ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 314 ประสงค์ร้าย

จอมศาสตราพลิกดารา

หลี่มู่รู้สึกว่าเรื่องหลายวันนี้มันชักจะแปลกๆ แล้ว

ทำไมแค่ชั่วข้ามคืนถึงได้มีคนจากโลกโผล่ขึ้นมามากมายขนาดนี้?

ชวีอ๋องแห่งฉู่ใต้ผู้นี้น่าจะไม่ใช่คนที่ตนรู้จัก แต่ฟังจากคำที่เขาฝากมาก็เป็นคนจากโลกชัดๆ อีกทั้งเหมือนจะมาอยู่บนดาวดวงนี้นานยิ่งกว่าตน

คนจากโลกมาเป็นอ๋องแห่งฉู่ใต้?

ฟังแล้วค่อนข้างแฟนตาซีทีเดียว

“ชวีอ๋องของเจ้ายังพูดอะไรอีก?” หลี่มู่ถาม

อวี่เหวินฮุยแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “ใต้เท้าปฐมเทวะจะไม่เชิญให้ข้านั่งลงพูดหรือ?”

หลี่มู่มองเขาแวบหนึ่ง ค่อนข้างไม่สบอารมณ์กับความรู้สึกที่เหมือนมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมในคำพูดของคนคนนี้ เหมือนเขากำลังอุบอะไรเอาไว้อย่างนั้น จึงพยักหน้าตอบไปว่า “ใช่แล้ว ไม่เชิญ”

อวี่เหวินฮุยอึ้ง ก่อนจะตอบกลับ “ปฐมเทวะพูดเล่นแล้ว”

หลี่มู่เอ่ย “ไม่ได้พูดเล่น เจ้ายืนไปแล้วกัน”

สีหน้าของอวี่เหวินฮุยเผยความไม่เป็นธรรมชาติ

แต่เขาก็ทำได้แค่ยืน สีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก รายงานต่อไป “ชวีอ๋องให้ข้าบอกใต้เท้าว่าที่นี่เป็นโลกที่ไม่ปลอดภัย ใต้เท้าเปิดเผยตัวตนแล้วจะเป็นอันตรายได้ ขอให้ท่านระวังให้มาก”

“อันตรายอะไร?” คิ้วหลี่มู่เลิกขึ้นเล็กน้อย

“ข้าก็ไม่อาจทราบได้” อวี่เหวินฮุยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ชวีอ๋องให้ข้าบอกใต้เท้า หากใต้เท้ามีความประสงค์ก็มาพบกับพระองค์ได้ ถึงเวลานั้นมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับใต้เท้า”

หลี่มู่เท้าคาง “ก็ได้ ให้ชวีอ๋องของเจ้ามาหาข้าที่อำเภอขาวพิสุทธิ์”

อวี่เหวินฮุยยิ้มราบๆ “ใต้เท้าพูดเล่นแล้ว ชวีอ๋องมีกิจธุระงานบ้านเมืองมากมาย มีงานรัดตัว ตัวผูกไว้กับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ฐานะสูงส่ง จึงไม่อาจมาฉินตะวันตกได้”

หลี่มู่ตอบกลับ “เขาไม่มา ข้าก็ไม่ไป ท่าทางพวกเราคนบ้านเดียวกันจะไม่ได้เจอหน้ากันแล้ว”

หลี่มู่ไม่มีทางออกไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์แน่

“ใต้เท้ากลัวอะไรเล่า? ชวีอ๋องของพวกเราไม่มีทางข่มขู่อะไรท่านแน่…ข้า…” อวี่เหวินฮุยหัวเราะเบาๆ กำลังจะพูดอะไรต่อ

“บังอาจ” เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยอ้าปากตำหนิทันที “ต่อหน้าปฐมเทวะ เจ้าเป็นแค่ทูตตำแหน่งเล็กๆ กลับกล้าไร้มารยาทถึงเพียงนี้? เชื่อหรือไม่ว่าคุณชายของข้าบั่นคอเจ้าส่งกลับไปฉู่ใต้ได้ ชวีอ๋องก็ไม่กล้าพูดอะไร?”

ดวงตาของอวี่เหวินฮุยฉายประกายโทสะ “กับแค่เด็กรับใช้บัณฑิตตัวเล็กๆ ข้าคือขั้นเหนือมนุษย์…” เขาเคยถูกกระทำแบบนี้ด้วยเสียที่ไหน?

หลี่มู่ร้องอ้อ แล้วพยักหน้ากล่าว “เหนือมนุษย์? ตอนนี้เจ้าไม่ใช่แล้ว” เพียงชี้นิ้วออกไป ประกายแสงดาบกลุ่มหนึ่งทะลุร่างของอวี่เหวินฮุยราวแสงอัสนี ปิดเส้นลมปราณในกายเขาทันใด ทำให้ปราณแท้สลายหายไป พลังฝึกขั้นเหนือมนุษย์กระจายหายเกลี้ยงในชั่วพริบตา

“เจ้า…” อวี่เหวินฮุยตวาดลั่น ทั้งตกใจทั้งโมโห คิดไม่ถึงว่าหลี่มู่บทจะลงมือก็ลงมือ อีกทั้งยังไม่ปรานี ลงมือทำลายพลังฝึกของเขาทันที

หลี่มู่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงอย่างองอาจน่าเกรงขาม “ตอนนี้พูดให้ดีๆ คนอย่างข้าชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ชวีอ๋องยังพูดอะไรอีก”

เมื่อสายตาของหลี่มู่กวาดมองมา อวี่เหวินฮุยรู้สึกถึงจิตสังหารที่ไม่ปกปิดเลยสักนิด ใจเขาสั่นสะท้าน จิตสังหารของปฐมเทวะ แม้แต่องค์จักรพรรดิยังต้องครั่นคร้าม เขาพลันรู้สึกว่าแผนของตนเหมือนจะผิดพลาดไปแล้ว ด้วยคาดเดาลักษณะอารมณ์นิสัยของหลี่มู่ผิดไป

“ชวีอ๋องยังบอกอีกว่า…” อวี่เหวินฮุยข่มกลั้นความแค้นและความโกรธที่ถูกหลี่มู่ทำลายวรยุทธ์ อ้าปากจะพูดต่อ

หลี่มู่กลับพลันโบกมือ “ช่างเถอะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากฟังแล้ว ชวีอ๋องจะว่าอะไรก็ให้เขามาเองแล้วกัน” เขามองชิงเฟิง สั่งว่า “ส่งแขกได้”

เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงเข็นรถเข็นไปยังหน้าประตูใหญ่ จากนั้นเอ่ยเสียงเย็น “ทูตอวี่เหวิน เชิญท่าน“

อวี่เหวินฮุยอึ้งตาค้าง

เขาคิดไม่ถึงเลยว่านิสัยของหลี่มู่จะป่าเถื่อนและฉุนเฉียวได้ถึงขนาดนี้ พอพูดไม่ถูกหูก็ลงมือทันที…ครั้งนี้เสียเปรียบหนักนัก แต่หลังจากได้เห็นความฉุนเฉียวของหลี่มู่ เขารู้ชัดแล้วว่าพูดอะไรต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงได้แต่จากไปอย่างหน้าม่อยคอตก

“บางทีชวีอ๋องของเจ้าอาจช่วยกำจัดปราณดาบในกาย ช่วยฟื้นฟูพลังให้เจ้าได้”

หลี่มู่มองแผ่นหลังของอวี่เหวินฮุยพลางเอ่ยเสริม

อวี่เหวินตะลึง ก่อนที่แววตาจะฉายความลิงโลดออกมา

ที่แท้ยังมีความหวังที่จะฟื้นฟูพลังอยู่

ขณะมองชิงเฟิงพาทูตของฉู่ใต้เดินออกไป ใบหน้าของหลี่มู่ฉายแววจริงจัง

เขาลงมือลงโทษอวี่เหวินฮุย แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพราะอีกฝ่ายไร้มารยาท

เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

ชวีอ๋องแห่งฉู่ใต้คนนี้ คนที่บอกว่าตัวเองเป็นคนจากโลก ถึงแม้จะไม่เคยพบหน้ากัน อีกทั้งคำพูดที่ฝากมาดูเหมือนจะหวังดี แต่ลึกในใจมีลางสังหรณ์บอกหลี่มู่อยู่เลาๆ ว่าชวีอ๋องผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร

เมื่อพลังฝึกถึงจุดล้ำลึกเชี่ยวชาญ ก็จะเกิดลางสังหรณ์ทำนายร้ายดีขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตนจะเกิดลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง ตามคำของซินแสเฒ่า สิ่งนี้เรียกได้ว่า ‘หยั่งรู้อนาคต’

ในห้วงดาราสมุทรอันกว้างไกล เหล่าบรรพชนและตัวประหลาดเฒ่าทั้งหลายที่พลังฝึกล้ำลึก ยาม ‘หยั่งรู้อนาคต’ เพียงครู่หนึ่งถึงกระทั่งทำนายร้ายดี ล่วงรู้อนาคตได้

หลี่มู่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น

แต่หลังจากพลังฝึกของเขาค่อยๆ ล้ำลึกขึ้น โดยเฉพาะการยกระดับของพลังจิตวิญญาณ ลางสังหรณ์ของหลี่มู่หรือพูดได้ว่าสัมผัสที่เจ็ดก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกที โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ความแข็งแกร่งและการเพิ่มขึ้นแบบนี้ยิ่งชัดเจน

เมื่อครู่ ระหว่างการพูดคุยกับอวี่เหวินฮุย หลี่มู่หยั่งรู้อนาคตในเสี้ยวขณะหนึ่ง รู้สึกอยู่เลาๆ ว่าชวีอ๋องแห่งฉู่ใต้ผู้นี้มีท่าทีต่อต้านเขาบางอย่าง

คนบ้านเดียวกันน่ะใช่ แต่ไม่ใช่คนดีแน่นอน

คนจากโลกผู้หนึ่งกลับกลายเป็นอ๋องแห่งฉู่ใต้ได้ เขาทำได้อย่างไร?

เกรงว่าเบื้องหลังมีประวัติศาสตร์คาวเลือดเคล้าน้ำตาอะไรแน่นอน

หลี่มู่ตัดสินใจทำความเข้าใจตัวชวีอ๋องแห่งฉู่ใต้ให้ดีๆ ก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะพบหน้าเขาหรือไม่ เมื่อครู่ที่ตัดบทอวี่เหวินฉุยก็เพราะเขาไม่อยากฟังอีกฝ่ายพูดอะไรที่อาจรบกวนการตัดสินใจของตน เพราะเรื่องนี้นับตั้งแต่เริ่มก็ศัตรูอยู่ในที่ลับเราอยู่ในที่แจ้งมาตลอด หากฟังอะไรมากไป ไม่แน่ว่าอาจตกอยู่ในแผนของชวีอ๋องผู้นั้นก็เป็นได้

คืนนั้น หลี่มู่ไปพบสวีเซิ่งอีกครั้ง

“ชวีอ๋องแห่งฉู่ใต้? ก็เคยได้ยินมาบ้าง ได้ยินว่าคนผู้นี้เป็นหนึ่งในอ๋องทั้งแปดที่พลังแข็งแกร่งที่สุดในฉู่ใต้ ปกครองแคว้นชวี ผลิตอุดมสมบูรณ์ ดินแดนกว้างไกล กองกำลังทหารแข็งแกร่ง ดูแลปกครองมาห้าสิบปี ค่อนข้างมีใจทะเยอทะยาน ฝีมือแก่กล้านัก” สวีเซิ่งถามไปตามปากว่า “จริงสิ เจ้าถามถึงคนคนนี้ หรือทูตจากฉู่ใต้จะเป็นคนของชวีอ๋อง?”

หลี่มู่พยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว”

สวีเซิ่งเอ่ย “การปกครองของฉู่ใต้ไม่เหมือนกับฉินตะวันตกเราและซ่งเหนือ หากพูดถึงดินแดน ดินแดนของฉู่ใต้ใหญ่กว่าฉินตะวันตกและซ่งเหนือรวมกันเสียอีก แต่พื้นที่ภายในเป็นน้ำเสียมาก มีแม่น้ำ หนอง บึง ทะเลสาบมากมาย อาณาเขตน้ำเชื่อมต่อกัน ถึงแม้จะมีเผ่ามนุษย์ปกครอง แต่ปีศาจเผ่าน้ำก็มีจำนวนไม่น้อย พื้นที่ฉู่ใต้มากมายพูดได้ว่าเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจร่วมกันปกครอง โดยเฉพาะปีศาจแดนวารีที่มีพลังแก่กล้า สร้างอาณาจักรใต้วารีขึ้นมา และจักรวรรดิฉู่ใต้ก็ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์เป็นผู้ตัดสินเด็ดขาด ทว่าเคารพนับถือราชวงศ์แต่ในนาม ภายใต้เชื้อพระวงศ์มีอ๋องผู้ครองแคว้นน้อยใหญ่มากมาย เจ้าผู้ครองแคว้นใหญ่ๆ บางคนอำนาจไม่ด้อยไปกว่าเชื้อพระวงศ์ฉู่ใต้เลย…”

สมัยสวีเซิ่งยังหนุ่มก็เคยท่องไปในยุทธภพ ดังนั้นจึงมีความรู้กว้างขวางมากมาย รู้จักมักคุ้นกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของแต่ละท้องที่เป็นอย่างดี

“พี่ชายจะบอกว่า เมื่อห้าสิบปีก่อนชวีอ๋องก็ปกครองแคว้นชวีแล้วหรือ?” หลี่มู่ได้ยินแล้วก็ตกใจยิ่งนัก เอ่ยขึ้นว่า “ในช่วงห้าสิบปีนี้ชวีอ๋องเคยส่งต่ออำนาจหรือเปลี่ยนมือบ้างหรือไม่?”

สวีเซิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

หลี่มู่นวดขมับ

พูดแบบนี้ หากชวีอ๋องเป็นคนจากดาวโลกจริงๆ นั่นไม่ได้หมายความว่าเขามาถึงโลกนี้อย่างน้อยห้าสิบปีแล้วหรอกหรือ? หากเวลาของโลกใบนี้เดินเหมือนกับโลกแล้วละก็ เช่นนั้นก็หมายความว่าชวีอ๋องออกจากโลกราวปี 1970 ได้

จะเป็นไปได้หรือ?

หลี่มู่พูดต่อ “แหล่งข่าวสารข้อมูลของสำนักตรวจการแห่งจักรวรรดิน่าจะกระจายไปทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจวกระมัง? ขอให้พี่ชายช่วยข้าสืบเรื่องคนสองคนหน่อย คนหนึ่งคือท่านหญิงหวนจูธิดาบุญธรรมของปาเสียนอ๋องแห่งซ่งเหนือ อีกคนหนึ่งก็คือชวีอ๋องแห่งฉู่ใต้ผู้นี้”

สวีเซิ่งพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพียงแต่อยู่นอกจักรวรรดิฉินตะวันตก ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาหาเสียหน่อย ประมาณหนึ่งเดือนให้หลังถึงจะได้ข้อมูลอย่างละเอียดมา”

“ขอบคุณพี่ชายมาก ” หลี่มู่ไม่เกรงใจกับสวีเซิ่งแล้ว

สวีเซิ่งเตือนอย่างหวังดีขึ้นอีกประโยค “น้องชาย ตอนนี้เจ้าเป็นไท่ไป๋อ๋องแห่งฉินตะวันตกแล้ว อย่าได้สนิทสนมกับซ่งเหนือและเจ้าครองแคว้นของฉู่ใต้ให้มากไป มิฉะนั้นจะหลีกเลี่ยงความสงสัยจากเหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ยาก ไม้โดดเด่นเกินไพร ลมพัดต้องล้มครืน น้องชายช่วงนี้เจ้าโดดเด่นเกินไป ต่อให้เป็นปฐมเทวะก็จำต้องซ่อนคมในฝักเสียบ้าง”

หลี่มู่รู้สึกซาบซึ้งใจ “ขอบคุณพี่ชายมากที่เตือน ข้าทราบแล้ว”

ระหว่างนั้น ต่งรุ่ยที่ได้ข่าวก็เข้ามาพบ

ทั้งสามโยนเรื่องน่ารำคาญใจทิ้งไป แล้วเริ่มถกเรื่องวิถียุทธ์ หารือเรื่องเต๋ากันอีก

วิชาดาบของหลี่มู่ตอนนี้กล่าวได้ว่าสำเร็จระดับสูง ก้าวไปอีกขั้นก็จะบรรลุจิตดาบแล้ว

นี่เป็นความเห็นด้านวิชาดาบของที่สวีเซิ่งและต่งรุ่ยเสนอให้

จากคำพูดของผู้อาวุโสทั้งสอง อาวุธหรือวิชาใดๆ ในโลกใบนี้ล้วนแบ่งจากระดับต่ำไประดับสูง แบ่งเป็นท่า ทักษะ จิต และพลัง ท่าหมายถึงกระบวนท่า เมื่อกระบวนท่าถึงขั้นเชี่ยวชาญยิ่งแล้วจึงเรียกว่าทักษะ เมื่อทักษะยกระดับจะเกิดจิตขึ้นมา ซึ่งก็คือจิตสูงสุดวิถียุทธ์ จิตสูงสุดวิถียุทธ์ที่ทุกคนเข้าใจได้แตกต่างกันไป หลังจากบรรลุจิตสูงสุดวิถียุทธ์นี้แล้วก็จะเป็นพลัง พลังหมายถึงพลังแห่งฟ้าดิน คล้ายกับกฎวิชาเต๋า แต่ว่าเป็นวิชาผลักดันที่ล้ำลึกยิ่งกว่า

หลี่มู่ก็คิดไว้เช่นนั้น

เขาเคยเห็นจิตกระบี่ธุลีแดงของหลี่กัง เคยเห็นจิตแห่งหมัดของสวีเซิ่ง ย่อมรู้ว่าจิตช่วยเสริมและยกระดับให้กับวิชาดาบของตน แต่การบรรลุจิตแห่งดาบไม่ใช่เรื่องง่าย จำต้องเชี่ยวชาญบรรลุวิชาดาบอย่างสมบูรณ์และพัฒนาไปอีกขั้น

อีกหลายวันต่อมา ทั้งสามคนแทบจะตัวติดกันทั้งวันทั้งคืน คอยถกประเด็นหารือเรื่องยุทธ์และเต๋า

ความเข้าใจต่อวิถียุทธ์ของหลี่มู่รุดหน้าอย่างรวดเร็ว

วันที่หกก็มีข่าวส่งเข้ามา

ชิวอิ่นลูกศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผาหรือ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ ต้องการเข้าพบไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่

แต่ละฝ่ายต่างมองตากัน

เพราะตอนนี้รองเจ้าสำนัก ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนดาบ การมาเยือนของชิวอิ่นเป็นตัวแทนเจตจำนงของบุคคลอันดับหนึ่งด้านการยุทธ์แห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก จะรบหรือสมานฉันท์ก็จะได้รู้กันแล้ว

ถึงแม้หลายคนจะรู้สึกว่าภายใต้เงื่อนไขการแต่งตั้งตำแหน่งไท่ไป๋อ๋องของทางจักรวรรดิ วิธีที่เหมาะกับผลประโยชน์ของทุ่งปิดภูผามากที่สุดเห็นได้ชัดว่าคือการดึงหลี่มู่มาเป็นพวก เรื่องใหญ่แก้ให้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กแก้ให้ไม่เป็นปัญหา แต่สำหรับสำนักทุ่งปิดภูผา ด้วยนิสัยประหลาดของ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ย คนนอกจึงยากจะคาดเดา ดังนั้นไม่แน่ว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ได้

และในขณะเดียวกันนี้ สงครามอีกแห่งหนึ่งก็กำลังปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วรุนแรง

กองทัพกบฏเมืองฝูเฟิงและเฟิ่งเสียง หลังจากเตรียมตัวมาถึงสิบวันเต็มๆ ก็เผชิญหน้ากับการโจมตีจากเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิ เจ้าเมืองฉางอันหลี่กังคุมกองทัพทั้งสามใต้บัญชาการ ร่วมกับกำลังทหารสี่เมืองใหญ่รอบๆ รวมกำลังพลสี่แสนนาย ล้อมโจมตีกองทัพกบฏของเจิ้นซีอ๋อง เมื่อลงมือก็ได้รับชัยชนะ กองทัพเมืองเฟิ่งเสียงถูกกองทัพราชวงศ์ถล่มราบคาบในห้าวัน ส่วนเมืองฝูเฟิงก็ตกอยู่ในอันตราย