ฮ่องเต้หรี่ตา
หลี่รุ่ยเสียงเห็นเขาทำท่าแบบนั้นก็รู้สึกผิดปกติ จึงแอบสูดหายใจลึกแล้วลงไปรับกล่องผ้าไหมนั้นมาเปิดดูอย่างรวดเร็ว แล้วก็ตกใจทันที สองมือประคองกล่องผ้าไหมกลับมาตรงหน้าฮ่องเต้อย่างเคร่งขรึม
ของชิ้นนั้นยังไม่ทันถึงมือฮ่องเต้ องครักษ์ก็รายงานตามหน้าที่แล้วว่า “แม่ทัพซูบอกว่าเขาพาคนเข้าไปสอดแนมในค่ายทหารของศัตรูตอนกลางคืน และสังหารแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายกบฏได้ด้วยมือตนเอง จึงตั้งใจควบม้ามาอย่างเร็วที่สุด เพื่อนำศีรษะมาถวายให้ฝ่าบาทโดยเฉพาะ ฝ่าบาทจะได้สบายพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูอี้ส่งจดหมายลับให้โม่เสว่นำศีรษะของซูหังกลับมาให้ระหว่างทางที่เขารีบกลับมาเมืองหลวง
เหล่าขุนนางได้ยินแล้วต่างก็ดีใจกันถ้วนหน้า
“เยี่ยมไปเลย ฝูงมังกรที่ไร้จ่าฝูง[1] กบฏตระกูลซูก็คงจะถูกปราบจนหมดสิ้นในไม่ช้า”
“นั่นสิ แม่ทัพซูเก่งกาจอย่างที่คาดไว้จริงๆ ฝ่าบาทสายพระเนตรเฉียบแหลมยิ่งนัก!”
“ในที่สุดชาวบ้านทางใต้ก็รอดพ้นจากภัยสงครามแล้ว!”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”
เสียงชื่นชมยินดีดังทั่วท้องพระโรง แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของฮ่องเต้
หลี่รุ่ยเสียงเดินประคองกล่องไปให้ฮ่องเต้ดูของข้างในอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ใช้ปูนยึดไว้ข้างในคือศีรษะของซูหัง
ฮ่องเต้มองแค่ครั้งเดียวก็ปิดฝาแน่นสนิททันที และค่อยๆ งอนิ้วมือที่กดอยู่บนฝาทีละนิ้ว เขาใช้พลังไปเยอะมากเพื่อทำให้ตนเองอดทนอดกลั้นไม่คว่ำกล่องผ้าไหมทิ้งลงตรงหน้า
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เขาถึงจะยกยิ้มมุมปากและค่อยๆ เอ่ยลอดไรฟันออกมาสองคำ “ดี! ดี!”
เสียงแรกเหมือนจะเลื่อนลอย ราวกับประหลาดใจมากเกินไปจนตั้งตัวไม่ทัน แต่เสียงที่สองนั้นกลับหนักแน่นและมีพลังมากทีเดียว ทุกคนฟังแล้วต่างก็รู้สึกดีอกดีใจ และคิดแค่ว่าฮ่องเต้คงจะประหลาดใจมากเกินไป เสียงสรรเสริญเยินยอจึงดังไปทั่วอีกครั้ง
มุมปากของฮ่องเต้ยังคงยกยิ้มเช่นเดิม แต่สีหน้านั้นแทบจะนิ่งสนิท
หลี่รุ่ยเสียงเตือนอย่างทันท่วงทีว่า “ฝ่าบาท แม่ทัพซูกลับมาราชสำนักแล้ว ควรเรียกเขาเข้ามารายงานตัวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม!” ฮ่องเต้พยักหน้า
หลี่รุ่ยเสียงค่อยๆ โล่งอกและแจ้งให้คนด้านนอกทราบ
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอย่างไม่วางตาของทุกคนนั้น ซูอี้ที่สวมชุดชาวบ้านธรรมดาและหน้าตาอิดโรยพาหญิงสาวหน้าตาธรรมดามากคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยอย่างรวดเร็วใต้แสงแดดยามฟ้าหลังฝน
“ซูชิงสุ่ย คารวะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” ซูอี้พาซื่อหรงเข้ามาคารวะด้วย
คนอื่นนั้นยังดี แต่ฮ่องเต้กับหลี่รุ่ยเสียงกลับประหลาดใจมากกันทั้งคู่ที่เห็นซื่อหรงติดตามอยู่ข้างกายเขา
หลี่รุ่ยเสียงเผลอหันหน้าไปมองปฏิกิริยาของฮ่องเต้
สายตาของฮ่องเต้จับจ้องไปยังหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ด้านล่างอย่างเย็นชา หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ก็เหมือนจะสับผู้หญิงคนนั้นให้เป็นหมื่นท่อนเสียตรงนี้ถึงจะยอมรามือ
“ซูชิงสุ่ยกำจัดผู้นำของกบฏด้วยมือตนเอง สร้างความดีความชอบในการรบชนะให้ราชสำนัก ลุกขึ้นมารายงานเถอะ!” หลังจากที่พยายามจะไม่โมโหและตั้งสติได้แล้ว ฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ตรัสออกมาทีละคำ
“จงรักภักดีต่อฝ่าบาทและอุทิศตนรับใช้ราชสำนักเป็นหน้าที่ของกระหม่อม กระหม่อมไม่กล้าถือว่าเป็นความดีความชอบของตนเองหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ซูอี้ลุกขึ้นยืนและเอ่ยกับฮ่องเต้อย่างรู้กาลเทศะด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “กระหม่อมโชคดีที่ทำงานที่ฝ่าบาทมอบหมายให้สำเร็จ ตัดหัวคนทรยศแซ่ซู ดังนั้นกระหม่อมจึงตั้งใจควบม้ามาอย่างเร็วที่สุด เพื่อนำศีรษะมาถวายให้ฝ่าบาทก่อนโดยเฉพาะ ฝ่าบาทจะได้สบายใจในเร็ววัน และด้วยความร่วมแรงร่วมใจกัน ผิงกั๋วกงก็กำลังทุ่มเทแรงกายสังหารพวกกบฏที่เหลืออยู่ตรงแม่น้ำหมินอย่างเต็มที่เช่นกัน อีกไม่กี่วันก็จะกำจัดศัตรูได้สิ้นซาก และนำทัพกลับมาราชสำนักพร้อมชัยชนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ศีรษะของซูหัง! ของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้วางอยู่ตรงหน้า ฮ่องเต้ยังจะสามารถพูดอะไรได้อีก?
ความจริงแล้วจะเด็ดหัวซูหังไม่ใช่เรื่องยากนัก ซูอี้สามารถทำได้ ฮ่องเต้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ ทว่าเขาเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าองครักษ์ลับที่ตนเองสั่งให้ไปสังหารจะทรยศ…
คิดไปต่างๆ นานา สุดท้ายสิ่งเดียวที่เขาคำนวณพลาดคือซูอี้รอดกลับมาได้
“ดี! ดี!” ความโกรธแค้นไร้รูปร่างอัดแน่นอยู่เต็มใจมานานจนอกเหมือนจะระเบิดอยู่แล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้พูดจากใจจริง พอตรัสคำว่า ‘ดี’ ออกมาติดกันอีกหลายครั้งถึงจะฝืนทำให้ตนเองค่อยๆ ใจเย็นลงได้เอ่ย “ซูชิงสุ่ยสร้างผลงานยิ่งใหญ่เช่นนี้ รอให้ผิงกั๋วกงนำทัพกลับมาราชสำนักพร้อมชัยชนะก่อน ข้าจะปูนบำเหน็จให้ตามความดีความชอบพร้อมกัน!”
“กระหม่อมเพียงทำไปตามหน้าที่เท่านั้น ไม่กล้าขอรางวัลหรอกพ่ะย่ะค่ะ!” ซูอี้ยิ้มเล็กน้อยและเงยหน้ามองไปทางฮ่องเต้สูงวัยที่อยู่บนบัลลังก์ไกลๆ แล้วเขาก็จับมือพาซื่อหรงมาไว้ข้างตัวว่า “พูดถึงการรับพระราชโองการลงใต้ไปครั้งนี้ กระหม่อมก็ถือว่ารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เพราะบังเอิญได้แม่นางคนนี้ช่วยชีวิตเอาไว้พอดีถึงรอดพ้นจากความลำบากมาได้อย่างราบรื่น บุญคุณที่ช่วยชีวิตนั้นไม่ตอบแทนไม่ได้ หากฝ่าบาทเห็นใจกระหม่อม กระหม่อมจะขอร้องเรื่องหนึ่งได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ซื่อหรงติดตามอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ นางก้มหน้าเล็กน้อยและไม่มองใครทั้งนั้น
เพราะนางหน้าตาธรรมดา จึงถูกคนมองข้ามได้อย่างง่ายดาย แต่ผู้หญิงที่ดูเหมือนไม่สะดุดตากลับไม่ประหม่าแม้แต่นิดเดียวในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนไม่น้อยต่างมองนางมากขึ้น
ฮ่องเต้หน้าตาหม่นหมอง แต่ก็ยังอดทนตรัส “เจ้าว่ามา!”
“กระหม่อมอยากแต่งงานกับนาง แต่ไม่ทราบว่าจะได้รับเกียรติขอพระราชทานงานแต่งงานจากฝ่าบาทหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ซูอี้เอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับชัดเจนและดังกังวานทุกถ้อยคำ
ซื่อหรงนึกไม่ถึงและเงยหน้ามองเขาทันที
ทว่าสายตาของเขากลับมองตรงไปยังฮ่องเต้ที่ตกใจไม่หายและเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรดีเช่นกันอยู่บนบัลลังก์ พลางเอ่ยต่อว่า “กระหม่อมรักนาง แต่พวกกระหม่อมสองคนไร้ที่พึ่งพิง เพราะพ่อแม่ต่างเสียไปนานแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดเห็นใจและมีพระมหากรุณาธิคุณ พวกกระหม่อมสองคนจะซาบซึ้งใจอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาพูดไปก็พาซื่อหรงคุกเข่าลงอีกครั้ง
ซื่อหรงเพียงแค่มองฮ่องเต้ที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่บนบัลลังก์อย่างตกตะลึง สีหน้าทั้งตื่นตกใจและกังวล
เดิมทีนางคิดว่าซูอี้พานางเข้าวังมา แค่เพราะจะชิงลงมือตัดหน้าฝ่ายตรงข้ามก่อน ถึงได้พานางมาตรงหน้าฮ่องเต้อย่างไม่ทันตั้งตัว ฮ่องเต้จะได้ตอบโต้ไม่ได้ แล้วฐานะของนางก็จะถูกเปิดเผย ดังนั้นหากฝ่าบาทจะลงมืออีกก็ต้องเกรงกลัวอยู่บ้าง
วิธีนี้เหมือนเป็นการส่งทหารไปในสนามรบที่มีแต่ทางตาย แล้วเขาจะสู้อย่างสุดชีวิตจนได้ชัยชนะ[2] แต่เรื่องมาถึงตอนนี้นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้นางหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากและชุบชีวิตนางให้ฟื้นคืนชีพได้
แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าซูอี้จะทูลขอพระราชทานงานแต่งงานจากฮ่องเต้ตรงนี้ด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนั้น เหมือนจะบีบบังคับฮ่องเต้ให้รับปากให้ได้
ฮ่องเต้หรี่ตา พลางคิดว่าคงจะต่อรองไม่ง่ายนักตรัส “แม่นางคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร? พ่อแม่เสียไปนานแล้วทั้งคู่หรือ? เช่นนั้นก็เป็นลูกกำพร้าน่ะสิ? ฐานะของนางเช่นนี้…”
“กระหม่อมไม่ต้องการคนเพียบพร้อมด้วยความร่ำรวยและฐานะ แต่กระหม่อมต้องการคนเพียงคนเดียวที่จะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิตพ่ะย่ะค่ะ!” ซูอี้เอ่ยแทรกก่อนอีกครั้งโดยไม่รอให้เขาพูดจบ
เห็นๆ อยู่ว่าเขาพูดคำพูดเหล่านี้ให้ฮ่องเต้ฟัง แต่หัวใจของซื่อหรงกลับอดที่จะสั่นไหวไม่ได้ นางรู้สึกได้ถึงความนัยที่แฝงมาในคำพูดของเขาอย่างชัดเจน…
แท้จริงแล้วทั้งหมดนั้นพุ่งเป้ามาที่นาง!
สัญญาแบบนี้? นี่…
คือคำสาบานหรือ?
ทั้งที่รู้ดีว่านางแค่อยากจะใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อแยกตัวออกมา แต่เขากลับตัดทางหนีทีไล่ของตนเองเช่นนี้?
นางขยับปากเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่มีช่องว่างให้นางได้เอ่ยปากแม้แต่นิดเดียว
ฮ่องเต้แอบกัดฟันและยังคงไม่อยากพยักหน้าเช่นเดิม แต่ว่าซูอี้เพิ่งจะสร้างผลงานยิ่งใหญ่ หากเขายืนกรานจะปฏิเสธคำขอของเขาก็คงพูดได้ยาก
——————————————————
[1] ฝูงมังกรที่ไร้จ่าฝูง หมายถึง กลุ่มคนที่ไร้ผู้นำ
[2] ส่งทหารไปในสนามรบที่มีแต่ทางตาย แล้วเขาจะสู้อย่างสุดชีวิตจนได้ชัยชนะ เปรียบเหมือนตัดทางหนีทีไล่ก่อน แล้วจะทำให้มุ่งมั่นจนได้มาซึ่งความสำเร็จ