ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 1308 – วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ การมาถึงของตระกูลเป่ยถัง

 

“จักรวรรดินั่นก่อตั้งขึ้นโดยตระกูลเป่ยถัง พวกเขาเป็นตระกูลเดียวกันกับตระกูลเป่ยถังของสันเขาราชันย์ราชสีห์ใน 5 มหาทวีป” นักบวชอธิบาย

 

“ตระกูลเป่ยถังที่นี่รู้หรือไม่ว่าตระกูลเป่ยถังใน 5 มหาทวีปได้หายไปแล้ว?”

 

“พวกเขารู้ พวกเขารู้ว่าคุณชายชิงเป็นผู้ที่ทำเรื่องนี้”

 

ตอนนี้ชิงสุ่ยเข้าใจว่าทำไมนักบวชถึงไม่ลังเลที่จะบอกเขาถึงสิ่งที่เกี่ยวกับศิลาพระพุทธองค์เมื่อได้ยินชื่อของเขา แต่ศิลาพระพุทธองค์นี้เป็นอย่างไร?

 

“ศิลาพระพุทธองค์? มันดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับพระพุทธรูป อะไรคือจุดที่ทำให้พวกเขาพยายามจะทำแบบนี้?” ชิงสุ่ยรู้สึกสับสนจริงๆ อย่างไรก็ตามเขามั่นใจว่าศิลาพระพุทธองค์นี้ต้องเป็นของที่ดี มิฉะนั้นจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะคงจะไม่มารบเร้านิกายพุทธองค์ทองคำ

 

“ศิลาพระพุทธองค์เป็นสิ่งที่ลึกลับจริงๆ ข้อดีของมันคือหากท่านจุ่มศิลาพระพุทธองค์ลงไปในน้ำ มันสามารถใช้หล่อโลหะหรือเป็นยาได้ ศิลาพระพุทธองค์มีจิตวิญญาณ กล่าวกันว่าการใช้น้ำจากศิลาพระพุทธองค์สามารถช่วยเบิกทางสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ มันสามารถช่วยในการฝึกฝนเคล็ดวิชาพระพุทธองค์ สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่ข้ารู้ก็คือหากดื่มน้ำจะช่วยในการฝึกและยกระดับ การฝึกฝนเคล็ดวิชาพระพุทธองค์จะรวดเร็วขึ้น สำหรับเรื่องอื่นๆ ข้ายังไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับพวกมันเลย” ผู้อาวุโสนามฟาหยิงไม่ได้พยายามซ่อนอะไรเมื่อเขาอธิบาย

 

“ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะถึงต้องการขโมยมัน ดูเหมือนว่าสิ่งนี้อาจเป็นสมบัติอันล้ำค่าจริงๆ” ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้น ของสิ่งนี้ได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นสมบัติ นอกจากนั้นชิงสุ่ยยังรู้สึกว่าสาเหตุที่ทำให้คนทั้งสามปกปิดพลังเอาไว้ได้และมีพลังเกินกว่าที่พวกเขาควรจะมีนั้นต้องเกี่ยวกับน้ำจากศิลาพระพุทธองค์

 

“คุณชายชิง ศิลาพระพุทธองค์นี้มาเป็นคู่ พวกเราจะมอบมันให้ท่านอันหนึ่ง พวกเราหวังว่าคุณชายชิงจะช่วยพวกเราผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้” ฟาหยิงกล่าวอย่างจริงจังหลังจากที่ได้เห็นการแสดงออกของชิงสุ่ย ท่าทีของชิงสุ่ยนั้นดูจริงใจ

 

“เป็นไปได้อย่างไร? ศิลาพระพุทธองค์มีสองอัน ข้าไม่อาจรับของผู้อื่นได้” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง

 

“อย่าได้กังวล ข้าเคยลองมาแล้ว ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองอัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ก็เหมือนกัน ข้ารู้สึกแปลกใจมากที่จำนวนของมันไม่ได้ส่งผลอะไร หากจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะต้องการมันสักอัน พวกเขาก็สามารถแลกเปลี่ยนมันกับบางสิ่งที่ล้ำค่าพอกันได้ ข้าอาจเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่พวกเขากลับละโมบเกินไป พวกเขาตั้งใจที่จะบีบบังคับเอาไปเพียงเพราะพวกเราเป็นแค่จักรวรรดิระดับสาม จำกัดเวลาเพียง 3 วัน นั่นคือที่พวกเขาบอกข้าและมันจะสิ้นสุดเวลาในวันพรุ่งนี้ อาจเป็นประสงค์ของสวรรค์ที่พวกเราได้พบคุณชายชิง สวรรค์สำแดงพลังเพื่อช่วยเหลือนิกายพุทธองค์ทองคำ” ฟาหยิงรีบกล่าวด้วยความแน่วแน่

 

เขารู้ว่าชิงสุ่ยทรงพลัง เขากลัวว่าชิงสุ่ยจะถอยหนีเมื่อได้ยินชื่อจักรวรรดิทั้งสอง ดังนั้นเขาจึงทำให้แน่ใจและบอกชิงสุ่ยถึงการใช้ศิลาเพียงอันเดียว

 

เมื่อวิ่งเข้าไปเจอกับปัญหา โดยธรรมชาติชิงสุ่ยก็จะช่วยพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้สัญญากับบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของนิกายพุทธองค์ทองคำ ไม่ใช่แค่นั้น ศัตรูที่พวกเขากำลังเผชิญยังมาจากตระกูลเป่ยถัง สิ่งนี้ทำให้เขามีเหตุผลมากขึ้นที่จะช่วย นอกจากนี้เขายังได้รับศิลาพระพุทธองค์เป็นของขวัญ

 

เมื่อเห็นว่าฟาหยิงพูดถึงจุดนี้แล้ว ชิงสุ่ยก็หยุดดึงดัน ถ้าเขายังคงทำเช่นนี้ก็จะทำให้ดูเหมือนเขาไม่เต็มใจที่จะช่วย เขาเดินตามฟาหยิงและพวกกลับไปที่ลานตรงทิศเหนือ

 

ในบรรดานักบวชทั้งสามได้แก่ฟาหยิง ไม่มีใครเป็นเจ้าอาวาส ชิงสุ่ยนั่งลงในห้องที่ตั้งอยู่ตรงมุมของลานทิศเหนือ นอกเหนือจากฟาหยิงอีกสองคนได้กล่าวคำอำลาและขอตัวไป

 

แม้กระทั่งชิงสุ่ยเองก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ เขายิ้มและถามว่า “ผู้อาวุโส ถ้าข้าไม่ได้มาที่นี่ พวกท่านจะยังคงต่อสู้กับจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะหรือไม่?”

 

“ด้วยพฤติกรรมของพวกเขา ข้าอยากที่จะทำลายศิลาพระพุทธองค์ซะมากกว่าที่จะให้พวกเขาไป”

 

ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่าฟาหยิงจะเป็นคนตรงไปตรงมา ขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ มันก็ทำให้รู้สึกว่าสำหรับผู้อาวุโสจากนิกายพุทธองค์ทองคำที่กำลังเจอกับปัญหา ถ้าหากพวกเขาไม่ยินดี พวกเขาก็จะไม่มีทางยอมประนีประนอมด้วย ฟาหยิงเองก็รู้สึกว่าพวกเขามีโอกาสที่จะชนะ แม้จะเป็นจักรวรรดิระดับสาม

 

“ผู้อาวุโส โปรดเล่าให้ข้าฟังถึงตระกูลเป่ยถังของจักรวรรรดิอุดรเทวะ!”

 

“ประวัติของตระกูลเป่ยถังในจักรวรรรดิอุดรเทวะถือว่าสั้นมากและสั้นกว่าเมื่อเทียบกับจักรวรรดิปราณทวะ แต่ตอนนี้จักรวรรรดิอุดรเทวะได้เป็นจักรวรรดิระดับสามขั้นกลางแล้ว และมีข่าวลือว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาเทียบเท่ากับจักรวรรดิระดับสี่ขั้นต้น มีคนตระกูลเป่ยถังอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีข่าวบอกว่าพวกเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากสมบัติล้ำค่าที่มีในครอบครอง ตระกูลเป่ยถังได้กำจัดตระกูลจักรวรรดิเดิมคือจักรวรรดิหยุนออกไป พวกเขาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์และทำให้จักรวรรดิหยุนกลายเป็นจักรวรรดิอุดรเทวะ ในท้ายที่สุดพวกเขาค่อยๆพัฒนาจากจักรวรรดิระดับหนึ่งจนมาถึงจักรวรรดิระดับสามขั้นกลาง”

 

ฟาหยิงพยายามทำให้เรื่องมันสั้นเมื่อเขาอธิบายเกี่ยวกับตระกูลเป่ยถัง

 

“ตระกูลเป่ยถังชอบเล่นสนุกกับการใช้กำลังแบบนี้งั้นหรือ?” จริงๆแล้วชิงสุ่ยอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของตระกูลเป่ย เขาต้องการรู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่น่ารังเกียจแค่ไหน

 

“พวกเขาทำแบบนั้นเสมอ พวกเขาหยิ่งยโส แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามพวกเขาจะไม่ทำอะไรเกินเลยกับผู้คนในจักรวรรดิของพวกเขา ในทางกลับกันพวกเขาเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นต่อจักรวรรดิและตระกูลขุนนางที่อยู่ใกล้เคียง พวกเขาไปไกลถึงขนาดใช้กำลังบีบเพื่อการแต่งงาน”

 

“บีบบังคับให้แต่งงาน?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความตกใจ

 

“ถูกต้อง สำหรับคุณชายสามแห่งตระกูลเป่ยถังผู้เป็นองค์สามแห่งจักรวรรดิอุดรเทวะ เขาได้พบกับหนึ่งในองค์หญิงแห่งจักรวรรดิจ้าวโดยบังเอิญ ในท้ายที่สุดจักรวรรดิอุดรเทวะก็ใช้กำลังกดดันจักรวรรดิจ้าวและได้องค์หญิงมาแต่งงานกับเขา การแต่งงานในครั้งนี้เป็นการบังคับและดูถูกเหยียดหยามจักรวรรดิจ้าว”

 

……

 

ใครจะคิดว่านิสัยของตระกูลเป่ยถังใน 5 มหาทวีปจะคล้ายคลึงกับตระกูลเป่ยถังที่นี่ด้วย? ในขณะที่พูดเสียงของชายชราสองคนก่อนหน้านี้ที่ออกไปก็ดังขึ้นจากด้านนอก หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเข้ามาพร้อมถาดที่ทำด้วยโลหะสีเงินอยู่ในมือของชายชราคนหนึ่ง ด้านบนเป็นผ้าที่ปกคลุมบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ จากจุดที่ผ้านูนขึ้นมา สิ่งของที่อยู่ด้านล่างดูจะไม่ใหญ่หรือไม่เล็กจนเกินไป

 

“คุณชายชิง นี่คือหนึ่งในศิลาพระพุทธองค์” ฟาหยิงลุกขึ้นหยิบถาดแล้ววางไว้บนโต๊ะไม้หน้าชิงสุ่ย หลังจากนั้นเขาก็เอาผ้าที่คลุมปิดไว้ด้านบนออก

 

เกือบจะในทันที แสงสีขาวสว่างจ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าชิงสุ่ย

 

นี่เป็นศิลาสีขาวที่มีรูปร่างคล้ายดอกบัว มันกว้างและยาว 1 ฟุต มีความคลุมเครือของพลังวิญญาณแผ่กระจายอยู่ด้านบน ชิงสุ่ยมองตรงเข้าไปในทันทีด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ เขารู้สึกว่ามันอาจเป็นสมบัติ

 

วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์!

 

ชิงสุ่ยตกตะลึงเมื่อเห็นเพียงไม่กี่คำเท่านั้น นี่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำก็เป็นของที่ล้ำค่ามาก มันเพียงพอสำหรับใครคนหนึ่งที่จะบดขยี้ผู้อื่นเพื่อนำมันมาครอบครอง

 

ระดับ : ไม่มีระดับ สามารถขัดเกลาด้วยพลังงานบริสุทธิ์ จำนวนครั้งที่สามารถทนทานต่อการขัดเกลาในแต่ละวันมีจำกัด

 

……

 

คุณสมบัติ : มีขนาดเล็ก สามารถแช่ในน้ำได้ เมื่อแช่ในน้ำเป็นเวลานาน พลังวิญญาณที่มีอยู่ก็จะรวมเข้ากับน้ำ นอกจากนี้พลังงานจะไม่กระจายตัวออกไป ในแต่ละระดับจะส่งผลต่อปริมาณน้ำไม่เท่ากัน น้ำที่ได้รับผลจากศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์สามารถนำไปใช้ได้ทุกวิถีทางไม่ว่าจะดื่ม ปลูกพืช หรือเพื่อผสมพันธุ์สัตว์อื่นๆ

 

มันไม่สามารถจดจำเจ้าของ!

 

มันสามารถเพิ่มระดับได้!

 

มันเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถเพิ่มระดับได้ ชิงสุ่ยตกใจมากกับจุดนี้ เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง มันช่วยระบุสิ่งของที่มีค่ามากมาย ฟาหยิงมีมันเอาไว้ในมือ แต่เขาไม่รู้วิธีใช้มันอย่างถูกต้อง ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงจะมีพลังมากกว่าตอนนี้

 

นี่คือสิ่งที่เขาบังเอิญเจอในนิกายพุทธองค์ทองคำ

 

“ท่านจะมอบสิ่งนี้ให้ข้าจริงๆงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขณะที่เขาหยิบมันขึ้นมา

 

“แน่นอน นิกายพุทธองค์ทองคำหวังว่าจะได้เป็นสหายกับท่าน คุณชายชิงมีความสัมพันธ์อันดีกับบรรพบุรษผู้ก่อตั้งของนิกายพุทธองค์ทองคำใน 5 มหาทวีป นั่นหมายความว่าท่านมีโชคชะตาร่วมกันกับพวกเรา” ฟาหยิงอธิบายช้าๆ น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนมาก มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประทับใจ

 

“ตกลง เช่นนั้นข้าก็จะรับไว้ด้วยความเต็มใจ” ชิงสุ่ยเก็บศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ไป พวกเขาไม่ได้บอกว่ามันเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์อะไร ชิงสุ่ยวางแผนที่จะให้เจ้าอ้วนน้อยอธิบายให้เขาฟังทีหลัง

 

หลังจากพูดคุยกันสักพัก ฟาหยิงก็ปล่อยให้ชิงสุ่ยพัก จากสถานการณ์ปกติมีแนวโน้มว่าตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะจะเข้ามาเพื่อรับศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ในวันพรุ่งนี้

 

เมื่อเห็นว่ายังไม่ค่ำ ชิงสุ่ยได้นำศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาและเริ่มขัดเกลา หลังจากขัดเกลามันประมาณ 20 ครั้งแล้ว เขาก็จะไม่สามารถขัดเกลามันได้อีกต่อไป ตอนนี้มันสามารถทนต่อการขัดเกลาได้เพียง 10 ครั้งในแต่ละวันที่ระดับหนึ่ง

 

สำหรับสมบัติวิเศษที่ไม่จดจำเจ้าของนั้น เจ้าของสามารถขัดเกลามันได้ สำหรับสมบัติวิเศษที่ไม่ได้ระบุเจ้าของแน่ชัดเช่นนี้ทุกคนสามารถขัดเกลาได้ อย่างไรก็ตามจำนวนครั้งที่สามารถทนต่อการขัดเกลาได้มีจำกัด ดังนั้นผู้ถือครองไม่สามารถพยายามที่จะเพิ่มระดับของมันขึ้นอย่างรวดเร็วได้

 

เขาค่อยๆแทรกพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ แสงสีขาวสว่างขึ้น ในขณะเดียวกันความคลุมเครือของพลังวิญญาณก็ยิ่งมากขึ้น ศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกับหลุมอันไร้ที่สิ้นสุด มันค่อยๆดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของชิงสุ่ย

 

โดยปกติแล้วการขัดเกลาจะต้องมีการผสานพลังวิญญาณ พลังลมปราณ และพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างกายของคนผู้นั้น แต่ชิงสุ่ยทรงพลังมาก เขาสามารถกักเก็บพลังอันมหาศาลไว้ภายในร่างกายได้มากกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย นอกจากนี้เขายังมียาเม็ดที่สามารถช่วยให้เขาฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นเครื่องจักรที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 

ทะเลสาบในดินแดนหยกยุพราชอมตะได้กลายเป็นเพียงบ่อเล็กๆ มันจะไร้ผลหากเขานำศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ไปวางไว้ในทะลสาบที่กว้างใหญ่ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจทำให้มันเล็กลงและลึกประมาณ 1 เมตร มันวางอยู่ถัดจากฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตประมาณ 3 เมตร

 

เห็นได้ชัดว่าน้ำในบ่อเล็กๆมีร่องรอยของฟองอากาศลอยออกมา นี่เป็นน้ำที่ซึมซับพลังวิญญาณจากศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ พลังวิญญาณจากศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่พลังวิญญาณทั่วไป มันเป็นพลังวิญญาณอันเร้นลับ

 

ในวันที่สองชิงสุ่ยตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ได้ฝึกฝนยามเช้า หลังจากกินอาหารที่นิกายพุทธองค์ทองคำได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว เขาก็เริ่มคุยกับฟาหยิงและคนอื่นๆ บรรยากาศรอบตัวพวกเขากดดันเล็กน้อย

 

ตอนเช้าเขามองเห็นจุดสีดำที่อยู่ห่างไกลออกไป พวกเขายังคงห่างไกลจากเขา แต่ชิงสุ่ยระบุความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรผ่านความเร็วและขนาดร่างกายของพวกมันได้ โดยทั่วไปแล้วเขาสามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาคนจากตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะ

 

มีผู้คนนับร้อยอยู่ที่นิกายพุทธองค์ทองคำนอกเหนือจากฟาหยิงและชายชราอีกสองคน ยิ่งไปกว่านั้นมีด้วยกัน 5 คนที่มีความแข็งแกร่งถัดเทียวกับพวกเขา หนึ่งในนั้นแข็งแกร่งกว่าฟาหยิง

 

สิ่งนี้ทำให้นึกถึงหญิงจากเทือกเขาปู๋โถวและประมุขสุย มีบางอย่างที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เพียงดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแค่ผิวเผิน นักรบที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษมักจะมีวิธีมากมายในการสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองหลายสิบเท่า