เล่ม 1 เล่มที่ 1 ตอนที่ 6 ซ้ายขวาล้วนต้องตาย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีชี้นิ้วไปยังผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตู ซึ่งก็คือแม่นมจาง

        ขาของแม่นมจางอ่อนแรงทรุดลงกับพื้นทันที

        “คุณหนูจิ่นซี ท่านจะยัดเยียดข้อหาให้เป็นความผิดของบ่าวไม่ได้นะเจ้าคะ! บ่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของคุณชายน้อยอวี้สักนิด บ่าวไม่ได้เป็นคนฆ่าจริงๆ นะเจ้าคะ”

        แม้ว่าซูจิ่นซีจะชี้ไปที่แม่นมจาง ทว่าหางตาของนางกำลังแอบเก็บรายละเอียดและคอยสังเกตความผิดปกติของผู้อื่นอย่างลับๆ

        ผู้คนในห้องโถงมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป

        ด้วยเหตุนี้ซูจิ่นซีชี้ไปที่แม่นมจางไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าแม่นมจางเป็นฆาตกรที่ฆ่าฮั่วอวี้ ทว่าซูจิ่นซีกำลังคิดใช้โอกาสนี้ในการหาฆาตกรตัวจริง

        นางคาดการณ์อย่างมั่นใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้ฆาตกรตัวจริงจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง และในเวลานี้นางสามารถคาดเดาได้แล้วว่าฆาตกรผู้นั้นเป็นใคร

        “แม่นมจางจะตระหนกไปไย? ข้ายังไม่ได้พูดสักหน่อยว่าเจ้าเป็นฆาตกร! ”

        ซูจิ่นซีกล่าวอย่างไม่เก็บมาคิดให้กังวลใจ

        แม่นมจางผงะไปครู่หนึ่ง เหงื่อเม็ดโตบนหน้าผากของนางยังคงหยดลงบนพื้น ทว่านางไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ

        ซูจิ่นซีเดินไปยังด้านหน้าของทุกคนทีละก้าว ค้นหาข้อเท็จจริงจากสีหน้าที่แต่ละคนแสดงออกมา ทุกย่างก้าวของนางไม่ได้ลงน้ำหนักมาก ทว่าราวกับค้อนกระแทกหัวใจทุกคน แรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้กำลังทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก ในห้องโถงสั่นสะท้านราวกับจั๊กจั่น [1]

        สุดท้ายฮั่วซื่อก็เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบนั้น ฮั่วซื่อลุกขึ้นแล้วชี้ไปที่ซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการจะกระทำสิ่งใด? ”

        ทันทีที่ฮั่วซื่อพูด อนุซุนก็ได้สติยกมือลูบหน้าอกตนเอง หลังจากที่แทบจะขาดอากาศหายใจ “ใช่! ซูจิ่นซี หาฆาตกรไม่พบก็พูดออกมาเถิด อย่ามาทำอวดเก่งไปหน่อยเลย หรือว่าเจ้าเองที่เป็นฆาตกรแล้วจึงคิดอยากจะโยนโทษผู้อื่น? ”

        ซูจิ่นซียิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะสนใจฮูหยินฮั่วซื่อกับอนุซุน นางเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าของซูเซียนฮุ่ย

        “พี่หญิงใหญ่ รบกวนถอดรองเท้าลายปักของท่านออกมาให้ทุกคนยลโฉมหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ! ”

        แม้ว่าก่อนหน้านี้ซูเซียนฮุ่ยจะดูนิ่งสงบมากซึ่งตรงกันข้ามกับใจของนางที่แทบจะทะลุหลอดลมออกมา ในเวลานี้เมื่อถูกซูจิ่นซีซักไซ้ไล่เลียงเอาความจริง สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปทันที มือขาวของนางจับราวพนักพิงแขนของเก้าอี้ไว้แน่น

        “น้องหญิงเจ็ด นี่เจ้ากำลังหมายความว่าอย่างไร เจ้าสงสัยว่าข้าเป็นฆาตกรหรือ? ”

        เพื่อที่จะสามารถข่มซูจิ่นซีให้อยู่หมัด ซูเซียนฮุ่ยจงใจเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาเล็กน้อย

        ทว่านั่นไม่สามารถทำอะไรซูจิ่นซีได้เลย

        “ใช่แล้ว! พี่หญิงใหญ่ น้องสาวอย่างข้ากำลังสงสัยว่าท่านเป็นคนฆ่าฮั่วอวี้อย่างไรเล่า”

        “เจ้า…เจ้ากล้าดีอย่างไร? ”

        สายตาทั้งสองของซูเซียนฮุ่ยไหวระริก เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลาราวกับตาของไก่

        แม้ว่าฮั่วซื่อจะไม่ทราบว่าฆาตกรตัวจริงเป็นผู้ใด ทว่าในเวลานี้นางกลับเห็นเงื่อนงำจากกิริยาของซูจิ่นซีและซูเซียนฮุ่ย

        ซูเซียนฮุ่ยเป็นบุตรสาวของนาง นางจึงทราบดีที่สุด ซูเซียนฮุ่ยในยามปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นมารดาน้อยครั้งที่จะโกหก ทว่าในยามที่นางโกหก ดวงตาของนางจะล่อกแล่กไม่กล้ามองสบตามารดาตนเอง

        เวลานี้ฮั่วซื่อที่จ้องมองซูเซียนฮุ่ยมาโดยตลอด ซูเซียนฮุ่ยไม่กล้าแม้เพียงนิดที่จะมองสบตาของนาง

        หรือว่าฮั่วอวี้ตายด้วยน้ำมือของซูเซียนฮุ่ยจริงๆ ?

        เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

        ฮั่วอวี้เป็นหลานแท้ๆ ของนาง พวกเขาเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน!

        ใบหน้าของฮั่วซื่อซีดลงจากการคาดเดาของตนเอง

        ทว่าฮั่วซื่อคิดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าความจริงของเรื่องราวจะเป็นอย่างไร รอให้เรื่องนี้จบลง นางจะต้องซักถามบุตรสาวของตนให้กระจ่าง ทว่าขณะนี้สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือ บุตรสาวของนางจะต้องพ้นทุกข้อครหา เนื่องจากบุตรสาวเป็นเพียงความหวังเดียวที่นางวาดฝันวางแผนมาหลายปี

        “ซูจิ่นซี เจ้าไม่เจียมตัวเสียเลย ซูเซียนฮุ่ยมีค่าดั่งหยกและตระกูลของเราก็สั่งสอนอย่างเข้มงวด ที่นี่มีคนตั้งมากมาย จะให้ถอดรองเท้าลายปักของนางต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร? ”

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างเย็นชาไม่แม้แต่จะเหลือบมองฮั่วซื่อสักนิด ดวงตาที่หม่นแสงของนางจ้องมองไปที่ซูเซียนฮุ่ย

        “อ้อ? หากพี่หญิงใหญ่มีค่าดั่งหยก ถอดรองเท้าลายปักในระหว่างนี้ไม่ได้ แล้วว่าที่พระชายาโยวอ๋องอย่างข้าคือผู้ใดกัน ที่แท้แล้วไม่สามารถเทียบได้กับพี่สาวตนเองเลยหรือ? หรือท่านแม่กับพี่หญิงใหญ่เดิมทีก็ไม่เห็นโยวอ๋องอยู่ในสายตา? ”

        เหลวไหล!

        คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กน่ารังเกียจนี่กำลังจะได้เป็นพระชายาโยวอ๋อง

        และไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้ หลังจากตื่นขึ้นมาจะเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนี้

        ฮั่วซื่อเกลียดซูจิ่นซีจนกัดฟันกรอด

        เวลานี้แม้ว่าผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ ณ ห้องโถงก็ไม่เข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้เท่าไรนัก ทว่ายังสามารถรับรู้ได้ถึงคำพูดและการกระทำที่ต่างออกไปของซูจิ่นซี ซูเซียนฮุ่ยและฮูหยินฮั่วซื่อเช่นกัน

        ทุกคนต่างมองไปยังเท้าของซูเซียนฮุ่ยอย่างสงสัย

        ซูเซียนฮุ่ยเหมือนนั่งอยู่บนเข็มหมุด มือของนางกำแน่น ดวงตาทั้งสองของนางนั้นส่องประกายมีน้ำตาคลอ นางรู้สึกประหม่าจนอยากร้องไห้ออกมา

        ประโยคสุดท้ายของซูจิ่นซีราวกับว่ากำลังกระชากฟางเส้นสุดท้ายที่เป็นทางรอดเดียวของซูเซียนฮุ่ย

        ซูจิ่นซีเอ่ยกับซูจ้งว่า “ท่านพ่อ หากสกุลซูไม่สามารถยุติเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นก็ส่งให้ศาลต้าหลี่จัดการเถิด แม้วันนี้ข้าจะไม่ใช่ว่าที่พระชายาของไท่จื่อแล้ว ทว่าโชคดีที่ในอนาคตยังได้เป็นพระชายาของโยวอ๋อง! ให้ร้ายว่าที่พระชายาโยวอ๋องในอนาคตก็เท่ากับว่าทำให้ชื่อเสียงฐานะวงศ์ตระกูลของจวนโยวอ๋องแปดเปื้อน ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ตายก็คือบุตรชายของไหวหยางจวิ้นจู่”

        ซูจ้งคือคนที่ทราบความสำคัญหนักเบาในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ทราบดีว่าหากเรื่องนี้ถูกส่งไปยังศาลต้าหลี่ ถึงตอนนั้นยังจะมีทางที่สกุลซูจะอยู่รอดต่อไปได้อีกหรือ?

        ซูจิ่นซีคือคนที่จะพรากชีวิตของสกุลซู ขู่บังคับประมุขสกุลซูอย่างเขาให้ออกมาจัดการเรื่องนี้ตามหลักยุติธรรม

        ใบหน้าของซูจ้งมืดมนลงทันใด

        ซูเซียนฮุ่ยอดรนทนต่อไปไม่ไหว ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นและชี้ไปที่จมูกของซูจิ่นซีและเริ่มต่อว่าอย่างดูถูกดูแคลน

        “หญิงสารเลว เจ้าไม่มองใบหน้าตนเองบ้างเล่า! ดูว่าหน้าเจ้าเป็นอย่างไร สตรีงามตั้งมากมายถูกส่งไปที่จวนโยวอ๋อง ล้วนไม่มีผู้ใดรอดกลับมาสักคน แล้วคนเช่นเจ้าคิดว่าจะเป็นพระชายาโยวอ๋องได้อยู่กี่ชั่วยามกันเชียว”

        ทุกคนต่างตกใจและมึนงงกับปฏิกิริยาของซูเซียนฮุ่ย บรรยากาศอึมครึมจนไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง แน่นอนว่ากระต่ายจะแว้งกัดคนหากถูกบังคับมากเกินไป ซูเซียนฮุ่ยถูกซูจิ่นซีบังคับให้เป็นเช่นนั้น!

        ซูเซียนฮุ่ยกร่นด่าอย่างต่อเนื่อง “ซูจิ่นซี ดูท่าทางหยิ่งยโสของเจ้า อะไรก็พระชายาโยวอ๋อง นิดหน่อยก็พระชายาโยวอ๋อง เจ้าคงยังไม่รู้สินะ ข้าได้ยินมาว่าโยวอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อสองสามวันก่อนจากการต่อสู้ที่ไหวเจียง ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกวางยาพิษอย่างหนักเสียด้วย ตอนนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เจ้าแต่งเข้าไปก็คิดเสียว่าหากเจ้าไม่ตายในคืนอภิเษกก็ต้องรอโยวอ๋องตายนั่นละ ตามกฎมณเฑียรบาล เจ้าก็ต้องตายตามโยวอ๋องเช่นกัน จะซ้ายหรือจะขวาก็ไม่มีทางรอดใด เช่นนี้เจ้ายังจะภูมิใจกระไรนักเล่า? ”

        ซูจิ่นซียอมรับว่า แม้ก่อนหน้านี้จะพอคาดเดาได้จากท่าทางของทุกคนว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่ต้องอภิเษกสมรสกับโยวอ๋อง ทว่าเมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของซูเซียนฮุ่ยกับหูของตนเองก็แอบเสียใจอยู่ไม่น้อยที่รับราชโองการเช่นนั้น

        เพียงแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือ การที่ซูจิ่นซีบีบบังคับซูเซียนฮุ่ยให้เปิดเผยตัวตนได้สำเร็จ สุดท้ายตัวตนจอมปลอมของซูเซียนฮุ่ยก็ถูกฉีกกระชากออกและใบหน้าที่แสดงความเกลียดชังของนางก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คน

        “ดีสิ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่หญิงใหญ่ ก่อนที่น้องสาวอย่างข้าจะต้องตายก็ควรกระชากหน้ากากท่านให้ตกตายไปกับข้าด้วยเป็นอย่างไรเล่า? ”

        ดวงตาของซูจิ่นซีแสดงออกถึงความเย็นชา

        ความเย่อหยิ่งจองหองเดิมของซูเซียนฮุ่ยดับวูบลง ใบหน้าของนางถูกซูจิ่นซีทำให้ซีดลงไปอีกขั้น

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างพอใจและเอ่ยกับซูจ้งว่า “ท่านพ่อ คำสบประมาทว่าที่พระชายาโยวอ๋องอย่างข้าก็ช่างมันเถิด ทว่าไม่ทราบว่าการสาปแช่งโยวอ๋องและโทษของการไม่เคารพนั้นเป็นอย่างไร? หากท่านพ่อไม่ทราบ เช่นนั้นเราควรส่งคนไปสอบถามที่ศาลต้าหลี่ดีหรือไม่? ”

        ส่งคนไปสอบถามที่ศาลต้าหลี่?

        นั่นไม่เท่ากับว่าตนเป็นผู้วิ่งไปรับสารภาพเองหรอกหรือ?

        ดีเหลือเกินที่ซูจิ่นซีคิดได้เช่นนี้!

        ซูจ้งโกรธจนเริ่มกัดฟัน ที่ซูจิ่นซีพูดก็มีเหตุผล ทว่าตัวเขาเองก็ไม่สามารถกระทำอันใดได้อยู่ดี