ตอนที่ 152 เก็บหลวงจีนได้รูปหนึ่ง (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

พริบตานั้น แววตางุนงงเหล่านั้น ความสูงส่งบริสุทธิ์เหล่านั้น แสงพุทธะเหล่านั้น พลันแหลกสลายดัง เปาะ ราวกับฟองอากาศ

 

 

รสชาติความศักดิ์สิทธิ์สลายไปไม่ดีเอาเสียเลย ทุกคนหน้าซีดเผือด นึกด่าในใจว่าเจ้าลาหัวโล้น[1] มารดามันเถิด นี่มันหลวงจีนทุศีลชัดๆ!

 

 

หลวงจีนผู้นี้ช่างน่าสนใจเสียจริง!

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ฟุบลงกับโต๊ะ สั่นเทิ้มทั้งตัวหัวร่อจนน้ำตาไหล โจวอวี่ก็กุมท้องสะอึกอิงกับลูกกรง

 

 

“สารเลว ไปกินอาจมเสีย จับไอ้บ้านี่ขังไว้ พรุ่งนี้นำส่งทางการ!” เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เองโมโหแล้ว ไยจึงมีคนไร้ยางอายถึงเพียงนี้!

 

 

พวกเสี่ยวเอ้อร์พากันโถมเข้าไปตะครุบราวเสือร้าย กลับได้ยินเสียงแหบห้าวดังขึ้น “เถ้าแก่ เสี่ยวซือฟู่ (อาจารย์น้อย) ท่านนี้ค้างค่าสุราอาหารเจ้าเท่าใดกัน คุ้มหรือกับบุญคุณที่เคยช่วยเจ้า จนต้องจับตัวไปให้ทางการ”

 

 

จู่ๆ มีคนสอดคำ เถ้าแก่ชักรำคาญ แต่พอเห็นคนที่ส่งเสียงก็หน้าเปลี่ยนสี กล่าวอย่างนับว่าเกรงใจว่า “ที่แท้เป็นท่านเฉินต้ากวนเหริน[2]นี่เอง ท่านคงไม่รู้ มิใช่ข้าผู้แซ่จูเนรคุณหรือใจแคบ แต่เจ้าหลวงจีนนี่มันทำเกินไป ปีที่แล้วเขากับคนที่วัดผ่านมาทางนี้ ช่วยบุตรสาวข้าทำนายทายทัก ทำให้บุตรสาวข้าหายป่วยไข้ พวกเราซาบซึ้งอย่างยิ่ง ปีที่แล้วไม่คิดเงินกับเขา…

 

 

…ปีนี้เขามาคนเดียว ดูเหมือนคนในวัดไปกันหมดแล้ว ข้าเห็นเขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ประมาณว่าเขาพักอาศัยในภูเขามานาน ท่าทางโง่งมคงไม่ค่อยรู้เรื่องทางโลก เดิมทีจะสงเคราะห์บ้าง ใครจะไปรู้ว่าเขาจะกินจุจนน่าตกใจ ข้าเลยให้เขาช่วยทำนายให้คนอื่นบ้าง เผื่อจะได้เงินมาจุนเจือบ้าง เขากลับไม่ยอม บอกว่าลิขิตฟ้าแพร่งพรายมิได้อะไรเทือกนี้ บรรพชิตไม่มุสา ท่านว่าเขามิใช่จงใจจะหลอกกินเปล่าหรือ”

 

 

ท่านเฉินลูบหนวดบนใบหน้าพลางเดินเข้าหาเถ้าแก่ หัวร่อร่าเห็นฟันเหลืองทั้งปาก “ข้าว่านะเหล่าจู เจ้าก็ตระหนี่เกินไป เสี่ยวซือฟู่คนหนึ่ง คาดว่าอยู่แต่ในภูเขากินเจจนเบื่อ ยากนักจะมีโอกาสฉันของคาวสักครา พุทธะทรงเมตตามิตำหนิเขาหรอก บัญชีของเสี่ยวซือฟู่ท่านนี้ข้าชำระให้เอง!”

 

 

เถ้าแก่จูแลดูท่านเฉิน มุ่นคิ้วเล็กน้อย คนที่มั่วอยู่แถวนี้ไม่มีใครไม่รู้จักท่านเฉิน เขาเป็นคนหยาบกร้าน แม้จะสวมใส่ชุดแพรที่นับว่าหรูหรา แต่ยังคงแบะคอเสื้อเผยให้เห็นขนดำพรืดเต็มหน้าอก

 

 

เมื่อก่อนท่านเฉินก็วิ่งเรือเหมือนกัน ต่อมาเห็นว่าชีวิตวิ่งเรือลำบากเกินไป จึงเปลี่ยนอาชีพไปงมศพ ในเมื่อใกล้ริมน้ำตะวันออกก็ใช่ว่าจะไม่มีคลื่นลม แต่ละปีมีคนจมน้ำตายเป็นประจำ แต่ถึงอย่างไรงานงมศพก็ไม่เป็นมงคล ว่ากันว่าทำนานไปจะมีไอหยินหนัก ความซวยจะมาก จึงไม่มีใครอยากทำ จึงทำให้หลายปีนี้เจ้าคนแซ่เฉินหาเงินได้ไม่น้อย บัดนี้เขาซื้อบ้านที่ริมน้ำตะวันออก รับข้าทาสไว้มากมาย และเรียกตัวเองเป็นเฉินต้ากวนเหริน

 

 

พวกคนเดินเรือต่างก็รู้กันว่าเฉินต้ากวนเหรินท่านนี้มีนิสัยเสียอยู่อย่างคือชอบผู้ชาย ความจริงชายชอบชายก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวทรามใหญ่โต แต่ที่น่ารังเกียจคือฝีมือการทรมานคนของเขาดุเดือดเกินไป พวกชายบำเรอตามซ่องแถวนี้ล้วนไม่กล้ารับเขาเป็นแขก

 

 

แม้จะให้ราคาสูง แต่ชายบำเรอคนไหนตอนกลับมาล้วนมีแผลทั้งตัว เกิดถูกทรมานจนเสียชีวิตย่อมได้ไม่คุ้มเสีย

 

 

ดังนั้นไอ้หมอนี่จึงหันไปหาพวกค้ามนุษย์เอาตัวเด็กชายหรือเด็กหนุ่มมาจากต่างถิ่น บอกว่าจะขายให้จวนคนใหญ่คนโตเป็นเด็กรับใช้หรือซูถง[3] แต่ยามดึกที่เอาคนไปโยนทิ้งในแม่น้ำ บางครั้งศพลอยขึ้นมามักพบว่าถูกทุบตีจนมีแผลทั่วตัวน่ากลัวมาก

 

 

และแล้วพวกคนวิ่งเรือแถบนี้หลายคนจึงรู้ว่าเจ้าเฉินต้ากวนเหรินคนนี้มิใช่ตัวดีแต่อย่างใด แต่เพราะอาชีพของเขาจึงรู้จักกับข้าราชการท้องถิ่น วิ่งเต้นกับหน่วยงานซือหลี่เจี้ยน ซ้ำยังมีความสัมพันธ์กับสกุลเหมยอยู่บ้าง อีกอย่างพวกที่ตายไปก็เป็นคนต่างถิ่นไม่มีใครมาตามหา จึงไม่มีใครอยากเสี่ยงชีวิตไปแจ้งทางการ

 

 

บัดนี้เถ้าแก่จูจู่ๆ ได้ยินเขาจะชำระบัญชีให้หลวงจีนรูปหนึ่ง และเห็นสายตาเขาเมียงมองใบหน้าของหลวงจีนรูปนั้นตลอดเวลาก็เอะใจ ไอ้หมอนี่คงคิดมิดีมิร้ายกับหลวงจีนกระมัง

 

 

แม้เขาจะโมโหที่หลวงจีนกินเปล่า แต่ดูจากการพูดการจาและอากัปกริยาก็รู้สึกไม่ใช่คนธรรมดา แต่มิรู้ว่าเขาแกล้งล้อเล่นหรืองี่เง่าจริง คำพูดสองสามคำก็ทำเอาคนจะอกแตกตาย คิดจะจับตัวเขาส่งทางการ ซึ่งความจริงในใจก็คิดสะระตะอยู่ว่า ทางการจะช่วยจ่ายค่าอาหารได้บ้างหรือไม่ แล้วค่อยส่งหลวงจีนกลับวัด ปล่อยให้ค้างที่นี่รอคนมาตามคงมิใช่วิธีที่ดี

 

 

แม้จะโมโหแต่ก็ไม่มีจิตคิดร้ายต่อหลวงจีน ถึงอย่างไรกับตนเองก็ถือว่ามีบุญสัมพันธ์ต่อกัน และการทำร้ายบรรพชิตก็กลัวเป็นบาป จะมีผลกรรมตามมา

 

 

โดยเฉพาะหลวงจีนรูปนี้หน้าตาไม่ธรรมดา จะมากหรือน้อยดูแล้วน่าจะขลังอยู่

 

 

เถ้าแก่จูจึงบ่ายเบี่ยงอย่างไม่เกรงใจ “เฉินต้ากวนเหริน ท่านมิต้องขอร้องแทนหลวงจีนหรอก ข้าเหล่าจูเห็นเขาแม้จะโง่งม ยั่วให้คนโมโห แต่จะอย่างไรก็เป็นบรรพชิต ส่งไปทางการถึงจะไม่ได้ค่าอาหารกลับมาก็ถือเสียว่าพวกเราบริจาคให้พุทธะ ถ้าสามารถส่งหลวงจีนกลับวัดก็ถือว่าเหล่าจูได้ทำบุญทำกุศลด้วย”

 

 

เฉินต้ากวนเหรินฟังแล้วพริบตานั้นก็หยีตาที่ถลนเหมือนลูกโป่ง แค่นหัวร่อเย็นชาใส่เถ้าแก่จู “เหล่าจู ข้ามิรู้ว่าเจ้าใจดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่เจ้าบังอาจปฏิเสธความหวังดีของข้าหรือ”

 

 

เถ้าแก่จูขมวดคิ้วกำลังจะพูด ก็ถูกเฉินต้ากวนเหรินถลันเข้าใกล้ ขัดคำเสียงเบา “เจ้าไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับข้าต้ากวนเหริน ต่อให้ส่งตัวให้ทางการข้ายังคงมีปัญญาเอาออกมาเสพสุขได้ ก็แค่ใช้เงินมากหน่อยเท่านั้นเอง แต่เหล่าจูถ้าเจ้าไม่ให้หน้าข้าก็ถือว่าเป็นอริกัน ถ้าเจ้ารู้ดีรู้ชั่วหน่อยข้าต้ากวนเหรินจ่ายให้เป็นสองเท่าของค่าอาหารดีไหม ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจหลวงจีนอยู่แล้ว แต่เจ้ากับข้าอยู่ที่ท่าเรือตะวันออกนี่ต้องเจอะกันจนได้ เหอะ เหอะ…”

 

 

เฉินต้ากวนเหรินแยกเขี้ยวยิ้มแสยะจนเถ้าแก่จูสยิวกาย เขารู้ดีว่าเฉินต้ากวนเหรินมีความสามารถเช่นนี้จริง การจะเอาคนออกจากคุกไปไว้ที่บ้านมิใช่เป็นไปมิได้ การผิดใจกับเจ้าคนแซ่เฉินเพราะเห็นแก่หลวงจีนที่ไร้ญาติมิตรคนหนึ่ง โดยเฉพาะอิทธิพลหนุนหลังที่ซับซ้อน…

 

 

เถ้าแก่จูชักลังเล เฉินต้ากวนเหรินย่อมดูออกจึงยื่นสี่นิ้วให้ “สี่เท่าของค่าอาหารเป็นอย่างไร”

 

 

ถึงอย่างไรเถ้าแก่จูก็เป็นแค่คนธรรมดา เขามิได้ขาดแคลนเงินทองแต่ขยาดกับอิทธิพลของอีกฝ่าย เขาลังเลครู่หนึ่ง มองดูหลวงจีนผมเงินที่ยังคงจ้องมองอาหารบนโต๊ะด้วยสีหน้าเฉยเมย ในที่สุดก็กัดฟันกล่าวว่า “ได้ แต่เจ้าอย่าทำเกินไปนะ”

 

 

แม้อีกฝ่ายจะพูดเสียงอ่อยไร้พิษภัยแม้แต่น้อย แต่เฉินต้ากวนเหรินมองดูหลวงจีนรูปงามที่กำลังจะตกถึงมือ นึกในใจว่ายังไม่เคยลิ้มชิมรสชาติคนงามชั้นเลิศขนาดนี้ จึงยังคงรับปากด้วยยิ้มเกลื่อนหน้า

 

 

“ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!”

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ลาหัวโล้น เป็นคำด่าหลวงจีน

 

 

[2] ต้ากวนเหริน หมายถึงผู้มีอันจะกินหรือคหบดีที่ทรงอิทธิพล

 

 

[3] ซูถง สมัยจีนโบราณ ครอบครัวผู้มีอันจะกินหรือเจ้าใหญ่นายโต มักซื้อตัวเด็กรับใช้หน้าตาดีเฉลียวฉลาดเป็นเพื่อนร่วมเรียนหนังสือกับบุตรหลานของตน