แม้จะไม่ใช่ปีศาจที่อันตราย แต่ก็ทรหดมากเพราะมันเป็นปีศาจที่เคลื่อนไหวว่องไว โชคดีที่พลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยสร้างเกราะป้องกันไว้ได้จึงไม่มีเหตุการณ์ให้ได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็ยังรู้สึกหวาดเสียวตอนที่ปีศาจจ้องหาช่องโหว่และโจมตีอยู่หลายครั้ง
ตอนที่เข้าพักในที่พักของหมู่บ้านใกล้เคียงหลังจากจับปีศาจได้แล้ว ลีน่าก็มองรอยขีดข่วนที่มีอยู่ทั่วตัวราธบันแล้วถอนหายใจ หากราธบันตัวคนเดียวก็คงไม่มีทางเกิดรอยแบบนี้ขึ้นได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเขากังวลว่านางจะถูกโจมตีจึงได้รอยพวกนี้มา หลังจากรักษาบาดแผลเหล่านั้น ลีน่าก็กล่าวกับราธบัน
“ราธบัน ข้าอยากซ้อมสักหน่อย”
“ได้ขอรับ”
ราวกับเข้าใจว่าทำไมลีน่าถึงกล่าวเช่นนี้ เขาทำตามความต้องการของลีน่าอย่างใจดีโดยไม่เอ่ยถามอะไรสักคำ แม้ระหว่างที่พวกเขาเดินทางไปทั่วทวีปจะได้เผชิญหน้ากับปีศาจหลายรูปแบบจนทำให้ทักษะพัฒนาก็จริง แต่อย่างไรนางก็ยังเป็นแค่ทารกแรกเกิดเมื่อเทียบกับราธบัน
‘ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามาเรียนเอาตอนนี้ก็คงไม่เก่งอะไรมากมาย…’
แต่ถึงอย่างนั้น นางก็คิดว่าหากตอนที่กำลังประจันหน้ากับปีศาจ แล้วนางถ่วงเวลาสู้กับปีศาจได้มากขึ้นอีกสักหน่อย ราธบันอาจจะบาดเจ็บน้อยลงก็ได้
“ตอนที่จับดาบ ช่วยลบความคิดไปให้หมดด้วยขอรับ”
“…”
สมแล้ว ราธบันสังเกตเห็นได้ทันทีว่านางกำลังคิดถึงเรื่องอื่นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มงวดเล็กน้อย ลีน่าทำจิตใจให้สงบพลางทำท่าทางที่เขาสอนคราวก่อน
“ดูจากตอนที่ท่านจับปีศาจตอนเช้า ท่านมีนิสัยชอบยกด้ามดาบขึ้นมาแล้วใช้ดาบด้านที่ไม่คมป้องกัน กรณีเช่นนี้จะยิ่งทำให้มีโอกาสบาดเจ็บมากขึ้นเพราะด้านที่คมจะหันเข้าหาร่างกาย แถมยังทำให้ข้อมือรับภาระหนักด้วย เพราะฉะนั้น…”
สีหน้าของลีน่าจริงจังมากขึ้นเมื่อฟังคำสอนที่จริงจังของราธบัน ไม่รู้ว่าฝึกกันไปนานแค่ไหนแล้ว
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
ผ่านไปไม่นาน ลมหายใจก็เริ่มหนักหน่วง ท่าทางเริ่มไม่เรียบร้อย แม้มองผิวเผินจะดูไม่น่าเหนื่อยเพราะเคลื่อนไหวเชื่องช้ายิ่ง แต่เพราะต้องใส่ใจการเคลื่อนไหวทุกขั้นตอน และบางครั้งราธบันก็ออกแรงสกัดดาบของนางราวกับต้องการทดสอบ ทำให้หลังจากผ่านไปราวๆ สองชั่วโมง เหงื่อก็ไหลออกมาดุจสายฝน ทั่วร่างเริ่มเป็นตะคริว
“วันนี้พอแค่นี้ดีกว่าขอรับ”
“อีกสักหน่อย…”
“ท่านไม่มีความจำเป็นต้องฝืน”
ราธบันจับดาบในมือของลีน่าอย่างนุ่มนวลแล้วรีบเก็บใส่ฝักดาบ จากนั้นอุ้มร่างของนางที่กำลังปรับลมหายใจขึ้น แล้วค่อยๆ จับให้นอนคว่ำหน้าบนเตียงนอน ขณะที่ลีน่ากำลังจะลุกขึ้น นิ้วมือของเขาก็กดไปที่สะโพกส่วนล่างของนาง
“อึก…”
อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อตึง ความเจ็บปวดที่ทำให้ร้องออกมาโดยอัตโนมัติ ทำให้ลีน่าหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงโดยที่ไม่อาจต้านทานได้เลย
“ราธบัน จะ เจ็บ…!”
“อดทนหน่อยนะขอรับ ถ้าไม่คลายกล้ามเนื้อตอนนี้ พรุ่งนี้จะยิ่งปวดกว่าเดิม”
โดยปกติแล้วราธบันจะเชื่อฟังคำพูดของนางอย่างดี แต่ในช่วงเวลาแบบนี้เขาจะเด็ดขาดมาก เสียงร้องโอดโอยเล็ดลอดออกมาจากปากของลีน่าทุกครั้งที่มือของราธบันขยับ สุดท้ายในตอนที่มือของเขากดลงไปบริเวณที่ตึงที่สุดอย่างแรง นางก็ทนไม่ไหวจนร้องออกมาเสียงดังลั่นและหมุนตัวกลับ
“ราธบัน! ข้าบอกว่าเจ็บอย่างไร…!”
ลีน่าพูดต่อไม่ได้ บนหน้าอกของนางมีมือของราธบันวางอยู่
“เอ่อ…”
“อ่า…”
สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ทำให้ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อและส่งเสียงซื่อบื้อออกมาพร้อมกัน ราธบันเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เขามองมือของตนเองอย่างตกตะลึงราวกับมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในโลก ก่อนจะถอยหลังพรวดออกไป ใบหน้าร้อนผ่าวจนแดงแจ๋อย่างไม่น่าแปลกใจ จนนางถึงกับนึกห่วงว่ามันจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่
“…ราธบัน”
ลีน่ามองราธบันแล้วลุกขึ้น ราธบันรีบเอ่ยแก้ตัว
“ไม่ใช่นะ คือข้า…จู่ๆ ท่านก็หันหน้ามา…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำ…”
เมื่อเห็นท่าทางที่ทำตัวไม่ถูก พูดอ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำของเขา ใครจะไปคิดว่านี่คืออัศวินผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป ลีน่ามองภาพนั้นแล้วไม่เข้าใจราธบันเลยจริงๆ
ผ่านมาหลายปีแล้วที่เดินทางด้วยกัน นางกับเขาออกเดินทางไปทั่วทุกแห่งในทวีปหลังจากออกมาจากวิหารหลวงที่ล่มสลาย ระหว่างนั้นก็มีกลับไปหาเลออนบ้าง แต่ไม่นานก็ออกจากพระราชวังและออกท่องเที่ยวกับราธบันอีกครั้ง
พวกเขาเที่ยวตามหาสถานที่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด สถานที่ที่งดงามที่สุด และสถานที่ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในทวีป มีแม่น้ำที่ไหลทวนกระแสน้ำ มีป่าไม้ที่มีต้นไม้ที่เติบโตขึ้นสูงราวกับจะแตะผืนฟ้าทันทีที่แตกหน่อภายในหนึ่งวัน แต่พอตกกลางคืนก็หมดอายุขัยและพังทลายลงมา แล้วยังมีน้ำทะเลที่เปลี่ยนหลายสีในหนึ่งวัน ราธบันก้าวเดินเคียงข้างลีน่าโดยไม่เคยห่างไปแม้แต่ชั่วขณะเดียว
พวกเขาใช้เวลาทั้งตอนกลางวันและกลางคืนอันนับไม่ถ้วนในแต่ละวันไปด้วยกัน พอตกดึกพวกเขาต่างก็ต้องการกันและกัน ภาพของเขาที่ใช้ชีวิตดั่งอัศวินที่ไม่ออกนอกลู่นอกทางในตอนกลางวัน กลับซุกใบหน้าอยู่ระหว่างขาของนางในตอนกลางคืน ทำให้ลีน่ารู้สึกขนลุกทุกครั้ง
ราธบันพูดสิ่งที่ตนกำลังรู้สึกออกมาตามตรงโดยไม่มีคำพูดลามกเลยสักคำ ลีน่าถึงได้เรียนรู้ว่าความจริงใจสามารถทำให้คนเราเขินจนจะตายได้
ทั้งที่ราธบันผ่านช่วงเวลากลางคืนมาถึงขนาดนั้น แต่พอถึงตอนเช้า เขากลับตัวแข็งทื่อราวกับคนที่จดจำเรื่องคืนวานไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เองก็เช่นกัน ทั้งที่ตอนกลางคืนเขาทั้งจับและกัดหน้าอกของนางราวกับเป็นของของตนเอง แต่ตอนนี้กลับทำตัวราวกับจะตายเพียงแค่ได้สัมผัสมัน
ลีน่าไม่เข้าใจราธบันที่เป็นแบบนั้นเลย ขณะเดียวกับที่มุมหนึ่งของหัวใจพลันเกิดความซุกซนขึ้นมา แสงแดดจ้าที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างตกลงบนผ้าปูเตียงที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ ราธบันตอนกลางคืนทำให้คนอยากอ้อนวอน ถ้างั้นตอนกลางวันลองเปลี่ยนเป็นฝ่ายตรงข้ามดูบ้างเป็นไง?
มุมปากของลีน่าที่มองราธบันที่ถอยไปจนถึงหัวเตียงและกำลังกระสับกระส่ายอยู่พลันยกขึ้น ตอนกลางคืนเขาทำให้นางร้อง งั้นตอนกลางวันนางต้องทำให้เขาร้องถึงจะยุติธรรม
“เหงื่อออก ร้อนจังเลยนะ?”
ลีน่ากล่าวเช่นนั้นพลางจับปลายเสื้อเชิ้ต แล้วค่อยๆ ยกแขนขึ้น
“ทะ ท่านจะทำอะไร?”
“มองไม่เห็นหรือ? ข้าถอดเสื้ออยู่ไง”
“…”
คำพูดอย่างเปิดเผยของลีน่าทำให้ราธบันอ้าปากค้าง ลีน่าจงใจถอดเสื้อช้าๆ เพราะสนุกกับสีหน้าแบบนั้น ทันทีที่เสื้อเชิ้ตยกขึ้นไปจนเห็นชุดชั้นใน ราธบันก็หันหน้าขวับราวกับว่าไม่อาจดูเด็ดขาด ท่าทางแบบนั้นของราธบันจุดไฟในหัวใจของลีน่าแล้ว อย่างไรวันนี้นางก็ต้องทำให้ถึงที่สุด
ลีน่าเดินเข่าเข้าไปหาราธบันโดยที่สวมแค่ชุดชั้นใน
“ราธบันไม่ร้อนหรือ?”
“ดะ เดี๋ยว…ท่านจะทำอะไร…”
“ข้าก็จะช่วยเจ้าถอดน่ะสิ ดูจากที่เจ้าหน้าแดงแล้ว เจ้าน่าจะร้อนนะ”
“ไม่ นี่ไม่ใช่เพราะว่าข้าร้อน…”
“ถ้าไม่ใช่เพราะร้อน แล้วเพราะอะไรเล่า?”
ลีน่าขึ้นไปนั่งบนขาของราธบัน จากนั้นใช้มือลูบไล้ต้นขาหนาของเขา กล้ามเนื้อพลันกระตุก ร่างกายของเขาแข็งเกร็งจนรู้สึกได้ ฝ่ามือที่ขึ้นไปเหนือหัวเข่าเลื่อนขึ้นไปด้านบน ก่อนจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวอะไรบางอย่างแล้วหยุดลง
“…”
ลีน่าเบนสายตาลงเล็กน้อย หืม สิ่งที่ใครเห็นก็รู้ว่าคือ ‘ส่วนนั้น’ กำลังเผยรูปร่างอวบอ้วนอยู่ใต้กางเกงสีขาวของเขา ลีน่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ใช้ปลายเล็บของนิ้วโป้งเกาเหนือร่มผ้าบริเวณปลายของส่วนนั้นราวกับคัน
“ฮึก!”
ร่างกายของราธบันสะดุ้งโหยงอย่างแรงราวกับปลาที่ถูกฉมวกแทง ลีน่ายืดร่างกายที่เกือบจะร่วงจากตัวเขาทันที แล้วถามอย่างหยอกเย้า
“ทำไมหรือ”
“ลีน่า…”
ตอนนี้เอง ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้แล้วว่านางตั้งใจจะทำสิ่งใด ลมหายใจร้อนรุ่มแทรกผ่านริมฝีปากของราธบัน
“ได้โปรด… หยุดเถิดนะขอรับ…”
เสียงของเขากำลังทรมาน แต่ลีน่าไม่พลาดความตื่นเต้นที่แฝงอยู่ในนั้น ดวงตาของลีน่าพลันเปล่งประกาย นางปลดกระดุมของเขาอีกหนึ่งเม็ด หน้าอกของเขาเผยออกมาผ่านช่องว่างของเสื้อที่เปิดออกเล็กน้อย ผิวสีแทนที่บ่มแดดอย่างดีทั้งที่ไม่ได้ถอดเสื้อเดินไปมาและหน้าอกที่ดูแข็งแรงมีแต่ทำให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ ลีน่าลอบสอดมือเข้าไปด้านใน จากนั้นพึมพำหน้าตาย
“มือลื่นจังเลย”
มือนั้นลูบคลำและเปิดเผยเกินกว่าจะเป็นอย่างนั้น มือของนางจิ้มๆ บนกล้ามเนื้อแน่น แล้วเปลี่ยนไปลูบไล้หน้าอกของเขาเบาๆ
“ฮึ้บ…!”
เมื่อนิ้วมือของลีน่าจับยอดอกของเขา ราธบันก็ใช้มืออุดปากทันที
“…”
ลีน่ามองราธบันที่เป็นแบบนั้นอย่างหลงใหล ชายฉกรรจ์ตัวใหญ่เท่าภูเขาที่รังแกนางด้วยมือเพียงข้างเดียวได้ ตอนนี้กำลังนอนอุดปาก ตัวสั่นเทาและหน้าแดงอยู่ใต้ล่างนาง
‘นี่จะ…ทำยังไงดี…’
…อันตรายจัง