ตอนที่ 155 ก้าวย่างที่สำคัญ
เซี่ยฉุนเหวยเองก็มิใช่คนเขลา ฟังคำพูดเยี่ยเม่ยถึงตอนนี้เขาก็เข้าใจ
เซี่ยฉุนเหวยกล่าวว่า “ความหมายของเหอซั่วอ๋องก็คือ ต้องการใช้เหตุผลนี้ทำให้องค์ชายใหญ่ออกจากค่ายทหารองครักษ์ใช่หรือไม่”
“ใช่” เยี่ยเม่ยตอบตามตรง
เซี่ยฉุนเหวยเอ่ยปากว่า “เหอซั่วอ๋องกังวลว่าฝ่าบาทจะไม่เห็นด้วย ดังนั้นตอนที่ท่านเสนอให้ฝ่าบาทปลด องค์ชายใหญ่ออกจากค่ายทหารองครักษ์ ต้องการให้ข้าช่วยพูด เป็นเช่นนี้หรือ”
เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับส่ายหน้า เอ่ยว่า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าหวังว่าเรื่องนี้ ท่านจะเป็นผู้เสนอกับฝ่าบาท”
นางจะไปบอกฮ่องเต้ได้อย่างไรกันเล่า
หากนางไปหาเป่ยเฉินเซี่ยว ไม่เท่ากับบอกเป่ยเฉินเซี่ยวว่า ที่นางช่วยเหลือองค์ชายใหญ่ ความจริงแล้วเป็นการเสแสร้ง ทั้งยังทำให้เป่ยเฉินเซี่ยวรู้ว่านางต้องการถือกำลังทหารและอำนาจหรอกหรือ
นับตั้งแต่วินาทีที่นางเอ่ยปาก นางก็คงถูกระแวงสงสัยแล้ว ก้าวต่อไปก็ยากจะเดินต่ออีก
เซี่ยฉุนเหวยชะงักไป
ความจริงไม่ว่าเขาเป็นคนไปพูดกับฮ่องเต้หรือว่าเป็นเยี่ยเม่ยเสนอแล้วเขาคอยสนับสนุนล้วนไม่ต่างกันคือเขาต้องล่วงเกินองค์ชายใหญ่
แต่ว่า…
ดูจากความต้องการของเยี่ยเม่ยในเวลานี้ก็คือวางแผนไม่ให้ฝ่าบาทรู้ความจริงแล้วกระมัง เซี่ยฉุนเหวยจงรักภักดีต่อฮ่องเต้มาโดยตลอด ในเวลานี้เขาก็เริ่มกังวลใจ
เยี่ยเม่ยย่อมรู้จุดยืนของเซี่ยฉุนเหวยดี ดังนั้นนางจึงกล่าว “ท่านโหวไม่ต้องกังวล ต่อให้ข้ากับองค์ชายสี่ยินยอมช่วยเหลือองค์ชายใหญ่ แต่ว่า…ไม่ว่าจะเป็นของของใครก็ตาม ล้วนไม่ชอบให้ผู้อื่นทำแปดเปื้อน ไม่ใช่หรือ
นางเอ่ยเช่นนี้ เซี่ยฉุนเหวยก็เข้าใจได้ไม่ยาก
นี่ก็ถูก ใครก็ไม่ชอบให้อำนาจที่ตนเองถือครองอยู่มามีผู้อื่นคอยสอดมือ ไม่ว่าอย่างไรคนก็มีความเห็นแก่ตัว ใครบ้างที่ไม่ต้องการกุมผลประโยชน์ในมือตนแต่เพียงผู้เดียวกันเล่า อย่างไรซะกำลังทหารก็คือหมาก บางทีอาจกลายเป็นสิ่งที่รักษาชีวิตของตนในภายหน้าได้อีกด้วย
ดังนั้น เวลานี้ความกังวลในใจของเซี่ยฉุนเหวยก็คลายออกไป
หลังจากเขาใคร่ครวญชั่วครู่ ก็เอ่ยปากว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปรายงานต่อฝ่าบาท ถือว่าชดใช้สิ่งที่ติดค้างเหอซั่วอ๋องไว้ เชื่อว่าเหอซั่วอ๋องคงเข้าใจความหมายของผู้น้อยกระมัง”
เยี่ยเม่ยเข้าใจความหมายของเขาเป็นแน่แท้อยู่แล้ว
เขาก็แค่อยากบอกว่า เรื่องที่เซี่ยชูมั่วล่วงเกินนางก็จบลงเพียงเท่านั้น เขาจะช่วยนางทำงานชิ้นหนึ่ง
“ข้าเข้าใจ” เยี่ยเม่ยเข้าใจอยู่แล้ว เซี่ยฉุนเหวยเป็นคนของฮ่องเต้ ในเวลานี้ช่วยนางก็เท่ากับทรยศต่อฮ่องเต้ครั้งหนึ่ง
เพื่อลูกสาว เขายอมประนีประนอมครั้งเดียว ไม่ยอมให้มีครั้งต่อไปก็เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งเยี่ยเม่ยก็เข้าใจเขาเช่นกัน
เยี่ยเม่ยกล่าวต่อ “วางใจเถอะ อย่างไรเสียท่านโหวติดค้างน้ำใจข้าแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
เซี่ยฉุนเหวยฟังคำตอบของนาง พลันวางใจแล้ว ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยก็ขอตัวก่อนแล้ว”
ขณะที่เขากำลังจะจากไป
เยี่ยเม่ยโพล่งถามว่า “ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ ท่านโหวคิดเสนอกับฝ่าบาทเมื่อไร”
เซี่ยฉุนเหวยตอบ “ย่อมต้องเข้าวังเดี๋ยวนี้”
เยี่ยเม่ยส่ายหน้า เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ไม่ พรุ่งนี้ค่อยเสนอในท้องพระโรง ท่านโหวคือคนที่ฝ่าบาทไว้ใจ หากพูดกับฝ่าบาทเป็นการส่วนตัว ฝ่าบาทไม่มีทางตกลง เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรให้หารืออีก แต่ว่าหากเอ่ยในท้องพระโรง ขอเพียงมีแม่ทัพท่านอื่นเห็นด้วย เช่นนั้นเสด็จพ่อจะไม่ตกลงก็ไม่ได้”
เยี่ยเม่ยไม่ได้โง่ขนาดนั้น แผนการวางไว้ทีละก้าวๆ ปล่อยให้เซี่ยฉุนเหวยเสนอกับฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว สุดท้ายไม่อาจบรรลุเป้าหมายอะไรทั้งนั้น เช่นนั้นที่นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกระทำก็ไม่กลายเป็นเรื่องสูญเปล่าไปหมดหรอกหรือ
ก้าวของเซี่ยฉุนเหวยก้าวนี้ ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญที่สุดแล้ว
ตอนที่ 156 ไล่ออกจากค่ายทหาร
เซี่ยฉุนเหวยชะงักเล็กน้อย เขากลับไม่ได้คิดมากเช่นเยี่ยเม่ย
แต่ตอนนี้เมื่อคิดๆ ดูแล้ว คล้ายจะเป็นเช่นนี้จริงๆ เยี่ยเม่ยเองไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเรื่องนี้ไม่มีเงื่อนไขอื่นให้หารืออีก
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ได้ คำไหนคำนั้น”
“คำไหนคำนั้น”
เมื่อเยี่ยเม่ยกล่าวจบก็หมุนกายจากไปแล้ว
……
วันรุ่งขึ้น
ในท้องพระโรง เซี่ยฉุนเหวยที่ไม่เคยใส่ใจการแก่งแย่งของบรรดาองค์ชายทั้งหลาย มีเพียงจิตใจจงรักภักดีต่อฮ่องเต้อย่างเดียวพลันก้าวออกมา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท เพราะการตายของแม่ทัพหวัง ภายในกองกำลังรักษาเมืองไม่สงบ ทุกคนรู้สึกขุ่นเคืององค์ชายใหญ่อยู่ในใจ หากปล่อยนานไป เกรงว่าจะก่อให้เกิดความวุ่นวายได้ กระหม่อมเห็นว่าสมควรให้องค์ชายใหญ่ออกจากค่ายทหารองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ฟังพลันรู้สึกสั่นสะท้าน
ที่สั่นสะท้านไม่ใช่เพราะมีคนไม่พอใจองค์ชายใหญ่ แต่เพราะเดิมทีเซี่ยฉุนเหวยเป็นคนฝั่งพระองค์ จู่ๆ ถึงกับเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าปัญหายังมีอยู่ใช่หรือไม่ ซ้ำยังรุนแรงอีกด้วย?
ดูจากสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ เยี่ยเม่ยก็รู้ว่าความคิดของนางประสบความสำเร็จแล้ว
ประการแรก หากนางเป็นคนเสนอเรื่องนี้ ฮ่องเต้ก็จะระแวงสงสัย ประการที่สอง เซี่ยฉุนเหวยเป็นคนที่จงรักภักดี ฮ่องเต้ย่อมรู้ถึงความภักดีของเขา ไม่มีทางสงสัยว่าจู่ๆ เขาจะแปรพักตร์ เช่นนั้นก็จะเข้าใจว่าคำพูดเซี่ยฉุนเหวยเป็นความจริง สถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดที่ไม่อาจควบคุมได้แล้ว
เป็นไปดังคาด ฮ่องเต้ตรัสถามทันที “รุนแรงถึงเพียงนี้จริงหรือ”
เซี่ยฉุนเหวยใจเต้นระส่ำ เวลานี้เกิดความรู้สึกผิดต่อฮ่องเต้ แต่เพราะเรื่องส่วนตัว เพื่อลูกสาวเพียงคนเดียวก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับฝ่าบาทแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเล็กมาก ต่อให้องค์ชายสี่และเยี่ยเม่ยต้องการบัลลังก์ สุดท้ายเมื่อได้ครองราชย์แล้วก็ยังคงเป็นลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาท
เมื่อคิดดังนี้ ในที่สุดเขาก็เกลี้ยกล่อมตัวเองสำเร็จ
ดังนั้นเขาที่ไม่รู้สถานการณ์ในค่ายองครักษ์หลวงเลยสักน้อยตอบกลับว่า “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ในค่ายทหารรักษาเมืองได้ยินข่าวลือที่เกี่ยวข้อง เพื่อสงบขวัญกำลังใจเหล่าทหาร ขอให้ฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาข้อเสนอของกระหม่อมด้วย”
ในเวลานี้ เยี่ยเม่ยก้าวออกมาค้านว่า “เสด็จพ่อ ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม อย่างไรเสียหม่อมฉันก็ไม่มีประสบการณ์จัดการมากเท่าใดนัก หากเสด็จพี่ใหญ่ออกจากค่ายตอนนี้แล้วล่ะก็…”
นางพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ แสดงออกว่าตัวเองไม่มีใจเป็นอื่น
แล้วก็เป็นดังคาด เป่ยเฉินเซี่ยวฟังคำพูดของนางแล้ว เวลานี้รู้สึกวางใจเป็นอย่างยิ่ง ความระแวงสงสัยที่เพิ่งผุดออกมาในชั่ววูบนั้นพลันหายวับไปไม่เหลืออีกแล้ว
ตอนนี้เอง แม่ทัพแซ่ฉินผู้หนึ่งก้าวออกมา เอ่ยด้วยวาจาเผ็ดร้อน “ฝ่าบาท การตายของแม่ทัพหวัง ทำให้ภายในค่ายทหารองครักษ์เกิดความไม่สงบ ทุกคนต่างแตกตื่น กระหม่อมก็คิดว่าฝ่าบาทควรให้องค์ชายใหญ่ออกจากค่ายทหาร ไม่ว่าอย่างไรอย่างน้อยก็เป็นการสงบขวัญของทหารให้ได้ก่อนค่อยหารือกันใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ แต่ว่าทุกคนล้วนรู้ว่าเมื่อเชิญองค์ชายใหญ่ออกจากค่ายทหารในเวลานี้ ภายหน้าก็ไม่มีทางได้กลับเข้าไปอีกแล้ว
คำพูดของเขาก็อยู่ในความคาดเดาของเยี่ยเม่ยเช่นกัน
เพราะในยามนี้ทหารขวัญหนีดีฝ่อ อีกทั้งทุกคนไม่ชอบเป่ยเฉินเสียงเอามากๆ เพียงแต่…ทหารที่ขวัญกระเจิงนี้เป็นผลงานที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งให้คนกระพือข่าวออกไป
เมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรว่าเยี่ยเม่ยที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของเรื่องนี้ไม่เพียงไม่เห็นด้วย ทั้งยังคัดค้านอีก แต่เซี่ยฉุนเหวยที่อยู่ฝั่งพระองค์กับแม่ทัพฉินที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดยังเห็นเช่นนี้ ครั้นพระองค์ไม่ยอมรับปาก ก็คงไม่มีเหตุผลค้าน
ดังนั้น พระองค์ชะงักไปเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี ทำตามนี้”