บทที่ 240.1 ชมน้ำตก [ภาค 4 ใกล้ปราณกระบี่]

กระบี่จงมา! Sword of Coming

[ภาค 4 ใกล้ปราณกระบี่] บทที่ 240.1 ชมน้ำตก โดย ProjectZyphon

เฉินผิงอันทำหน้าที่เฝ้ายามครึ่งคืนหลัง พอเดินกลับเข้ามาในวัดโบราณ ทั้งสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็ไม่ได้เปิดปากถาม เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้พูดอะไร

ตั้งแต่กลางคืนจนถึงฟ้าสาง เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกองไฟโดยตลอด แสงไฟสาดสะท้อนใบหน้าที่ขาวเนียนขึ้นมาหลายส่วนนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ฟ้าเริ่มสาง ชายฉกรรจ์เคราดกยังคงนอนฝันหวาน จางซานเฟิงเก็บผ้าห่มเรียบร้อยก็พบว่าเฉินผิงอันไม่อยู่ในวัด เดินออกนอกประตูไปถึงสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้ฝึกวิชาหมัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถือกระบี่ไม้ไหวอยู่ในมือ ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

เฉินผิงอันได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้ามายิ้มให้ “ตื่นแล้วหรือ?”

จางซานเฟิงพยักหน้ารับแล้วยืดแขนคลายกล้ามเนื้อ สายลมภูเขายามเช้าตรู่ที่พัดโชยมายังคงมีไอหนาวเล็กน้อย จางซานเฟิงปลดกระบี่ไม้ไหวที่สะพายไว้ด้านหลังลง แล้วเริ่มฝึกวิชากระบี่ที่หมื่นปีก็ไม่แปรเปลี่ยน กระโดดพลิกตัวกลับไปกลับมา คนเดินตามกระบี่ เรือนกายโปร่งเบาคล่องแคล่ว

แขนของจางซานเฟิงยาวดุจแขนวานร ท่ากระบี่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันได้สมใจปรารถนา หากดูตามสายตาของยอดฝีมือในยุทธภพก็คือตัวอ่อนกระบี่ที่ดีที่เกิดมาก็เหมาะกับการฝึกวิชากระบี่ แต่หากเป็นในสายตาของตระกูลเซียนบนภูเขา เกรงว่าคงไม่ได้พูดแบบนี้ เพราะพวกเขาให้ความสนใจกับการ ‘หล่อเลี้ยงลมปราณ หลอมลมปราณ’ มากกว่า เน้นในเรื่องการเดินขึ้นเขาที่ไวมากพอ ไวจนเป็นดั่งม้าที่เร็วที่สุดของฝูงในความรู้สึกของคนวัยเดียวกัน ไวจนคนเฒ่าคนแก่อายุนับร้อยนับพันปียังได้แต่มองตามฝุ่นที่คลุ้งตลบอยู่ด้านหลัง

หลังจากจางซานเฟิงเก็บกระบี่ไปแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงยืนถือกระบี่ดังเดิม เขาลังเลตัดสินใจไม่ได้ก็เลยไม่คิดจะออกกระบี่

ตอนที่กินอาหารเช้า คนทั้งสามวางแผนร่วมกัน ตัดสินใจว่าจะไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ที่ซ่งอวี่เซาสร้างขึ้นสักครั้ง ใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่นั่นพักหนึ่ง สืบข่าวตำแหน่งที่ตั้งของท่าเรือตระกูลเซียนแคว้นซูสุ่ยให้แน่ชัดแล้วค่อยเดินทางต่อก็ยังไม่สาย

หมู่บ้านห่างจากที่แห่งนี้ไปเจ็ดกว่าร้อยลี้ ระยะทางส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงชัน ยังดีที่พอเข้าสู่ฤดูร้อน สายลมอบอุ่นแสงแดดสดใส คนทั้งสามจึงสามารถเร่งรีบเดินทางกันได้อย่างเต็มที่ เพียงไม่นานก็เข้าสู่เขตการปกครองของหมู่บ้านวารีกระบี่ หมู่บ้านตั้งอยู่ตรงตีนเขาของภูเขาขนาดใหญ่ที่งดงาม ก่อนที่จะเข้าไปในหมู่บ้านได้ผ่านเมืองเล็กเจริญรุ่งเรืองที่มีผู้คนสัญจรไม่ขาดสายแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันแยกไปซื้อเหล้ามาบรรจุใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ สวีหย่วนเสียไปที่ร้านหนังสือ จางซานเฟิงรับผิดชอบไปซื้อเนื้อและอาหารแห้งมาเติมเสบียง ถึงเวลาที่ต้องใช้เงิน คนเรามักเจ็บใจที่เงินน้อยเกินไปเสมอ ชายฉกรรจ์เคราดกถูกใจตำราของอดีตราชวงศ์แคว้นซูสุ่ยที่มีเพียงเล่มเดียวซึ่งราคาสูงมากเล่มหนึ่ง จนใจที่กระเป๋าเงินฟีบแบน ได้แต่โมโหตัวเองที่ตอนอยู่เมืองแยนจือหน้าบางเกินไป ควรจะรับเงินห้าพันตำลึงเงินนั้นมาอย่างเปิดเผยเหมือนเฉินผิงอัน

เนื่องด้วยเรื่องที่เงินอีแปะเดียวก็ล้มชายชาตรีได้ ระหว่างที่คนทั้งสามเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านวารีกระบี่ จางซานเฟิงจึงพูดถึง ‘เงินฝนธัญพืช’ (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญพืชที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19  20 หรือ 21 เมษายน) ที่มีมูลค่าเหนือกว่าเงินร้อนน้อย บอกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง แค่เคยได้ยินชื่อของมัน เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเท่ากับเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ ส่วนเงินฝนธัญพืชที่วัตถุดิบล้ำค่าหายากก็มีมูลค่าเท่ากับเงินร้อนน้อยร้อยเหรียญ ดูเหมือนว่าพวกเซียนขอบเขตโอสถทองหรือขอบเขตก่อกำเนิดล้วนใช้เงินชนิดนี้มาแลกเปลี่ยนสมบัติอาคม ที่สำคัญที่สุดก็คือเดิมทีเงินฝนธัญพืชก็เป็นเหมือนของบำรุงชิ้นโตสำหรับผู้ฝึกลมปราณอยู่แล้ว เพราะสามารถบำรุงลมปราณ ชดเชยพลังต้นกำเนิดคืนมาได้อย่างรวดเร็ว

ระหว่างนี้สวีหย่วนเสียเอ่ยเตือนพวกเขาสองคนว่า ผลเก็บเกี่ยวจากการกำจัดปีศาจปราบมารที่เมืองแยนจือในครั้งนี้ หากไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรหาร้านหนึ่งบนภูเขา ต่อให้จะถูกกดราคา แต่ขอแค่ไม่ถูกเกินไปนักก็ควรจะขายออกไปซะ แล้วเอาเงินมาซื้อวัตถุวิเศษที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของตัวเองสักชิ้นสองชิ้นเก็บไว้ในกระเป๋าให้สบายใจ เงินทองเป็นอย่างนี้ การเลื่อนขั้นของขอบเขตก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

สำหรับเรื่องนี้จางซานเฟิงมีความคิดอยู่ในใจแล้ว เขาบอกว่าจะซื้อยันต์โจมตีที่ตัวเองปรารถนาแม้ในยามหลับฝันมาสักสองสามแผ่น หากเป็นยันต์วิชาอสนีย่อมดีที่สุด นอกจากนี้ก็หวังว่าจะเจอกระบี่อาคมที่ราคายุติธรรมสักชิ้น แม้ว่ากระบี่ไม้ท้อจะสามารถกำจัดปีศาจปราบมารได้เหมือนกัน แต่มีขีดจำกัดอยู่ที่เดิมทีวัสดุอย่างไม้ท้อก็เปราะบางอยู่แล้ว หากเจอกับปีศาจใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำที่มีฝีมือเลิศล้ำอย่างแท้จริง คงต้องเคราะห์ร้ายแน่

เฉินผิงอันยังตัดสินใจไม่ได้ แน่นอนว่าเขาปรารถนาอยากให้สมบัติอาคมนับพันนับหมื่นชิ้นในโลกเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างเดียว ไม่มีออกไปไหน

อีกอย่างเขาเองก็ไม่เหมือนกับจางซานเฟิง รากฐานในการหยัดยืนของเขาคือเรือนกายและวิชาหมัดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่สามารถพกติดตัวไปได้ทุกหนแห่ง และเป็นการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เขายังมีบรรพบุรุษน้อยที่มีพลังสังหารไร้เทียมทานอีกสองท่านในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ดังนั้นจึงยังไม่มีความคิดที่จะขายของเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับมา หรือใช้สิ่งของแลกสิ่งของอย่างที่พวกผู้ฝึกลมปราณทำกัน

ไปถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ที่มีรถม้าขับเคลื่อนไม่ขาดสาย คนทั้งสามค้นพบว่าสภาพการณ์ของตัวเองค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน หมู่บ้านกระบี่มีผู้ดูแลแซ่ฉู่ที่อายุมากอยู่คนหนึ่งก็จริง แต่พอคนเฝ้าประตูและผู้ดูแลฝ่ายนอกซึ่งรับผิดชอบหน้าที่รับรองแขกได้ยินว่ามีคนแปลกหน้าต่างถิ่นสามคนเปิดปากพูดว่าจะพบท่านบรรพบุรุษฉู่ แม้ใบหน้าของเขาจะไม่แสดงสีหน้าอะไร แต่ก็สรรหาเหตุผลที่ถูกต้องเหมาะสมมาปฏิเสธ ต้องรู้ว่าบรรพบุรุษสู่อายุเกือบร้อยปี เป็นรัฐบุรุษอาวุโสที่สร้างคุณความชอบช่วยช่วงชิงใต้หล้ามาพร้อมกับอดีตเจ้าหมู่บ้าน จึงเลิกสนใจเรื่องราวทางโลกมานานแล้ว หรือถึงขั้นพูดได้ว่า หลังจากที่อดีตเจ้าหมู่บ้านมอบหมู่บ้านให้หลานชายคนโตดูแล เขาก็ทำตัวเหมือนมังกรเทพที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง มักจะออกไปข้างนอก ไม่กลับหมู่บ้านนานถึงสามปีห้าปีเป็นประจำ บรรพบุรุษฉู่ที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งก็คือรองเจ้าหมู่บ้าน ใช่คนที่ใครคิดอยากจะเจอก็ได้เจออย่างนั้นหรือ? คิดว่าหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเขาเป็นร้านค้าข้างทางในเมืองหรือยังไง?

ดังนั้นคนทั้งสามจึงได้กินน้ำแกงประตูปิด (หมายถึงคนที่เจ้าของบ้านปิดประตูไม่ให้การต้อนรับ) แบบไม่หยาบคายแต่ก็ไม่อ่อนโยน จางซานเฟิงถามสวีหย่วนเสียว่าจะยัดเงินบอกให้ผู้ดูแลคนนั้นช่วยปล่อยผ่านไปได้หรือไม่

สวีหย่วนเสียยิ้มจืดเจื่อนตอบ “คนในยุทธภพ โดยเฉพาะผู้นำแห่งยุทธภพอย่างหมู่บ้านวารีกระบี่นี้ การที่เราควักเงินแก้ปัญหาเท่ากับตบหน้าคนอื่น เหตุการณ์จะกลับตาลปัตรทันที”

จางซานเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าไม่ได้จริงๆ พี่ใหญ่สวีก็แสดงวิชาดาบอยู่หน้าประตูใหญ่สักชุด รับรองว่าพวกเราจะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติทันที”

อันที่จริงน้ำในยุทธภพของแจกันสมบัติทวีปไม่ลึกนัก เทียบกับอุตรกุรุทวีปที่มีมือกระบี่ฝีมือสูงส่งจำนวนมากไม่ได้ ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสี่อย่างสวีหย่วนเสีย เมื่อมาอยู่ในยุทธภพของแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นซูสุ่ยนี้ก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่ก้าวเดินได้อย่างอาจหาญแล้ว แถมมีอาวุธเทพเหมาะมืออยู่กับตัวก็ยิ่งเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก หากตอนนั้นที่อยู่ในวัดร้างไม่เป็นเพราะหลงกล ถูก ‘หมัวมัว’ ที่รูปลักษณ์เป็นเด็กสาวลอบโจมตี ได้ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ตรงไปตรงมา ก็ไม่แน่เสมอไปว่าสวีหย่วนเสียจะพ่ายแพ้ให้กับหมัวมัวหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ย

สวีหย่วนเสียใช้ฝ่ามือลูบเคราตัวเอง หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องทำตามวิธีนี้แล้ว

แต่ทันใดนั้นจางซานเฟิงก็กระตุกชายแขนเสื้อของคนทั้งสอง สวีหย่วนเสียและเฉินผิงอันหันไปมองก็เห็นว่ามีรถม้าใหญ่ยักษ์ที่ประดับประดาอย่างหรูหราค่อยๆ จอดลงอย่างเปี่ยมอำนาจและบารมี มีเด็กสาวคนหนึ่งกับชายฉกรรจ์ร่างใหญ่โตคนหนึ่งเดินลงมา ใบหน้าของเด็กสาวคุ้นตา นางก็คือมารร้ายที่วางแผนหวังกระทำการเหี้ยมโหดในวัดร้าง ตอนนั้นนางพูดกับซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยว่านางจะมาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่านางจะพูดจริงทำจริง ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่นิดเดียว

ชายฉกรรจ์ร่างสูงถึงเก้าฉื่อ เดินมามือเปล่า แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพละกำลังน่ายำเกรง ไม่ว่าจะเดินผ่านที่ใด จอมยุทธ์ของยุทธภพแห่งต่างๆ ยอดฝีมือจากพรรคดัง และผู้มีชื่อเสียงในวงการการต่อสู้ต่างก็พากันขยับหลบเปิดทางให้

พวกเฉินผิงอันมองเห็นมารเด็กสาว นางเองก็มองเห็นพวกเขา หันไปพูดกับชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนครู่หนึ่งก็เห็นตรงมาหาคนทั้งสาม แล้วยอบตัวคารวะอย่างชดช้อย จากนั้นจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วีรบุรุษทั้งสามท่าน หากพวกเราไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน ครั้งนี้มาเป็นแขกที่หมู่บ้านวารีกระบี่ ไม่สู้พวกเราสองฝ่ายมานั่งร่วมโต๊ะ ใช้รอยยิ้มสลายความแค้นดีหรือไม่?”

สวีหย่วนเสียหันไปสบตากับเฉินผิงอันและจางซานเฟิงก่อน ค่อยหันหน้ามายิ้มให้นาง “ได้สิ”

เพียงไม่นานทางฝ่ายของหมู่บ้านก็มีผู้เฒ่าหลังงอแซ่ฉู่เดินออกจากประตูมาต้อนรับเด็กสาวและชายฉกรรจ์ ที่แท้ก่อนที่จะมาเยือน ชายร่างยักษ์ได้ส่งเทียบเชิญมาก่อนแล้ว ทางหมู่บ้านจึงไม่กล้าเพิกเฉย

สวีหย่วนเสียอาศัยโอกาสนี้เอ่ยคำพูดของซ่งอวี่เซาให้ผู้เฒ่าฟัง ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือผู้เฒ่าแซ่ฉู่ผู้ดูแลใหญ่ของหมู่บ้าน พอได้ยินประโยคนี้ก็แน่ใจว่าเป็นคำพูดของอดีตเจ้าหมู่บ้าน เมื่อเทียบกับความระมัดระวังที่ปฏิบัติต่อเด็กสาวและชายร่างใหญ่แล้ว กับพวกสวีหย่วนเสียจึงมีความจริงใจและกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นมา อีกอย่างสหายในยุทธภพที่เข้าตาอดีตเจ้าหมู่บ้านได้ และยิ่งเป็นในช่วงเวลาเช่นนี้ก็ควรต้องผูกมิตรเอาไว้ให้มาก ไม่แน่ว่านายน้อยเจ้าหมู่บ้านจะได้นั่งบนเก้าอี้ผู้นำมั่นคงขึ้น!

เข้ามาในหมู่บ้าน เดินลอดระเบียง ข้ามเส้นทาง อ้อมผ่านกำแพงบังตา หมู่บ้านกระบี่สร้างขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คนทั้งสามถูกผู้ดูแลฉู่พามาพักเรือนเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ทิวทัศน์งามสง่าแห่งหนึ่ง ส่วนเด็กสาวกับชายร่างใหญ่ก็พักอยู่ในเรือนติดกัน

ก่อนจะเข้ามาในเรือนเฉินผิงอันก็ได้ยินเสียงน้ำไหลแล้ว พอถามว่าใกล้ๆ นี้มีธารน้ำหรือไม่ ถึงได้รู้ว่าหากเดินเลียบไปตามทางเดินหินด้านหลังเรือน ไม่ใกล้กับที่แห่งนี้เท่าไหร่ มีน้ำตกสายใหญ่ตกลงมาจากที่สูงอยู่สายหนึ่ง เป็นทัศนียภาพที่งดงามแห่งหนึ่งของหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแคว้นซูสุ่ย หากเป็นหลังฝนตกจะมีสายรุ้งพาดผ่านท้องฟ้า เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และงดงาม สร้างความประทับใจให้แก่คนมอง

ตอนนี้สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงยังไม่อยากออกไปข้างนอก เฉินผิงอันจึงไปดูน้ำตกเพียงลำพัง

จางซานเฟิงฝึกวิชากระบี่อยู่ในลานบ้าน สวีหย่วนเสียที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ดีนักนะ ข้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ ดันไม่ได้ยินเสียงน้ำตก แต่ไอ้หนูอย่างเจ้ากลับหูดีนัก”

หลังจากผู้เฒ่าแซ่ฉู่คนนั้นเดินมาได้ระยะหนึ่งก็หยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองยังทิศทางของน้ำตกกลางภูเขาที่อยู่ห่างไปไกลแล้วพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนี้คือปรมาจารย์ใหญ่แก่ชราที่กลับคืนเป็นหนุ่ม?”

……

เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ต้อนรับกองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นแขกที่หาได้ยากยิ่ง

กองกำลังทหารกลุ่มนี้เป็นคนของทางการต้าสุย แม้ว่าจะแต่งตัวเรียบง่าย ไม่ได้ติดอาวุธหนัก อีกทั้งยังไม่ได้โบกธงตีกลอง แต่ก็ยังสร้างคลื่นมรสุมลูกใหญ่ให้กับราชสำนักของต้าหลี เป็นเหตุให้ในกลุ่มคนของต้าหลีที่มารับแขกมีนายพลเอกเสาหลักของแคว้นอยู่ถึงสองท่าน แบ่งออกเป็นนายพลแซ่หยวนและแซ่เฉา และยังมีเจ้ากรมพิธีการที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักศึกษาซานหยา รวมไปถึงผู้อาวุโสใหญ่ในเมืองหลวงอีกหลายท่าน ซึ่งทุกคนต่างก็เป็นญาติสนิทของฮ่องเต้ต้าหลีโดยไม่มีข้อยกเว้น เจ้าเมืองอู๋ยวนที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้จึงไม่สะดุดตาเอาเสียเลย

คนสำคัญของทางฝ่ายต้าสุยคือผู้เฒ่าอายุมากที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังคนหนึ่ง รู้เพียงว่าแซ่เกา แซ่เดียวกับฮ่องเต้ต้าสุย เพียงแต่ว่าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วกลับคล้ายนักเล่านิทานที่มีสี่สมุทรเป็นบ้านมากกว่า ไม่มีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ร่ำรวยใดๆ ข้างกายมีเด็กสาวติดตามมาด้วยคนหนึ่ง ในรถม้าอีกสองคันที่เหลือ ผู้ที่โดยสารมาแบ่งออกเป็นองค์ชายเกาเซวียนและขันทีสวมชุดลายงูหลาม รวมไปถึงรองเจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งที่มีสง่าราศี แต่ระดับตำแหน่งไม่สูงมากนัก

หลังจากที่คนทั้งสองกลุ่มมาเจอกันที่จุดพักม้าแห่งหนึ่งก็แค่กินข้าวดื่มชาง่ายๆ ร่วมกันหนึ่งมื้อ จากนั้นก็รีบร้อนเดินทางไปยังภูเขาพีอวิ๋นที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ให้เป็นขุนเขาเหนือ เว่ยป้อเทพใหญ่แห่งขุนเขาเหนือและเฉิงสุ่ยตงที่ในอดีตมีชาติกำเนิดเป็นขุนนางของแคว้นหวงถิง แต่ตอนนี้กลับกระโดดพรวดขึ้นเป็นรองเจ้าสำนักศึกษาหลินลู่ หนึ่งทวยเทพหนึ่งเจียวเฒ่ามายืนรอคนกลุ่มใหญ่อยู่ที่ตีนเขาอย่างอดทน

สามฝ่ายเจอกันแล้วก็ทยอยพากันขึ้นเขา

สกุลซ่งต้าหลีกับสกุลเกาต้าสุยจะจับมือเป็นพันธมิตรกันบนภูเขาพีอวิ๋น!

‘พันธมิตรภูเขา’ ในครั้งนี้ สองราชวงศ์ใหญ่สุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ทางทิศเหนือของบุรพแจกันสมบัติทวีปจะลงนามเป็นพันธมิตรที่ร่วมมือกันป้องกันและโจมตีศัตรูเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี

ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะลงนามเป็นพันธมิตรตามกฎระเบียบที่ลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ เด็กหนุ่มสองคนที่อายุเท่ากันยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ทั้งสองต่างก็เป็นองค์ชายเหมือนกัน คนหนึ่งชื่อซ่งจี๋ซิน ด้านหลังมีสาวใช้จื้อกุยที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยืนอยู่ อีกคนหนึ่งชื่อเกาเซวียน ด้านหลังมีขันทีผมขาวโพลนสวมชุดลายงูหลามยืนสอดมือประสานกันอย่างเคร่งขรึม

เกาเซวียนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พบกันอีกแล้วนะ”

ความทรงจำที่ซ่งจี๋ซินมีต่อเชื้อพระวงศ์ต้าสุยที่พบกันครั้งแรกในตรอกหนีผิงผู้นี้ย่ำแย่มาก จึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร

เกาเซวียนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ตอนนี้เจ้าร้ายกาจกว่าข้าแล้ว”

ซ่งจี๋ซินยิ้มหยัน ไม่เอ่ยคำใด

เกาเซวียนจึงเปลี่ยนไปมองเด็กสาวสะโอดสะองคนนั้น ยิ้มบางๆ พูดกับนาง “ตอนนี้ข้ากับเฉินผิงอันเป็นสหายที่สนิทกันมาก ตอนเขาอยู่ต้าสุย ขอแค่พูดถึงเรื่องที่บ้านเกิดก็มักจะพูดถึงเจ้าเป็นประจำ”

จื้อกุยกลอกตามองบนใส่อย่างไม่เกรงใจ

ดูเหมือนเกาเซวียนจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามซ่งจี๋ซิน “ตอนนั้นที่ข้าขอซื้อตัวสาวใช้คนนี้ ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนเจ้าจะตั้งราคาหมื่นตำลึงทอง ตอนนี้ยังราคาเดิมไหม?”

คราวนี้ซ่งจี๋ซินยอมเปิดปากพูดในที่สุด “ต้าสุยทั้งหมดราคาเท่าไหร่ ไหนลองว่ามาสิ วันหน้าหากข้ามีเงิน ไม่แน่ว่าอาจจะซื้อ”

เกาเซวียนจุ๊ปากพูด “คนอาศัยเสื้อผ้า ม้าอาศัยอาน คำพูดของเจ้าในเวลานี้ช่างน่าตกใจจริงๆ”

ซ่งจี๋ซินหัวเราะหยัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าตกใจตายแล้วหรือยัง?”

เกาเซวียนเบ้ปาก ไม่คิดต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหมอนี่อีก เขาหันไปมองศาลเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่า ถามเบาๆ ว่า “ศาลขุนเขาเหนืออยู่ที่นี่ แล้วขุนเขาใต้ล่ะ?”

……

บนภูเขาตงซานของเมืองหลวงต้าสุยอันเป็นที่ตั้งสำนักศึกษาซานหยาก็มีการลงนามกึ่งพันธมิตรภูเขาที่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนเกิดขึ้น แม้มองดูแล้วจะมีคุณสมบัติไม่สูงมากนัก อีกทั้งยังไม่ได้เปิดเผยข่าวใดๆ ให้ภายนอกรับรู้ แต่คนทั้งในและนอกเมืองหลวงต้าสุยต่างก็ตึงเครียดกันมาก นับตั้งแต่ฮ่องเต้ไปจนถึงหกกรม รวมไปถึงคนทั้งบนและล่างภูเขา ด้านนอกผ่อนคลาย ด้านในตึงเครียด ทุกคนจับตามองสำนักศึกษาซานหยาอย่างไม่ให้คลาดสายตา ยังดีที่รองเจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงทำตัวคล้ายแม่ไก่ที่ปกป้องฝูงลูกเจี๊ยบ ยืนกรานกับราชสำนักต้าสุยอย่างแข็งขันว่า อย่าถ่วงเวลาการเรียนการสอนตามปกติของสำนักศึกษาด้วยสาเหตุนี้ นี่จึงเป็นเหตุให้เหล่าอาจารย์และนักเรียนส่วนใหญ่ในสำนักศึกษาต่างก็สัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติ

การที่ต้าสุยหวาดหวั่นขวัญผวากันขนาดนี้ จะโทษว่าต้าสุยทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้ เพราะคนที่รับผิดชอบมาลงนามพันธมิตรขุนเขาของฝ่ายต้าหลีในครั้งนี้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก

ราชครูต้าหลี ชุยฉาน

ในเรือนที่สง่างามสงบเงียบแห่งหนึ่งของสำนักศึกษาซานหยา เด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่ตอนนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวงต้าสุยกำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตู ไม่กล้าหายใจดัง

ในห้องมีคนสองคนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

อันที่จริงหากจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นคนคนเดียวกัน

เด็กหนุ่มชุยฉานสวมชุดขาวพลิ้วไหว ชุยฉานผู้เฒ่าสวมชุดปัญญาชนสีเขียว

หลังจากคนทั้งสองได้พบหน้ากันก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เพียงแค่เล่นหมากล้อมด้วยกันหนึ่งตา สุดท้ายเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซานเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ได้อารมณ์เสีย ยังสามารถเล่นทวนซ้ำเพียงลำพังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

สีหน้าของชุยฉานผู้เฒ่าเคร่งเครียด รับชาร้อนถ้วยหนึ่งที่เด็กสาวเซี่ยเซี่ยส่งมาให้ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ดื่มชาเนิบช้า ไม่แม้แต่จะปรายตามองหมากบนกระดาน

 —–