บทที่ 71 เรื่องประหลาด Ink Stone_Fantasy

ขณะถือถุงเงินและรู้สึกถึงน้ำหนักของมัน ลูเซียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นและตื้นตันเล็กน้อย ถ้าเทียบกับตอนอยู่ที่โลกเก่าก็คงเหมือนการได้เงินเดือนหนึ่งพันหยวนทุกๆ เดือน แล้วจู่ๆ ราคาบ้านที่ขายก็ถีบตัวสูงจนได้รับเงินสามแสนหยวนที่เป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้น แม้ว่าลูเซียนจะใจเย็นได้แทบทุกสถานการณ์ ครั้งนี้อารมณ์ของเขาก็ยังอดขึ้นๆ ลงๆ ไม่ได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเงินนี้เป็นตัวแทนความหวังของการเพิ่มพูนพลังในการปกป้องตนเองได้อย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ อีกด้วย

‘ดูเหมือนว่าฉันก็เป็นคนบ้าเงินเหมือนกันแฮะ’ ลูเซียนหัวเราะตัวเองในใจก่อนจะบอกลาแฮงก์ แล้วเดินไปทางห้องสมุดเพลงบนชั้นสอง อย่างไรเสียเขาก็รู้จักกับปิแอร์มากว่าสองเดือนแล้ว แม้แทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เขาก็ควรไปบอกว่าเขาได้ลาออกแล้ว

แฮงก์มองสีหน้าของลูเซียนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาและฝืนบังคับให้นิ่งสงบลงด้วยความรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ ก่อนจะยิ้มและส่ายหน้า พลางกระซิบกับตนเอง “เป็นคนหนุ่มและมีความสามารถนี่ดีจริงๆ” หากว่าลูเซียนทำท่าไม่สนใจเหรีญทองมากมายในถุงนั้นนี่สิ แบบนั้นแฮงก์คงคิดว่าเขาแปลก

และในถุงเงินนั้น ลูเซียนควรจะได้รับสามสิบสี่ธาเล แต่ลูเซียนก็ไม่ได้ถามอะไร และแน่นอนว่าแฮงก์ก็จะไม่พูดถึงมัน นี่คือกฎที่รู้กันดี

ภายในห้องสมุดเพลง ปิแอร์นั่งเหม่อลอยอยู่หลังเคาน์เตอร์ โดยที่ตรงหน้ามีหนังสือพิมพ์สองฉบับกางอยู่

“อรุณสวัสดิ์ ปิแอร์” ลูเซียนเดินมาทักทาย

ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ปิแอร์เหลือบมองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความสับสนมึนงงเล็กน้อย “ลูเซียน…” ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดรอดจากปาก ใบหน้าปิแอร์ก็พลันมืดครึ้ม “ตอนนี้ข้าควรจะเรียกว่าท่านอีวานส์สินะ”

ท่าทางเช่นนี้ของปิแอร์อยู่เหนือความคาดหมายของลูเซียน เพราะหลังจากที่รู้จักกันมาสองเดือน ลูเซียนคิดว่าตนรู้จักนิสัยของปิแอร์ดีพอสมควร เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนยโสโอหังหรือไร้สมอง แม้ว่าเขาจะรู้สึกอิจฉาในใจ แต่ก็ไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น “ปิแอร์?”

“พวกเจ้า เหตุใดพวกเจ้าจึงเล่นเปียโนเช่นนั้น นี่พวกเจ้ารู้วิธีเล่นฮาร์ปซิคอร์ดหรือไม่!” ปิแอร์ขบกราม ดวงตาสีน้ำตาลของเขาจ้องมองลูเซียนด้วยความรังเกียจ

ในใจเขารู้สึกสั่นสะท้าน แล้วลูเซียนก็ก้มลงมองหนังสือพิมพ์ตรงหน้าปิแอร์

มันก็คือ ‘ดนตรีวิพากษ์’ และ ‘ข่าวสารซิมโฟนี’ ที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาวันนี้ และหน้าที่เปิดอยู่ก็เป็นความเห็นเกี่ยวกับเปียโนคอนแชร์โตล่าสุดของวิกเตอร์

ลูเซียนไม่จำเป็นต้องค่อยๆ อ่าน เพราะเขาได้เก็บหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับไว้ในห้องสมุดห้วงจิตหลังจากเปิดอ่านเร็วๆ เมื่อครู่นี้แล้ว

บทความหนึ่งในนั้นเป็นบทความที่ถกเถียงกันเรื่องทักษะการใช้นิ้วเล่นเครื่องดนตรีของวิกเตอร์ มีบางคนคิดว่าวิธีการเล่นแบบใหม่นั้นเหมาะสมกับเครื่องดนตรีแบบใหม่อย่างน่ายกย่อง แต่ก็มีผู้ที่รู้สึกว่าการเล่นแบบนี้ขัดต่อการเล่นแบบดั้งเดิมที่นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงหลายท่านได้สร้างขึ้นหลังจากขึ้นแสดงมานับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นการทรยศต่อความดั้งเดิมและประเพณีของดนตรี การพัฒนาที่เรียกกันนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพัฒนาไปเพื่ออะไร

ลูเซียนเข้าใจความหมายคำพูดของปิแอร์ดี แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมปิแอร์จึงมีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงเช่นนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เหล่าสุภาพบุรุษมักจะถกเถียงกันหรอกหรือ

“พวกเจ้าเข้าใจศาสตร์แห่งการเล่นฮาร์ปซิคอร์ดจริงๆ งั้นหรือ” ปีแอร์ถามอีกครั้ง

‘เปียโน ฮาร์ปซิคอร์ด…’ เมื่อลูเซียนได้ยินประโยคนั้น ก็พลันนึกได้ว่าปิแอร์เคยแนะนำตำรา ‘ศาสตร์แห่งการเล่นฮาร์ปซิคอร์ด’ ให้เขาอ่าน ดังนั้นเขาจึงเพ่งสมาธิเข้าไปในห้องสมุดห้วงจิตและอ่านหน้าปก ‘ผู้เขียน อันโตนิโอ ซานดอร์’

“ปิแอร์ อันโตนิโอ ซานดอร์ คือผู้ใดกัน” ลูเซียนถามทั้งที่ในใจพอจะเดาออก

ปิแอร์ตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “เขาคือพ่อข้า เป็นนักเล่นฮาร์ปซิคอร์ดผู้ยิ่งใหญ่ และข้าก็ทนไม่ได้ที่เจ้าทำลายศาสตร์ศิลป์ของท่าน”

ลูเซียนไม่อยากจะถกเถียงเรื่องพวกนี้กับเขาอีก จึงทาบมือขวาลง “บรรทัดฐานในการประเมินว่ามันเป็นการใช้นิ้วเล่นที่ดีหรือแย่ก็คือการแสดงออกทางเสียงเพลง ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เถอะ เอาล่ะ ปิแอร์ ข้าจะไม่มาที่ห้องสมุดอีกนับแต่วันนี้”

ทว่าปิแอร์ไม่ต้องการให้ลูเซียนจากไป ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ “ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป ลูเซียน เจ้าคิดว่าตนเองมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีและเจ้าก็ไม่ให้ความเคารพต่อประเพณี หากเจ้าไม่ละทิ้งวิธีการใช้นิ้วแบบนั้นเสีย เจ้าก็มีแต่จะดิ่งลงไปในทางที่ผิดเรื่อยๆ และสูญเสียชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะไป”

ทีแรกเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทางดื้อดึงและมั่นใจของปิแอร์ ลูเซียนก็ยอมแพ้และหันหลังกลับทันที เรื่องแบบนี้ใช่จะโน้มน้าวกันได้ง่ายๆ

‘ฉันนึกว่าฉันเป็นเพื่อนกับปิแอร์แล้วเสียอีก’ ลูเซียนถอนหายใจขณะเดินออกไปจากห้องสมุดเพลง คนนิสัยดีหลายคนที่เขาได้พานพบใช่ว่าจะกลายเป็นเพื่อนกับเขาทุกคน ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ได้พบปะเพียงชั่วครู่แล้วจากนั้นก็แยกย้ายกันไปด้วยเหตุผลหลายประการ

หลังจากความสำเร็จใหญ่หลวงของคอนเสิร์ตเมื่อวาน วิกเตอร์ก็ประกาศว่าจะเริ่มเรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ตามปกติ และหลังจากที่ยุ่งวุ่นวายกันมานาน ทั้งวิกเตอร์ ล็อตต์ เฟลิเซีล เฮโรโดตัสต่างก็ต้องการการผ่อนคลาย และวันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ พวกเขาจึงไปสวดภาวนาที่โบสถ์กัน ดังนั้นห้องซ้อมบนชั้นสี่จึงว่างเปล่า ลูเซียนที่อยากพูดคุยกับเฟลิเซียจึงไม่พบผู้ใด

‘บางทีฉันน่าจะไปหาเฟลิเซียที่คฤหาสน์ตอนบ่ายนี้…’ ลูเซียนเก็บถุงเงินไว้อย่างดี ขณะพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะไปหาเฟลิเซียถึงคฤหาสน์ด้วยเหตุผลและข้ออ้างสารพัด การเร่งเวลาให้เร็วขึ้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ‘แต่ฉันจะโน้มน้าวเธออย่างไรดี ด้วยเงินหรืออะไรดี’

ขณะกังวลถึงเรื่องนี้ ลูเซียนก็กลับลงมายังห้องโถงชั้นหนึ่งและถามเอเลน่าว่ามีบ้านในเขตเกซูให้เช่าหรือไม่

ปกติแล้วการจะเช่าบ้านสักหลังต้องไปทำเรื่องที่ศาลาว่าการหรือสมาคมนักผจญภัย แต่เขตเกซูนั้นส่วนใหญ่แล้วมีแต่นักดนตรี นักแสดง และครอบครัวของนักดนตรี ทางสมาคมนักดนตรีจึงเป็นผู้จัดการเรื่องเช่าบ้านในบริเวณนี้

จากการแนะนำและวิเคราะห์ของเอเลน่า ลูเซียนชอบบ้านสองชั้นบนหมายเลข 116 เขตเกซู มันเป็นของนักดนตรีธรรมดาๆ ที่ไวเคาน์ท่านหนึ่งเชิญให้ไปอาณาจักรไซราคิวส์ในฐานะที่ปรึกษาด้านดนตรี บ้านจึงปล่อยให้เช่าผ่านทางสมาคม และที่ตั้งก็ค่อนข้างห่างไกลจากบ้านหลังอื่นๆ และค่าเช่านั้นคิดเพียงหนึ่งธาเลต่อปี

ลูเซียนคิดว่าจะไปดูที่และตกลงเรื่องเช่าบ้าน แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาสิบนาฬิกาแล้ว จึงตัดสินใจออกมาจากสมาคมและกลับไปจัดการกับของมากมายที่ซ่อนไว้ในกระท่อมต่อ

“แล้วพบกันใหม่เจ้าค่ะ ท่านอีวานส์” เอเลน่ายิ้มกว้าง ขณะที่เคธีโค้งตัวด้วยความเคารพ

เมื่อกลับมาถึงเขตอาเดรอน ลูเซียนก็สังเกตเห็นว่ามีเพื่อนบ้านหลายคนยืนอยู่หน้าบ้านอะลิซ่า กำลังพูดคุยกันเสียงดังเหมือนกันตอนที่จอห์นได้กลายเป็นอัศวินฝึกหัดอย่างเป็นทางการ

เพราะช่วงเช้าวันอาทิตย์จะเป็นวันแห่งการสวดภาวนา คนจนเหล่านี้ที่มักจะยุ่งตัวเป็นเกลียวตั้งแต่เช้าจรดค่ำจึงมีเวลาว่างอย่างที่หาได้ยาก

หลังจากที่พลังจิตของลูเซียนเพิ่มขึ้น ประสาทการได้ยินของเขาก็คมชัดขึ้น จากปากกระตูกระท่อม เขายังได้ยินคำว่า ‘โจเอล’ ‘เชื้อเชิญ’ ‘ย้ายไป’…และอื่นๆ อีกมากมาย ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จึงหันกายเดินไปทางบ้านของอะลิซ่า

“หวัดดี รอย พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือ” ลูเซียนถามเพื่อนบ้านคนที่เขารู้จัก

เพื่อนบ้านที่ชื่อรอยเป็นชายที่ทำงานกรรมกรตลอดทั้งปี จึงทำให้เขาดูแก่กว่าวัย ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะอายุสามสิบปี เขายังไม่รู้ว่าลูเซียนได้เป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีของเจ้าหญิงแล้ว จึงหัวเราะและตอบว่า “ลูเซียน ในที่สุดโจเอลก็โชคดี ก่อนเวลาสวดภาวนา มีคนของชนชั้นสูงมาเชื้อเชิญเขาไปเป็นนักดนตรีประจำตระกูลในเขตปกครองของตระกูลนั้นน่ะสิ โจเอลยิ้มหน้าบานแล้วรีบบอกให้อะลิซ่ากับไอเวินเก็บข้าวของ ค่าตอบแทนคงมากโขอยู่”

“จริงสิ ลูเซียน ใครต่อใครต่างลือกันว่าเจ้ากลายเป็นนักดนตรีมีชื่อเสียงแล้ว เพราะเหตุนี้ขุนนางท่านนี้จึงคิดว่าโจเอลที่สอนดนตรีให้เจ้าตั้งแต่เด็กเป็นผู้ที่มีความสามารถ และจึงเชิญเขาไปเป็นนักดนตรีประจำตระกูล” ลิซ เพื่อนบ้านอีกคนซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนจับจ้องมาทางลูเซียน “เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เจ้ากลายเป็นนักดนตรีแล้วจริงๆ หรือ”

‘มีบางอย่างผิดปกติ!’ ลูเซียนได้กลิ่นแปลกๆ จึงรีบถาม “ขุนนางคนไหนเชิญท่านลุงโจเอลไปเช่นนั้นหรือ”

แม้ว่าจะเป็นขุนนางที่เชื้อเชิญโจเอลไปจริงๆ เพราะว่าเขากลายเป็นคนดังและได้เป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีให้กับเจ้าหญิง พวกเขาก็ไม่มีทางจากไปอย่างเร่งรีบ แม้ว่าจะรีบจนไม่ทันบอกจอห์นที่ออกนอกเมืองไปแต่เช้า อย่างน้อยก็ควรต้องบอกลูเซียนเอาไว้สิ

โจเอลไม่มีทางทำตัวเช่นนี้ และไม่มีทางใช่จุดประสงค์ของขุนนางผู้นั้นเป็นแน่ หากว่าฝ่ายนั้นชื่นชอบเขาจริงๆ แล้วจะเชื้อเชิญโจเอลไปเพื่ออะไร

ลิซและเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน “เราจะกล้าถามนามของท่านลอร์ดได้อย่างไรกัน เราเพียงเห็นว่าท่านลอร์ดสวมเสื้อผ้าอย่างดีและมีอัศวินกับข้ารับใช้ตามมามากมาย จึงคิดว่าเป็นขุนนางท่านหนึ่งแน่ๆ”

ลูเซียนรู้สึกถึงความผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องข่มกลั้นความร้อนรนกับความกังวลลงไปแล้วถามอย่างใจเย็น “ท่านน้าลิซ ท่านเห็นหน้าของขุนนางท่านนั้นหรือไม่ แล้วก็ ท่านลอร์ดหรือท่านลุงโจเอลได้ทิ้งข้อความอะไรไว้ให้ข้าหรือไม่ขอรับ”

“เราไม่กล้ามองหน้าท่านลอร์ดตรงๆ หรอก ข้ารู้เพียงว่าท่านเป็นสุภาพบุรุษวัยชราที่ดูดีมากทีเดียว เส้นผมของท่านเป็นสีขาว สวมชุดสีดำ และถือไม้เท้า ผู้ติดตามทั้งหมดนั้นอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น ดูเป็นผู้มีอำนาจมากทีเดียว…” รอยอธิบายเกี่ยวกัผู้ติดตามของ ‘ขุนนาง’ คนนั้นมากกว่า แต่ถึงจะละเอียดอย่างไร หากคิดให้ดีแล้วก็จะพบว่าพวกเขาไม่มีบุคลิกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เลย และก็สามารถพบคนประเภทนี้ได้ทั้งในเขตตลาด สมาคมนักผจญภัย และร้านเหล้าที่มีผู้คนเข้าออกนับร้อยๆ ต่อวัน

ลิซครุ่นคิดอย่างหนัก “โจเอลบอกข้าว่าให้บอกเจ้ากับจอห์นว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะขอให้คนมาส่งข่าวทันทีที่ไปถึง”

“แค่นั้นหรือขอรับ” ลูเซียนถามอย่างร้อนรนใจ

“แค่นั้นล่ะ” เพื่อนบ้านทุกคนส่ายหน้า

ลูเซียนสูดหายใจเข้าลึกเพื่อให้ตนเองใจเย็นลงสักเล็กน้อยก็ยังดี ก่อนอื่นเขาต้องมองหาเบาะแส แล้วจากนั้นก็ไปแจ้งเรื่องนี้ให้จอห์นรู้ คนกลุ่มนี้ต้องมีจุดประสงค์และทิ้งข้อความไว้แน่ๆ

ประตูบ้านของอะลิซ่าลงกลอนหนาแน่น แต่ลูเซียนมีกุญแจสำรอง เขาจึงเดินตรงกลับไปที่กระท่อมของเขาท่ามกลางสายตาของเพื่อนบ้านที่มองเขาด้วยความประหลาดใจ

ทันทีที่เปิดประตู ลูเซียนก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ซึ่งเป็นสัมผัสชวนตื่นตัวจากดวงจิตและพลังจิตที่แข็งแกร่ง

‘ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนเข้ามาในนี้เพราะเขาไม่ได้ลบร่องรอยกับกลิ่นออกไป แค่ปล่อยให้มันหายไปตามธรรมชาติ’

หากว่าลูเซียนไม่ใช่ผู้ฝึกใช้มนตราแล้วล่ะก็ เขาคงไม่มีทางพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ลูเซียนเพ่งมอง แล้วก็พบจดหมายสีขาววางอยู่บนโต๊ะของเขา

……………………………………….