ช่วยนาง? ท่าทีกึ่งเล่นกึ่งจริงนั่นของเขายังเรียกว่าช่วยหรือ
เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก บาดแผลที่ขาขวาของนางเจ็บจะตายอยู่แล้ว นางอยู่มานานขนาดนี้ยังไม่เคยต้องลำบากขนาดนี้มาก่อนเลย ตอนนี้โทสะนางอัดอั้นอยู่ในอก โมโหฝูชางที่ทำให้ตนลำบากไปด้วย โมโหฉีหนานกับมหาเทพไป๋เจ๋อที่บังคับให้ตนลงมาโลกเบื้องล่าง ทั้งยังโมโหปีศาจปลาดุกที่โหดเ**้ยมอำมหิต แต่ว่าปีศาจปลาดุกนางก็ตายไปแล้ว ต่อให้โมโหก็ทำอะไรไม่ได้
มหาเทพไป๋เจ๋อเอาศพสีเทาของปีศาจปลาดุกให้กับเทพเหลยเจ๋อ จื่อซีใจไม่แข็งพอ ไม่อยากจะหันไปมองอีก เดิมนางคิดจะถามว่าทำไมเซ่าอี๋ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่ว่าพอหันกลับไปมองก็เห็นว่า สีหน้าของกู่ถิงไม่สู้ดีนัก เสวียนอี่หลับตาแกล้งหลับ ฝูชางผมเผ้ายุ่งเหยิงชุดเต็มไปด้วยเลือด นางจึงได้แต่ต้องทิ้งเรื่องของเซ่าอี๋ไปก่อน
“วันนี้ข้าไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้พอดี แล้วไปพบกับศิษย์น้องกู่ถิงขี่ราชสีห์เก้าเศียรบุกเข้ามาด้วยท่าทีตระหนก ได้ยินว่าพวกเจ้าไปเจอกับเผ่าปีศาจที่ร้ายกาจที่โลกเบื้องล่างเข้าก็ตกใจไม่น้อย คิดไม่ถึงเลยว่าในแม่น้ำอูจะมีปีศาจที่ร้ายกาจอย่างนี้อยู่ด้วย พวกเจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…ศิษย์น้องฝูชาง ผมของเจ้า เลือดบนร่างของเจ้า…”
จื่อซีมีใจห่วงใย แต่ว่าจนใจที่เทพฝูชางคนนี้เป็นคนเงียบขรึมพูดน้อยมาตลอด ขนาดอยู่ต่อหน้ากู่ถิงก็ยังคงพูดน้อยมาก ยิ่งกับนางยิ่งแทบจะนับคำได้ ครั้งที่แล้วเพราะเรื่องของเทพเฟยเหลียน นางร้อนรนและเป็นห่วงเกินไปทำให้สถานการณ์อึดอัดมาก ตอนนี้นางต้องพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ไปสนใจเขามากขนาดนั้น
ฝูชางส่ายศีรษะเบาๆ “ข้าไม่ได้บาดเจ็บ ไม่รบกวนศิษย์พี่หญิง”
เขาหมุนตัวแล้วดึงเอาแถบผ้ารัดผมออกมา จัดการผมเผ้าที่ไม่เรียบร้อยอีกครั้ง จากนั้นกลับจับชายกระโปรงของเสวียนอี่ แล้วถลกขึ้นอย่างไม่เกรงใจ!
จื่อซีตะลึงค้าง แต่พอเห็นเลือดสดๆไหลออกมาจากขาขวาของเสวียนอี่แล้ว นางก็ยิ่งตกใจจนแทบสะดุ้งโหยง
“ทำไมเจ้าถึงได้เลือดออกมากขนาดนี้!”
นางโผเข้ามาจะมาดูบาดแผล เสวียนอี่หดขา “ไม่ต้องสนใจข้า”
“ทำไมถึงจะไม่ต้องสน!”
จื่อซีขมวดคิ้วมองฝูชางถลกกระโปรงนางขึ้นอย่างไม่น่าดู เขาแกะแขนเสื้อที่รัดแผลของนางออก แล้วค่อยๆม้วนกระโปรงของเสวียนอี่ขึ้น บาดแผลน่ากลัวที่ขาขวาของนางก็ปรากฏออกมา
จื่อซีหน้าซีดเผือด ปล่อยเวทออกมาสมานแผลให้นาง พลางกล่าวอย่างร้อนรนว่า “ตระกูลจู๋อินทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ดมังกร และยังไม่ต้องกลัววิชาห้าธาตุและอาวุธอะไรทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ เจ้า…ทำไมเจ้าถึงได้บาดเจ็บจนกลายเป็นอย่างนี้ได้”
นางเพิ่งจะอายุแค่เก้าพันกว่าปี เกล็ดมังกรจะขึ้นมาถึงขาเสียที่ไหนกัน เสวียนอี่ถอนหายใจ กดมือของจื่อซีที่กำลังรักษาอยู่พลางกล่าวเรียบๆว่า “ไม่ต้องลองแล้ว ศิษย์พี่หญิงจื่อซี เอาผ้าคลุมของท่านมาให้ข้ายืมจะดีกว่า”
…นางลืมไปแล้วหรือว่าเวททั้งหลายไม่มีผลกับตระกูลจู๋อิน เวทเหล่านั้นทำร้ายนางไม่ได้ ก็ไม่สามารถช่วยนางได้เช่นกัน จื่อซีดึงผ้าคลุมลงมาแล้วส่งให้ฝูชางทันที เขารับมาแต่กลับยังไม่ใช้ เขาท่องคาถาเรียกฝนล้างขาที่ชุ่มไปด้วยเลือดของเสวียนอี่ก่อน แล้วก้มลงไปมองอย่างละเอียดอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เหนือวังของราชาหนู ไม่รู้ว่าเซ่าอี๋ใช้เวทอะไรทำให้บาดแผลสมานกัน แต่ว่าตอนนี้บาดแผลไม่เพียงแต่จะปริออกมาเท่านั้น ยังบาดเจ็บหนักกว่าก่อนหน้านี้อีกมาก เทพีอูเจียงพูดว่าพิษปีศาจของนางไม่ใช่อะไรที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีแต่ต้องใช้พลังเทพสำรวจและเอามันออกมา แต่ว่าก็จนใจเพราะเวทใดๆล้วนแล้วแต่ไม่ส่งผลกับตระกูลจู๋อินทั้งสิ้น…
ฝูชางนิ่งไปนาน นานจนกระทั่งเสวียนอี่เกือบจะอดใจไม่ไหวแล้วจัดการเอง เมื่อครู่นี้เขาใช้ผ้าคลุมรัดบาดแผลนางเอาไว้แน่น พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นแววตาไม่เป็นมิตรกับท่าทียกไม้ยกมือของนางเข้า เขาก็เอากระโปรงลงพลางส่งสายตาไม่เป็นมิตรเช่นเดียวกับนางตอบกลับไป องค์หญิงมังกรผู้นี้ ไฉนตอนเป็นเทพสาวถึงได้น่าชังอย่างนี้เสียได้
จื่อซีเดินวนไปมาอย่างร้อนรนแล้วรีบกล่าวว่า “ทีนี้จะทำอย่างไรดี ปล่อยเอาไว้อย่างนี้ไม่ต้องสนหรือ เจ็บหรือไม่”
เสวียนอี่ยิ้มตาหยีมองไปที่นาง “ศิษย์พี่หญิงปวดใจหรือ”
จื่อซีถลึงมาใส่นาง “บาดเจ็บแล้วยังดื้ออย่างนี้อีก! ข้าไม่ได้ปวดใจ ข้าก็แค่รู้สึกผิด! ใครจะไปปวดใจให้เจ้ากัน!”
เสวียนอี่กล่าวเสียงหวานว่า “หากว่ารู้สึกผิดล่ะก็ ช่วยจัดการเจ้าทึ่มที่ชื่อฝูชางคนนั้นให้ข้าสักยกทีเถิดเจ้าค่ะ”
จื่อซีบ่นออกมาอย่างละเ**่ยใจ “นี่มันเวลาไหนกัน แล้วยังจะใช้อารมณ์อย่างนี้อีก เพลาๆ ลงบ้างเถอะ!”
ฝูชางเก็บสายตากลับมาจากร่างของเสวียนอี่ หน้าครึ่งหนึ่งของนางซุกอยู่ที่ขนนุ่มของราชสีห์เก้าเศียร ดวงตาข้างหนึ่งโผล่ออกมาแล้วกำลังมองมาที่เขาอย่างโมโห
เป็นปลาดุกอุยก็ยังน่ารักกว่าจริงๆ
เทพเหลยเจ๋อที่อยู่ตรงข้ามกับเหล่าลูกน้องเก็บเอาซากปีศาจปลาดุกกลับไปแดนเทพเพื่อไปรายงานแล้ว ส่วนมหาเทพไป๋เจ๋อมองปิ่นหยกในมือครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปมองเหล่าลูกศิษย์ของตัวเองที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้
เดิมคิดว่าลงมาเอาสร้อยไข่มุกที่โลกเบื้องล่างเป็นการบ้านที่ง่ายที่สุด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น และที่แย่ที่สุดก็คือนังเด็กตัวแสบตระกูลจู๋อินคนนั้นกลับบาดเจ็บ เดิมตระกูลของนางก็ประหลาดมากอยู่แล้ว หากว่าบาดเจ็บ เวทใดๆก็ช่วยไม่ได้ ได้แต่ต้องรอให้แผลสมานเอง และทีนี้เขาจะพูดกับมหาเทพแห่งเขาจงซานอย่างไรดี นังหนูน้อยมากราบอาจารย์ ไม่กี่เดือนก็บาดเจ็บเลือดโชก…เขารู้สึกว่าเกล็ดมังกรชิ้นนั้นเขาคงจะเก็บไว้ไม่ได้แล้ว
กู่ถิงและจื่อซีติดตามเขามานานหลายปี แค่มองก็รู้ความคิดของเขาแล้ว จื่อซีเม้มปากแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “อาจารย์จะต้องคิดถึงเกล็ดมังกรอยู่แน่ๆ ยังไม่พูดถึงแผลขององค์หญิงอีก! จริงๆเลย…”
ปกติแล้วนางเคารพมหาเทพไป๋เจ๋อมาก ต่อให้เขาจะมีข้อด้อยหรือส่วนบกพร่องไปบ้าง แต่ว่าก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าครั้งนี้ส่งพวกฝูชางมากลับต้องลำบากขนาดนี้ ทั้งยังเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด จนขนาดนี้แล้วยังจะมามัวคิดถึงแต่เกล็ดมังกร นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ!
มหาเทพไป๋เจ๋อใจฝ่อขึ้นมา เขายิ้มแล้วกระแอมไอทีหนึ่ง “เสวียนอี่ แผลของเจ้า…”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่เป็นไร อาจารย์ไม่ต้องกังวล”
เขาเลยได้แต่ต้องหมุนไปหาฝูชาง “ฝูชาง แผลของเจ้า…”
ฝูชางมีท่าทีสงบมาก และส่ายศีรษะอย่างเงียบๆ โดยไม่ยอมกล่าวอะไรสักคำ
มหาเทพจึงได้แต่มองไปทางกู่ถิงกับจื่อซี เห็นลูกศิษย์สองคนที่ปกติเชื่อฟังดีไม่ยอมสนใจตัวเอง เขาก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วหันไปลูบศีรษะที่ใหญ่ที่สุดของราชสีห์เก้าเศียร กล่าวด้วยความเอ็นดู “ราชสีห์เก้าเศียรตัวนี้ตกใจไม่น้อย น่าสงสารจริง”
เหล่าลูกศิษย์บนหลังของราชสีห์ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ กู่ถิงพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยว่า “ที่บ้านข้ามียาที่จักรพรรดิชิงเสวียนแห่งสวรรค์ชั้นที่สามสิบสามหลอมอยู่เม็ดหนึ่ง หากว่าใครกินเข้าไปจะอายุยืนนานไม่แก่เฒ่า สุขภาพแข็งแรง คิดว่าน่าจะช่วยเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์หญิงได้บ้าง”
จื่อซีส่ายศีรษะ “ยาทุกอย่างต้องอาศัยพลังห้าธาตุหลอมสร้างขึ้น เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องส่งองค์หญิงเสวียนอี่กลับไปที่เขาจงซานก่อน นางบาดเจ็บหนักมาก จะให้อยู่ที่โลกเบื้องล่างต่อไปไม่ได้”
กู่ถิงนึกขึ้นมาได้ “ไม่เลว! ไปเถอะ รีบส่งองค์หญิงกลับไป!”
พอกล่าวจบพวกเขาก็คารวะไปทางมหาเทพไป๋เจ๋อย่างไม่ค่อยจะจริงใจนักแล้วกล่าวว่า “ศิษย์ขอตัวก่อน”
เสวียนอี่ยังไม่ทันจะได้ตอบโต้ ก็ถูกลากกลับมาที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ก่อนแล้ว
มหาเทพไป๋เจ๋อชักมือกลับเข้ามาช้าๆ ก้มหน้าลงอย่างเหงาหงอย ท้องนภาที่กว้างใหญ่ เมื่อครู่นี้ยังครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน แต่พริบตาเดียวกลับเหลือเพียงเขาที่ยืนอย่างเดียวดาย เขายังไม่ทันจะได้กินข้าวสักคำก็รีบมาช่วยพวกเขาก่อนแล้ว! แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ใจแข็งทิ้งเขาเอาไว้คนเดียวอย่างนี้
—
ราชสีห์เก้าเศียรพุ่งผ่านชั้นเมฆ อากาศบริสุทธิ์ของแดนเทพพัดมา กลับมาจากโลกเบื้องล่างที่อากาศขมุกขมัวได้ ทำให้เหล่าเทพน้อยต่างรู้สึกดีใจ
“องค์หญิงเสวียนอี่” กู่ถิงพลันร้องเรียกเบาๆ
อะไร เสวียนอี่ยกหน้าขึ้นมาจากขนนุ่มของราชสีห์เก้าเศียร
กุ่ถิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้า…ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าถูกความอคติทำให้ดวงตามืดบอด นั่นหมายความว่าข้ายังบำเพ็ญตบะไม่มากพอ ความสง่างามและความสูงส่งของอาจารย์ไม่ได้เป็นเช่นเปลือกนอกเหล่านั้นที่ข้าเสาะแสวงหาในวันวาน ข้าความรู้ตื้นเขิน คำพูดที่ข้าพูดที่สวนดอกไม้ทิศใต้วันนั้นเป็นคำพูดที่พูดออกไปด้วยความโมโห ขอเจ้าอย่าได้ถือสาเลย”
และการลงมาที่โลกเบื้องล่างครั้งนี้ ในฐานะที่เขาเป็นศิษย์พี่ เขาควรจะเป็นคนที่ปกป้องศิษย์น้องหญิงชายอยู่ด้านหน้า แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วเป็นตัวเขาเองที่หนีเอาชีวิตรอด ทั้งยังทำให้เสวียนอี่กับฝูชางต้องลำบากอย่างนั้น เขาทั้งรู้สึกผิดทั้งเป็นทุกข์ เขากำลังจะพูดออกปากขอโทษต่อ กลับได้ยินเสวียนอี่หัวเราะเบาๆ
“ช่วยข้าอัดฝูชางสักครั้งก็พอแล้ว” นางกล่าวออกมาอย่างเนิบนาบ
…นางอาฆาตฝูชางขนาดไหนกันแน่
กู่ถิงมองไปยังฝูชางและจื่อซีอย่างจนใจ พวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งยิ้มฝืนออกมา ส่วนอีกคนกลับมีท่าทีราวกับว่าไม่ได้สนใจทางด้านนี้เลย
เฮ้อ คู่แค้นประหลาดสองคนนี้ ปล่อยพวกเขาไปแล้วกัน สู้กันไปให้ตายกันไปข้างเถอะ เขาจะไม่สนใจแล้ว