บทที่ 122 ยามแสงตะวันสว่างสดใส

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 122 ยามแสงตะวันสว่างสดใส
เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก

เพียงพริบตาเดียวเดือนเหมันต์ก็ผ่านไป เดือนสิบสองก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว วันสิ้นปีใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

……

วันนี้อากาศแจ่มใส สรรพสิ่งสดใส

แต่จิตใจของเสิ่นหนานชีกลับมืดมนนัก

ตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้อยู่ทางตะวันออกของตำบลถังเส่อ น่าจะเป็นประมาณบนภูเขาตะวันตก ห่างจากตำบลเสี่ยวหลินที่ถูกทิ้งร้างไปแล้วน่าจะใกล้อยู่

แต่เขาไม่อาจยืนยันได้ เขาหลงทิศแล้ว

ทั้งๆ ที่เหนือ ใต้ ออก ตก ทุกสิ่งล้วนมองเห็นอย่างแจ่มชัด แต่มักจะเดินวนกลับมาที่เดิม

เสิ่นหนานชีไม่กล้าเสี่ยงอีก โดยเฉพาะศิษย์น้องชายหญิงหลายคนบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

เขาสัมผัสได้อย่างว่องไวว่านี่เป็นแผนการร้ายที่พุ่งเป้ามายังศิษย์สำนักเต๋าโดยเฉพาะ!

ผู้ร่วมเดินทางมีทั้งหมดห้าคน ตอนนี้ที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองเหลือเพียงเขาและศิษย์น้องอีกคนหนึ่งเท่านั้น ที่ยังมีกำลังรบอยู่ ก็เหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นแล้ว

ดูจากที่ตั้งตำแหน่งทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินแล้ว เขาตะวันตกตั้งอยู่ทางทิศตตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ไม่รู้ว่า ‘เขาตะวันตก’ ชื่อนี้เรียกออกมาได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้มีโจรป่ากลุ่มหนึ่งครอบครอง หลังจากถูกเจียงวั่งที่เป็นลูกศิษย์สายนอกกำจัดไปด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียว ที่นี่ก็สงบลงไปมาก

เสิ่นหนานชีพากลุ่มเข้าไปในเทือกเขาฉีชางเพื่อล่าสังหารสัตว์ปีศาจ เดิมเป็นภารกิจฝึกฝนทั่วไป แต่กลับถูกลอบโจมตีที่นอกเมืองถังเส่อ

ตลอดทางมาทั้งเดินทางทั้งต่อสู้ คำนวณๆ ระยะทางแล้วน่าจะถึงเขาตะวันตกแล้ว เพราะทิศทางมุ่งหน้ามาทางตะวันออกโดยตลอด

แต่ว่าหลังจากที่มาถึงที่นี่ทิศทางก็ไร้ซึ่งความหมาย

สำหรับเรื่องค่ายกลเขารู้ไม่มาก และไม่อาจทิ้งศิษย์น้องชายหญิงไปเสี่ยง

พวกมารร้ายนอกรีตที่แอบซ่อนอยู่ในที่มืดเหล่านั้นเหมือนคิดจะกินแรงเขาให้ตายอย่างช้าๆ เพียงแค่ประเดี๋ยวๆ ก็ทำการโจมตีครั้งหนึ่ง ไม่ได้บุกขึ้นมาทั้งหมดในทีเดียว

เรื่องมาถึงตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงแค่รอเท่านั้น ธูปขอความช่วยเหลือเขาได้ช่วงชิงโอกาสจุดไปตั้งนานแล้ว

ตอนนี้ก็มาดูว่าจะเป็นกองกำลังช่วยเหลือมาถึงก่อน หรือพวกเขาจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวล้มลงก่อน

……

นับไม่ถ้วนว่านี่เป็นการลอบโจมตีครั้งที่เท่าไรแล้ว รากพลังเต๋าที่สะสมไว้แทบจะเหือดแห้งแล้ว

สหายร่วมกลุ่มคนสุดท้ายที่ยืนอยู่ก็ล้มลงแล้ว เพราะการปะทุของเขาจึงโชคดีไม่ตาย แต่อันที่จริงเขารู้ดีว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเวลาเท่านั้น หากช่วยไม่ได้ทันเวลาแล้วล่ะก็…

ในจุดผ่านสวรรค์กระแสวนเต๋าหมุนวนกำลังหล่อหลอมสร้างรากพลังเต๋าขึ้นใหม่ แต่เสิ่นหนานชีไม่รู้ว่าเขาจะรอได้ถึงตอนนั้นหรือไม่

ไม่ ต้องทำได้

เสิ่นหนานชีไม่หันหลังกลับ เขารู้ว่าข้างหลังของเขาเป็นใครบ้าง นั่นคือคนในกลุ่มของเขา

และเขาเสิ่นหนานชีไม่มีทางทอดทิ้งคนในกลุ่มเด็ดขาด

ไม่มีทางเด็ดขาด!

คว้ากระบี่เล่มหนึ่งแล้วรับหน้าคู่ต่อสู้ที่โจมตีมา รากพลังเต๋าที่สามารถเอามาใช้ได้มีไม่มาก เขาพยายามใช้อย่างประหยัด

แม้จะไม่เคยฝึกวิชากระบี่ยอดเยี่ยมอะไร แต่ด้วยพลังบำเพ็ญระดับผ่านสวรรค์ขับเคลื่อนร่างกายก็มากพอจะแสดงกำลังรบออกมาได้ในระดับหนึ่ง แน่นอน อย่างไรก็สู้ระบบวิชาเต๋าที่เขาฝึกฝนมานานหลายปีไม่ได้ ประมือกันไม่กี่กระบวน เสิ่นหนานชีลอยถอยไปข้างหลัง ศัตรูจู่ๆ ก็ล้มตึงลงกับพื้น ที่หัวใจมีรูหลายรู เลือดทะลักออกมาไม่หยุด นั่นเป็นรูที่เกิดจากธนูแสงทอง

เขาจำต้องใช้วิชาเต๋าอีกครั้ง

ในที่สุดรากพลังเต๋าก็หมดสิ้นแล้ว

จบแล้วอย่างนั้นหรือ เขาคิด

ในระยะครรลองสายตาของเขา มารร้ายนอกรีตเดินออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

คนพวกนี้ไม่ปกปิดใบหน้า เพราะพวกเขาไม่คิดจะปล่อยใครหน้าไหนไปทั้งนั้น

แสงอาทิตย์สาดส่องทั่วภูเขา

ในหุบเขาที่สว่างแจ่มแจ้งมีเงาร่างหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็ว

ดาบยาวเล่มหนึ่งฟันมา

แสงดาบสะท้อนแสงตะวัน เงาคนทะลุผ่านเงาคน

เลือดสาดกระเซ็น หัวมนุษย์กระเด็นหลุดลอย

ดาบวายุเหมันต์…เว่ยเหยี่ยนปรากฏกาย

มารนอกรีตที่เพิ่งมารวมกันเมื่อครู่สลายตัวทันที ตีลังกาไม่กี่ตลบก็หายไปไร้ร่องรอย

ในค่ายกลเช่นนี้ พวกเขาหากบุกก็สามารถทำการโจมตีได้ หากถอยก็สามารถป้องกันได้

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนที่มาช่วยข้า” เสิ่นหนานชีเอ่ย

เว่ยเหยี่ยนมองไปข้างหลังเขา น้ำเสียงเฉยชา “เจ้าก็ยังเป็นแบบนี้ หากหนีไปคนเดียวก็รอดไปตั้งนานแล้ว”

“ไม่ต้องพูดให้มากความ คนที่เหลือจะมาถึงเมื่อไร แค่พวกเราสองคนทะลวงค่ายกลแบบนี้ออกไปไม่ได้” เสิ่นหนานชีคว้าโอกาสหายใจ พยายามฟื้นฟูพลังกลับมาจำนวนหนึ่ง

“แค่พวกเราสองคนเท่านั้น” เว่ยเหยี่ยนตอบ “ไม่มีคนอื่นแล้ว”

“อะไรนะ”

“พวกเขาตามไม่ทัน ข้าจึงมาคนเดียวมันเสียเลย”

เสิ่นหนานชีสูดหายใจลึก “เช่นนั้นเจ้าเรียกคนมาตอนนี้ พวกเราร่วมมือกัน ป้องกันได้ช่วงระยะหนึ่ง”

“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ มารชั่วพวกนี้คิดจะล้อมตีกองหนุน รอต่อไปไม่ได้แล้ว คนพวกนี้ทำเรื่องให้ซับซ้อนขนาดนี้จะต้องวางแผนการใหญ่แน่ๆ กองทัพประจำเมืองหากสูญเสียสาหัส เมืองเฟิงหลินเกรงว่าจะมีอันตราย” เว่ยเหยี่ยนเฉียบขาดมาก ถือดาบหมุนตัว “เจ้ากับข้าร่วมมือกัน พวกเราสองคนยังมีโอกาสที่จะฝ่าทะลวงไป”

“แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร” เสิ่นหนานชีถามอย่างเดือดดาล

เว่ยเหยี่ยนหันกลับไปปรายตามอง เรียกกระบี่มากลางอากาศสี่เล่ม แล้วโยนไปยังข้างกายลูกศิษย์สำนักเต๋าที่บาดเจ็บสาหัสทั้งสี่คนอย่างแม่นยำ

เคร้ง!

ลูกศิษย์สำนักเต๋าทั้งสี่คนก็เด็ดเดี่ยวนัก ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างพาดกระบี่ไว้ที่คอ

พวกเขารอมานานแล้ว และมองเสิ่นหนานชียืนหยัดเพียงลำพังมานานมากแล้วเช่นกัน

คำพูดของเว่ยเหยี่ยนก็ไม่ปกปิดแม้แต่น้อย บอกพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาไม่มีหวังแล้ว

ไม่เป็นตัวถ่วงเสิ่นหนานชีคือจุดจบที่ดีที่สุด

“อย่า!”

เสิ่นหนานชีพุ่งตัวไปข้างหน้าคิดจะชิงกระบี่กลับมา แต่กลับถูกเว่ยเหยี่ยนคว้าตัวเอาไว้

ร่างกายที่อ่อนล้าจะไปผ่านการขัดขวางของเว่ยเหยี่ยนได้อย่างไร

มองศิษย์น้องชายหญิงทั้งสี่ปาดคอต่อหน้าตัวเองล้มลงตาปริบๆ ดวงตาเสิ่นหนานชีแดงก่ำ “เว่ยเหยี่ยน! เจ้ามาช่วยคนหรือมาฆ่าคน”

เขาเหมือนเห็นภาพในคืนนั้นอีกครั้ง

คืนที่เป็นสีเลือดคืนนั้น

ตอนนั้นเขากับเว่ยเหยี่ยนก็อยู่ที่นั่น

และเป็นเว่ยเหยี่ยนที่ตัดสินใจเช่นนั้น

คืนนั้น สหายสนิทของเขาและเว่ยเหยี่ยนก็ตายอย่างน่าสังเวชต่อหน้าพวกเขา ถูกเผากลายเป็นเถ้าธุลี

ไม่เหลือซาก

“ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้แล้วจะเสียเวลาไปทำไม” เว่ยเหยี่ยนหมุนตัวอย่างเย็นชา “อยากแก้แค้นให้พวกเขาก็ตามข้ามา”

“เว่ยเหยี่ยน!” เสียงของเสิ่นหนานชีจะบอกว่าเป็นคำรามอย่างโกรธแค้น มิสู้บอกว่าเป็นโหยหวนร่ำไห้

“เจ้ายังเหลือแรงนี้อยู่มิสู้ฆ่ามารชั่วให้ได้มากสักหน่อย พวกเขาจะได้ตายตาหลับ” เว่ยเหยี่ยนพลิกมือถือดาบวายุเหมันต์ ฟันต้นไม้ออกไปดาบหนึ่ง

วิเคราะห์วงปีครู่หนึ่ง ก็มุ่งหน้าตรงไป

“ค่ายกลหลอกตาของพวกเราได้ แต่ไม่สามารถหลอกต้นไม้ได้ เพราะต้นไม่ไม่มีตา มีเพียงสัญชาตญาณของชีวิตเท่านั้น”

เสิ่นหนานชีน้ำตาริน ตามอยู่ข้างหลังไม่พูดไม่จา

ใจเขาเองก็รู้ดีว่า ศิษย์น้องชายหญิงเลือกที่จะฆ่าตัวตายก็ถือเป็นการตัดสินใจอย่างหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็หลีกเลี่ยงกับการประสบพบเจอที่เจ็บปวดยิ่งกว่า แต่ในด้านความรู้สึก เขาไม่อาจรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้

เขาพยายามไปนานขนาดนั้น ยืนหยัดไปนานขนาดนั้น แต่กลับช่วยใครไม่ได้เลย

ไม่ได้เลยสักคนเดียว

เขาแทบจะเป็นบ้า

ตลอดทางมา พวกมารนอกรีตส่งการลอบโจมตีขนาดใหญ่มาสองกลุ่ม แต่ก็ถูกเว่ยเหยี่ยนและเสิ่นหนานชีที่อยู่ในสภาวะคล้ายปีศาจคลั่งสังหารจนล่าถอย

ตลอดทางที่เดินลงมาที่ตีนเขา ยอดฝีมือที่เว่ยเหยี่ยนคาดการณ์ไว้ก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย

ตำบลถังเส่ออยู่ทางตะวันตก เสิ่นหนานชีที่เลื่อนลอยมุ่งหน้าไปทางตะวันตก

“ไปทางใต้” เว่ยเหยี่ยนบอก

เสิ่นหนานชีเปลี่ยนทิศทาง ไม่ถามอะไรทั้งนั้น

แต่เว่ยเหยี่ยนก็ยังอธิบาย “เส้นทางที่มาช่วยเมื่อครู่เจอกับลูกศิษย์สำนักเต๋าที่มุ่งหน้ามาช่วยเหมือนกันกลุ่มหนึ่ง พวกเขายังไม่ปรากฏตัวขึ้น คงจะติดกับอยู่ที่ไหนสักแห่ง พวกเราต้องไปดูสักหน่อย”

เสิ่นหนานชีหันกลับมามอง ในดวงตาค่อยๆ ดูมีชีวิตขึ้นมา แต่กลับเป็นความโกรธแค้น “เจ้าบอกว่าไม่มีใครมาช่วยแล้วไม่ใช่หรือ”

“ไม่ทัน” เว่ยเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “คอยอยู่ที่นั่นเสียเลือดไปช้าๆ เจ้าจะตาย และข้าเองก็ไม่แน่ว่าจะรอด”

เขาเอ่ยเสริมขึ้นว่า “อีกทั้งเจ้าดูสิ กลุ่มคนที่มาช่วยกลุ่มนี้ก็ติดกับแล้ว”

“เจ้าก็ตัดสินใจแบบนี้ตลอด” เสิ่นหนานชีกัดฟัน “หวังว่าวันหนึ่ง เมื่อเจ้าถูกจัดให้อยู่ในตัวเลือกนั้น เจ้าจะยอมรับมันอย่างเต็มใจ!”

เว่ยเหยี่ยนเพียงแค่พุ่งไปข้างหน้า ทิ้งแสงอาทิตย์ไว้ข้างหลัง

“ไม่ต้องอวยพรข้า ตอนข้าอายุได้ห้าปีก็เคยถูกเลือกแบบนี้เหมือนกัน”

………………………………………………………