เดินไปได้สักพัก พวกเขาก็ได้ยินเสียงของกลุ่มคนและรู้สึกได้ถึงการมีอยู่จากระยะไกล
“แปลกจัง…จากที่เจ้าของร้านขนมปังพูด เห็นว่าหลังจากมีปีศาจปรากฏตัวขึ้นก็ไม่มีคนผ่านที่นี่แล้วนะ”
“เดี๋ยวข้าจะไปดู ท่านรอ…ไปด้วยกันนะขอรับ”
ราธบันเหลียวหลังไปมอง พบว่าลีน่ากำดาบด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเรียบร้อยแล้ว จึงยอมรับความผิดของตนแต่โดยดีแล้วไปยืนข้างนาง
เสียงยิ่งชัดเจนขึ้นทันทีที่เข้าไปใกล้
“เพราะงั้นเชื่อแล้วทำตามข้า! ข้าจะแสดงให้ทุกท่านได้เห็นการคุ้มครองของพระเจ้า!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังตะโกนเสียงดังต่อหน้าทุกคน ลีน่านิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงนั้น ในสถานที่ที่มีปีศาจอาศัยอยู่ การแผดเสียงแบบนั้นมีแต่จะเรียกให้ปีศาจที่ผ่านมาเฉยๆ เข้ามาใกล้ไปด้วย
“คนข้างหน้าคงเคยเห็นแล้วว่าขอแค่มีสร้อยคอเส้นนี้ ไม่ว่าปีศาจตัวไหนก็สามารถจัดการได้ทั้งนั้น! หากพวกเจ้ารักษาสัญญา ข้าจะใช้พลังนี้ทวงคืนหมู่บ้านของพวกเจ้ากลับมา!”
ได้ยินดังนั้นลีน่าก็พอจะเข้าใจเรื่องราวแล้ว หลังจากวิหารหลวงย่อยยับ สิ่งของต่างๆ จำนวนมากที่เคยอยู่ในวิหารหลวงก็กระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ ไม่เพียงแต่ผลงานศิลปะและอัญมณีจำนวนมาก พวกอาร์ติแฟกต์ที่ครอบครองพลังน่าประหลาดก็เช่นเดียวกัน อาร์ติแฟกต์ของวิหารหลวงมีหลายชิ้นที่สร้างขึ้นจากซากศพของปีศาจ และส่วนใหญ่เป็นของที่แสดงพลังต่อต้านปีศาจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนว่าคนที่กำลังตะโกนอยู่ตอนนี้จะบอกว่าตนจะใช้พลังนี้ทวงคืนหมู่บ้านกลับมาให้ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่บนภูเขาลูกนี้แต่เดิม
“จะทวงหมู่บ้านกลับคืนมาได้จริงหรือ”
“นั่นสิ…แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธี”
“แต่อย่างไรข้อเรียกร้องของคนผู้นั้นก็มากเกินไป ถ้าให้เงินเท่าจำนวนที่เขาขอไปแล้วหมู่บ้านพวกเราจะเอาอะไรกิน…แถมข้าก็ไม่ชอบใจเรื่องที่ชอบมาตามตอแยหญิงสาววัยรุ่นด้วย”
ราธบันกับลีน่าแลกเปลี่ยนสายตากันเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่กระซิบกันอยู่ด้านหลัง เป็นอย่างที่คิด คนผู้นั้นไม่ได้ใช้อาร์ติแฟกต์อย่างบริสุทธิ์ใจ
“เอาอย่างไรดีขอรับ”
“ดูสถานการณ์ไปก่อน เสร็จแล้วเอาอาร์ติแฟกต์กลับมาหลังจากจับปีศาจได้”
อาร์ติแฟกต์ที่ทำขึ้นจากซากศพของปีศาจ จะปลอดภัยเมื่อถูกควบคุมและจัดเก็บด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวิหารหลวงก็จริง แต่จะเป็นอันตรายเมื่อคนทั่วไปใช้งาน บางครั้งเมื่อเจอกับปีศาจประเภทเดียวกัน มีหลายครั้งที่ปีศาจจะยิ่งตื่นเต้นและพุ่งเข้าใส่ อีกทั้งหากฟังจากคำพูดของคนในหมู่บ้าน ดูเหมือนคนผู้นั้นจะไม่ใช่คนที่ใช้อาร์ติแฟกต์ในแง่ดี
“แต่ไม่รู้ทำไมเสียงนี้มัน…”
เป็นเสียงที่เหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง ใครกัน? คนรู้จักหรือเปล่านะ? ตอนนั้นเอง ชายที่ครอบครองอาร์ติแฟกต์พลันพูดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าชื่อคาลูซ เป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่านนักบุญหญิงอีริส ข้าเอาชื่อวิหารหลวงเป็นประกันในการช่วยจัดการปีศาจให้ เงินที่พวกเจ้าสัญญาจะให้ข้าทั้งหมดจะช่วยได้มากในการเดินทางอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ข้าพาท่านผู้นั้นกลับวิหารหลวงอีกครั้ง”
“คาลูซ…?”
จำได้แล้ว เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่นางเข้ามาในร่างของอีเบลลีน่า เขาคือนักบวชระดับสูงที่ขอตำแหน่งผู้อาวุโสโดยแลกกับการนำชายหนุ่มมามอบให้!
“ราธบัน จัดการ…คนผู้นั้นเลย”
ลีน่าตั้งใจจะสั่งให้ราธบันไปจับคนผู้นั้นมา แต่เมื่อเห็นมือของราธบันชักดาบออกมารอแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะต่อให้นางไม่พูดอะไร ราธบันก็จะจับกลับมาแน่นอน ลีน่าคิดทบทวนคำพูดของคาลูซ จากนั้นพึมพำชื่อที่น่ายินดี
“อีริส”
คิดดูแล้ว นางไม่ได้ไปหาอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว
“คงต้องไปหาหน่อยแล้ว”
ลีน่ายิ้มพลางชักดาบของตนเองออกมา ก่อนจะลุกขึ้น
เสียงร้องของปีศาจดังขึ้นจากไกลๆ เห็นได้ชัดว่ามันกำลังวิ่งมาเพราะได้ยินเสียงของคาลูซและรับรู้ได้ว่าตรงนี้มีคนอยู่ ลีน่าชักดาบออกมาถือ ก่อนอื่นต้องฉกอาร์ติแฟกต์จากคาลูซมาก่อน จัดการเขา แล้วปกป้องชาวบ้านพร้อมกับปราบปีศาจด้วย
ดูเหมือนจะเป็นบ่ายที่ยุ่งมากเสียแล้ว
***
ลีน่ายื่นอยู่บนเนินเขาแล้วมองคฤหาสน์ด้านล่าง แม้จะเรียกว่าคฤหาสน์แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใหญ่โตนัก กลับเป็นที่ดินรอบข้างที่ค่อนข้างกว้างขวาง เมื่อเดินลงไปตามทางกับราธบันก็เห็นคฤหาสน์ค่อยๆ ชัดขึ้น
รูปแบบของหน้าต่างหรือประตูเป็นแบบที่นิยมในอดีต ทำให้รู้ว่าคฤหาสน์หลังนี้ถูกสร้างขึ้นนานแล้ว แต่ผนังถูกทาปูนขาวใหม่จนสะอาดตา หน้าต่างที่เปิดอยู่มีผ้าม่านสีขาวกำลังปลิวไปตามลม เมื่อเดินเข้าใกล้ประตูรั้วเหล็กก็เห็นดอกไม้หลากสีที่สวนหย่อมหน้าคฤหาสน์กำลังส่ายไปตามลม เป็นทัศนียภาพอันงดงามที่ชวนให้จิตใจเบิกบานเพียงแค่ได้มอง
“ใครหรือ”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นจากด้านใน เมื่อได้ยินเสียงนั้น ใบหน้าของลีน่าก็เปล่งประกายไปด้วยความยินดี
“ทริสตัน? เจ้ายังอยู่ที่นี่อยู่หรือ”
ทันทีที่ลีน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ตรงหน้าประตูก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น มองแวบแรกเขาเป็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าราวกับคนสวน ทว่าแววตาหรือการเคลื่อนไหว รวมถึงรูปร่างที่ต่างจากคนทั่วไปช่วยบอกให้รู้ว่าเขาเป็นอัศวินที่ผ่านการฝึกฝนมาก่อน
ลีน่าถอดฮู้ดที่ปิดบังใบหน้าออกด้วยความยินดี ราธบันที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ถอดฮู้ดออกเพราะได้ยินชื่อทริสตันเช่นเดียวกัน
“โอ้ พระเจ้าช่วย ท่านอีเบลลีน่า! ท่านราธบัน!”
ดวงตาของทริสตันที่เคยอัดแน่นไปด้วยความระแวงเต็มไปด้วยความตกใจ เขาโยนกองหญ้าที่ถืออยู่ทิ้ง แล้วรีบเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว
“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมา…”
“ข้าแค่คิดถึงอีริสก็เลยมาน่ะ อีริสสบายดีหรือไม่?”
“แน่นอนขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปพาท่านอีริสมาเดี๋ยวนี้ รีบเข้ามาเถิด”
เมื่อลีน่ากับราธบันเข้าไปแล้ว ทริสตันก็กวาดตามองรอบข้างอีกครั้ง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครแล้วจึงปิดประตู พอเข้ามาด้านใน ลีน่าก็เห็นอาวุธหลายชนิดถูกจัดเรียงไว้เป็นอย่างดีบนพื้นที่ด้านในของกำแพงที่มองไม่เห็นจากภายนอก ดูเหมือนเขาจะไม่ประมาทในการป้องกันผู้บุกรุก
ทริสตันรีบเดินไปด้านหน้าพลางนำทางทั้งสองคน
“ได้เจอกันในรอบหนึ่งปีเลยนะขอรับ”
“ใช่แล้ว คราวนี้ข้าไปท่องเที่ยวค่อนข้างไกลน่ะ แต่คิดว่าทริสตันจะกลับพระราชวังไปแล้วเสียอีก ไม่นึกเลยว่าจะยังอยู่ที่นี่”
เมื่อเดินตามทริสตันเข้าไปในประตูของคฤหาสน์ที่เปิดอยู่ ความเย็นสบายของร่มเงาและกลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรตากแห้งก็เข้ามาปะทะ พอเงยหน้ามองผนังก็พบว่ามีสมุนไพรเป็นช่อๆ ถูกแขวนไว้อย่างแน่นขนัด เพียงแค่ปรับผ้าม่านและเปลี่ยนของตกแต่งให้เข้ากับฤดูกาล แต่คฤหาสน์ที่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงมากนักหลังนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนว่าได้กลับบ้าน
‘สบายดีเลยนะเนี่ย’
นี่เป็นคฤหาสน์ที่เลออนเตรียมไว้ให้อีริส
หลังจากวิหารหลวงล่มสลาย ปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัวของอีริสก็สำคัญพอๆ กับปัญหาของลีน่า มีกลุ่มอำนาจที่ต้องการให้นางกลับไปเพื่อฟื้นฟูวิหารหลวงขึ้นใหม่ พวกเขาตามหาอีริสกันอย่างตาลุกวาว ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่สมรู้ร่วมคิดกันโดยอ้างว่าอีเบลลีน่าผู้เป็นจักรพรรดินีแล้วเป็นตัวหลัก เรียกอีริสว่านักบุญหญิงตัวปลอมและพยายามจะตามหานางเพื่อกำจัดทิ้ง แน่นอนว่าอีริสไม่ต้องการจะจับมือกับฝ่ายไหนทั้งนั้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอีริสนะ ข้าจะให้นางได้อยู่ในที่ที่อยากอยู่ แล้วจะส่งอัศวินแห่งจักรวรรดิไปช่วยดูแล”
เมื่อลีน่าเป็นกังวล เลออนก็กล่าวว่าไม่ต้องกังวลและอีริสเป็นคนที่จักรวรรดิต้องดูแล เขาให้สัญญาว่าจะดูแลปัญหาของอีริสให้ หลังจากนั้นอีริสจึงโยกย้ายถิ่นฐานอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเลือกลงหลักปักฐานที่นี่เป็นที่สุดท้าย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหล่าอัศวินในหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิที่เลออนส่งมาจะเป็นคนคอยปกป้องอีริส
ที่อยู่อาศัยของอีริสเป็นหนึ่งในข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดแม้แต่ในหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิเอง ดังนั้นอัศวินที่ถูกส่งมาที่นี่จึงเป็นคนที่ได้รับความเชื่อถืออย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นคนมีความสามารถโดดเด่น เพราะต้องคุ้มกันอีริสด้วยจำนวนน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย พวกเขาจะคุ้มกันอีริสอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปี เมื่อเสร็จภารกิจจะเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง และเข้าร่วมหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์
‘ปกติก็จะกลับไปนะ…’
ลีน่ามองทริสตันที่เดินอยู่ด้านหน้า นางจำได้ว่าเขาเป็นอัศวินที่มีรูปร่างผอมเพรียวและมีบุคลิกร่าเริงเมื่อเทียบกับอัศวินคนอื่น ตอนที่เจอกันปีก่อน เขาดูคิดถึงเมืองหลวงเป็นอย่างยิ่ง นางจึงคิดว่าเขาน่าจะกลับไปแล้ว แต่ใครจะคิดว่ายังอยู่ที่นี่จนถึงตอนนี้
ตอนนั้นเอง พลันมีเสียงดังขึ้นจากด้านใน
“ทริสตัน? ตัดหญ้าเสร็จแล้วหรือ”
เป็นเสียงของอีริส
“ข้าบอกว่าไม่ต้องรีบก็ได้ ทำไมต้องฝืนด้วยล่ะคะ รีบเข้ามาเร็ว ข้าเตรียมของหวานที่ท่านชอบไว้ให้”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างสดใสนั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่ ลีน่าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ลีน่ากอดอกแล้วมองทริสตัน เขาพูดกับอีริสอย่างทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ คือ… ท่านอีริส…”
“ทำไมจู่ๆ ถึงเรียกข้าว่าท่านอีริสเล่า ข้าทำอะไรผิดหรือเปล่า”
ดวงตาของลีน่าหรี่ลง จู่ๆ ก็เริ่มเรียกกันแต่ชื่อโดยไม่รู้ตัว สินะ เมื่อเห็นสายตาที่ต้องการคำอธิบายของลีน่า ทริสตันก็เหงื่อไหลออกมาเป็นสายและเอ่ยเรียกอีริส
“คือว่า…ท่านอีเบลลีน่ากับท่านราธบันมาน่ะ”
ชั่วขณะนั้น เสียงดังกรุ๊งกริ๊งอย่างวุ่นวายด้านในพลันหยุดกึก
ลีน่าเข้าไปในครัว อีริสยืนตัวแข็งถือเค้กชิ้นหนึ่งอยู่ตรงนั้น
***
“ช้าไป”
พลั่ก!
เสียงของราธบันดังขึ้นพร้อมกับเสียงใครบางคนถูกชก ลีน่าเท้าคางกับกรอบหน้าต่างมองเงาร่างที่ลอยคว้างขึ้นไป ก่อนจะกลิ้งไปบนพื้นตรงหน้าคฤหาสน์ การฝึกซ้อมที่เริ่มตั้งแต่ตะวันตกดินดำเนินมาเรื่อยๆ จนถึงช่วงกลางคืน
“อึก…”
เมื่อทริสตันที่ล้มลงกับพื้นร้องคราง ราธบันก็เดินเข้าไปด้านข้าง
“เหนื่อยหรือ? งั้นพวกเราหยุดแค่นี้…”
“ไม่ขอรับ เซอร์ราธบัน! ต่ออีกสักหน่อยนะขอรับ”
ทันทีที่ราธบันบอกให้หยุด ทริสตันก็ขยับตัวลุกพรวดราวกับถามว่าเคยล้มไปตอนไหน จากนั้นเขาก็ตั้งท่าอีกครั้ง และเกาะติดราธบันอย่างอ้อนวอน อึดกว่าที่เห็น ลีน่าหันศีรษะไปด้านข้าง อีริสยืนมองด้านนอกอย่างกระสับกระส่าย ทุกครั้งที่ทริสตันถูกราธบันชกภายใต้ข้ออ้างที่เรียกว่าการฝึกซ้อม อีริสก็จะหลับตาปี๋และหันหน้าหนีอย่างไม่อาจทนดูได้
“อืมม…”
ลีน่ารู้สึกว่าถ้านางปล่อยทั้งสองคนไว้แบบนั้นต่อไป ทั้งนางและราธบันจะต้องถูกอีริสเกลียดแน่ นางลุกขึ้นแล้วตะโกนใส่ราธบันกับทริสตันที่อยู่ด้านนอก
“ทั้งสองคนวันนี้พอแค่นี้! ข้าจะนอนแล้ว หนวกหู”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
“เข้าใจแล้วขอรับ!”
เมื่อเสียงตอบรับจากด้านนอกดังขึ้น ตอนนั้นเองอีริสถึงได้ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ลีน่านั่งลงบนเตียงแล้วตบปุปุด้านข้างตนเองราวกับสั่งให้อีริสนั่งลง อีริสสังเกตสีหน้านางพลางนั่งลง ลีน่าเอ่ยถามทันที
“ทำไมต้องทำตัวเหมือนคนทำความผิดด้วยล่ะ”
“เอ่อ…ก็ทริสตัน…ไม่ ไม่สิ เซอร์ทริสตัน…”
“ถูกจับได้แล้วก็พูดตามสบายเถอะ”
“กะ กลัวท่านจะโกรธทริสตัน…”
อีริสเริ่มพูดเสียงสั่นเครือตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“เซอร์ทริสตันละเมิดกฎที่ตกลงไว้ตอนเริ่มภารกิจ ดังนั้นเขาจะต้องได้รับโทษอย่างเหมาะสม ข้าจำได้ว่ามันมีระบุไว้ว่าห้ามมีความรู้ส่วนตัวใดๆ แก่เป้าหมายที่ต้องคุ้มครองและไม่อนุญาตให้กระทำการใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความรู้สึกนั้นตลอดระยะเวลาที่ทำภารกิจ แต่ข้าคิดว่าเป็นเรื่องดีนะที่ถูกข้าจับได้ก่อน เพราะหากเลออนเป็นคนจับได้ก่อนล่ะก็ คงจะถูกเรียกกลับเมืองหลวงทันทีและ…”
ลีน่าแกล้งใช้มือทำท่าปาดคอ ใบหน้าของอีริสพลันซีดขาวทันที ดูท่านางจะคิดว่าเลออนทำแบบนั้นได้
“ตะ แต่ไม่ใช่ทริสตัน ปะ เป็นข้าที่…จะ จับมือก่อน…”
“แค่จับมือหรือ?”
“…”
ใบหน้าของอีริสพลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แสดงว่าคงไม่ได้แค่จับมือ
“คงต้องทำให้ราธบันทำให้กลิ้งอีกสักที…”
“คะ คะแค่ครั้งเดียว! ไปงานเทศกาลของหมู่บ้าน…ละ ละแล้วลองจูบแค่ครั้งเดียว! นอกจากนั้นก็ไม่มีแล้วค่ะ! จริงๆ นะคะ!
ก่อนที่อีริสจะร้องไห้ด้วยความอายจริงๆ ลีน่าก็หัวเราะคิกคัก โอบไหล่นางเข้ามากอดแล้วตบแปะๆ
“ช่วยเล่าได้ไหมว่าเป็นมาอย่างไรถึงได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับเซอร์ทริสตันได้”
“นั่น…ข้าบอกเขาว่าอยากไปเที่ยวงานเทศกาล ตอนแรกทริสตันก็กระโดดพรวดปฏิเสธว่าไม่ได้เด็ดขาด…”
น้ำเสียงสั่นเครือของอีริสค่อยๆ สดใสขึ้น ทันทีที่นางเริ่มอธิบายว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเปลี่ยนไปได้อย่างไร ดวงตาที่เกือบจะร้องไห้ก็เปลี่ยนเป็นประกายวิบวับ ลีน่ากับอีริสที่นั่งหมิ่นเหม่อยู่ปลายเตียงเปลี่ยนไปนอนกอดหมอนบนเตียงด้วยท่าที่สบายกว่าเดิมอย่างไม่รู้ตัวและแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน
ลีน่าฟังเรื่องเล่าของอีริสอย่างตั้งใจ บางครั้งก็เดาะลิ้น บางคราวก็ปรบมือ ตอนที่ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า ไม่เพียงแค่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างอีริสกับทริสตัน แต่ลีน่ายังได้รู้เรื่องราวเล็กใหญ่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีแล้ว อีริสที่นอนกอดหมอนหนุนตักลีน่าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ บ่นพึมพำขึ้น
“…เวลาแบบนี้ท่านลีน่าเหมือนพี่สาวของข้าจริงๆ เลยนะคะ”
“…”
ได้ยินคำพูดของอีริส ลีน่าก็สางผมของอีริสอย่างทะนุถนอมโดยไม่พูดอะไร บางทีคงคิดเหมือนกัน หากอีเบลลีน่าอยู่ที่นี่ตอนนี้ นางก็คงรับฟังเรื่องเล่าของอีริสเหมือนกัน
“…ขอโทษนะ”
อีริสส่ายหน้า
ในตอนแรก อีริสไม่อาจชอบลีน่าได้เลย พี่สาวที่แท้จริงตายและในร่างกายกลับมีวิญญาณดวงอื่นอยู่ อีริสเหนื่อยกระทั่งจะคิดถึงอีเบลลีน่าด้วยซ้ำ ความทรงจำที่เหลืออยู่คือจุมพิตอันอ่อนโยนที่หน้าผาก น้ำเสียงสดใสที่บอกว่าคิดถึง รวมถึงคำทักทายสั้นๆ ว่าลาก่อน นั่นเป็นทั้งหมดของอีเบลลีน่าที่อีริสจดจำได้
ดังนั้นหลังจากที่วิหารหลวงล่มสลาย อีริสจึงหลบหน้าลีน่าไปช่วงหนึ่ง เพราะความคิดไม่ดีมักจะผุดขึ้นมาตลอดเมื่อเห็นนางใช้ชีวิตและเคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉงอยู่ในร่างของพี่สาว พอรู้ว่าลีน่าจะจากไปหลังจากตัดสินใจได้ว่าจะจัดการกับคาร์ลอย่างไร ตอนนั้นเองก็เกิดเหตุการณ์ที่นักบวชผู้หนึ่งของวิหารหลวงจะทำร้ายอีริสเข้า
ขณะที่อีริสยืนตัวแข็งอย่างไม่รู้ต้องทำอย่างไรเพราะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พลันมีใครบางคนเข้ามาขวางหน้านาง เหล็กกระแทกกันตรงหน้าจนประกายไฟสาดกระเซ็น ดาบของผู้จู่โจมถูกราธบันขวางเอาไว้ได้ แต่สิ่งที่โอบกอดอีริสคือลีน่า
“อีริส เป็นอะไรไหม? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ให้ตายเถอะ ขอโทษนะ ข้าควรจะรีบหาเจ้าให้เจอก่อนที่เขาจะเข้ามา…”
ทั้งที่เห็นแล้วว่าดาบเข้ามาใกล้ถึงตรงหน้าตอนที่พยายามเข้ามาขวางหน้าตน แต่ลีน่าก็ทำเพียงสำรวจตนโดยไม่สนใจมันเลย ท่าทางเช่นนั้นของลีน่าทำให้อีริสตระหนักได้ว่าตนไม่อาจเกลียดอีกฝ่ายได้อีกต่อไป แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถแสร้งทำเป็นสนิทสนมขึ้นมากะทันหัน สุดท้ายการมอบห่อสมุนไพรที่ตนคัดเก็บไว้ให้กับลีน่าตอนที่กำลังจะออกเดินทางไปกับราธบันคือทั้งหมดที่นางทำได้
‘คงจบแค่นี้แล้วสินะ’
อีริสมองภาพของลีน่าที่ห่างออกไปพลางคิดเช่นนั้น หลังจากนั้นมา อีริสก็พบที่ที่จะอยู่อาศัยด้วยความช่วยเหลือจากเลออน นางนั่งเหม่ออยู่คนเดียวในบ้านที่ไม่มีใครรู้จักนอกจากอัศวินแห่งจักรวรรดิ ตอนนั้นเองมีใครบางคนมาพบนาง
“อีริส สบายดีหรือไม่?”
นางคิดว่าคงไม่ได้พบกันอีกแล้วเพราะอีกฝ่ายก็ทำเพื่อตนมากพอแล้ว แต่ลีน่าก็กลับมาเยี่ยมอีริส อีริสวิ่งเข้าไปกอดลีน่าอย่างไม่รู้ตัว หลังจากนั้นมา ลีน่าจะมาเยี่ยมอีริสทุกสองถึงสามเดือน
ทุกครั้งที่มาหา นางจะพักอยู่สองสามวันและเล่าความทรงจำของอีเบลลีน่าที่ยังเหลืออยู่ให้ฟังอย่างระมัดระวัง ผ่านไปอยู่แบบนั้นหลายปี ตอนนั้นเองลีน่าก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มชอกช้ำ
“ตอนนี้ดูเหมือนข้าจะเล่าความทรงจำของอีเบลลีน่าที่ข้าจำได้ไปหมดแล้ว ขอโทษที่ที่ผ่านมาข้ามาหาบ่อยๆ หลังจากนี้…”
ก่อนที่คำพูดของลีน่าจะจบ อีริสก็คว้าเสื้อของนางเอาไว้ จากนั้นเอ่ยถาม
“ช่วยเล่าเรื่องอื่นให้ฟังด้วยค่ะ”
“อีริส…”
“ตอนนี้ข้าก็ฟังเรื่องของพี่สาวหมดแล้ว…เพราะงั้นข้าอยากฟังเรื่องของท่านลีน่าค่ะ”
ลีน่าไม่ได้มีภารกิจให้ต้องมาเยี่ยมตน แต่ลีน่าก็ยังมาเยี่ยมอีริสอย่างสม่ำเสมอ อีริสรู้ดีว่านั่นคือการกระทำที่มีสาเหตุมาจากความละอายใจ แต่บัดนี้อีริสไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองนางอีกต่อไปแล้ว บัดนี้สำหรับอีริส ลีน่าเป็นตัวตนที่เหมือนกับพี่สาวและเป็นเพื่อนในเวลาเดียวกัน ลีน่ามองมือของอีริสที่คว้าเสื้อของตนไว้ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสดใสหลังจากผ่านไปสักพัก
“งั้นข้าเล่าเรื่องที่ไปเที่ยวให้ฟังดีไหม”
อีริสที่ย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเพลิดเพลินกับสัมผัสมือของลีน่าที่ลูบหัวตน แล้วจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น
“ว่าแต่ท่านมาเพราะเรื่องนั้นหรือเปล่าคะ ตั้งใจจะไปพระราชวังอาร์เดนเบลหรือเปล่าคะ”
ลีน่าพลันมีสีหน้าไม่รู้เรื่องราว พระราชวังอาร์เดนเบลเป็นพระราชวังแห่งที่สองของจักรวรรดิที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ และต้องใช้เวลาเดินสักพักหลังจากผ่านสถานที่ที่อีริสอาศัยอยู่
“เรื่องนั้นอย่างนั้นหรือ”
“อ่า ไม่รู้เหรอคะ ตอนนี้ที่พระราชวังอาร์เดนเบล…”
อีริสเล่าข่าวลือที่ได้ยินมาจากหมู่บ้านเมื่อไม่นานมานี้ให้ลีน่าฟัง ผ่านไปครู่หนึ่ง ลีน่าก็ลุกขึ้นพรวดและตะโกนออกมา
“ราธบัน! ราธบัน! อยู่ไหน พวกเราต้องรีบไปอาร์เดนเบลเดี๋ยวนี้!”