“ฝ่าบาท ไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้คนฝ่ายเสนาบดีจำนวนไม่น้อย รวมถึงลูกศิษย์ที่เสนาบดีภาคภูมิใจพากันก้าวออกมาแล้ว ต่างแสดงออกว่าตนคัดค้าน ตอนนี้เสนาบดีเป็นผู้นำฝ่ายพวกเขาที่มีอำนาจที่สุด หากท่านเสนาบดีไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นพวกเขาจะไม่กลายเป็นต้นไม้ล้มฝูงลิงแตกกระเจิงอย่างนั้นหรือ
อีกอย่างองค์ชายใหญ่จะทำเช่นไร
ซือถูจ้าวไม่คิดเกษียณกลับบ้านเกิดจริงๆ เขาจะปล่อยวางทุกอย่างที่ต่อสู้มาตลอดหลายปีในการเป็นขุนนางลงได้อย่างไรเล่า
ยิ่งในยามที่ลูกชายทั้งหลายของเขายังไม่มีอำนาจอันใด ไม่อาจรับรองคนรุ่นหลังเขาว่าจะมีเกียรติยศเฟื่องฟู
ซือถูเฟิงที่มีกำลังอำนาจอย่างแท้จริงเพียงผู้เดียวก็เกิดเรื่องไปแล้ว ส่วนลูกชายคนอื่นๆ ที่มีตำแหน่งสูงที่สุด ก็เป็นได้แค่ขุนนางระดับห้าเท่านั้น หากเสนาบดีอย่างเขาลาเกษียณกลับบ้านเกิด เช่นนั้นต่อไปตระกูลซือถูที่เป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงคงจะต้องล้มพังไม่เป็นท่า
เขาจงใจพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ฮ่องเต้รับรู้ว่าเขาไม่พอใจแล้ว ออกปากรั้งเขาไว้ อย่างไรเสียการที่เสนาบดีลาออกอย่างกะทันหันถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซือถูจ้าวมีข้อพิพาทกับเยี่ยเม่ยเท่านั้น ไม่ใช่ยามที่เขากระทำความผิดมหันต์
หากฮ่องเต้ทรงเห็นด้วย ขุนนางทั้งหลายรู้สึกหนาวเหน็บหัวใจได้ไม่ยากนัก
ไม่คิดเลยว่า
ระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ ยามนี้ฮ่องเต้กลับเห็นด้วยว่า “ในเมื่อเสนาบดีก็มีความเห็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ฝืนบังคับ เสนาบดีเกษียณกลับบ้านเกิดเถิด ข้าจะเตรียมเงินเบี้ยหวัดให้เจ้าอย่างพร้อมพรัก เสนาบดีจะได้เกษียณกลับบ้านเกิดอย่างสมเกียรติ”
เสนาบดี “…”
เหล่าขุนนาง “…” อะไรกัน
ฝ่าบาททรงเอาจริงใช่หรือไม่ ท่านจะทำกับเสนาบดีเช่นนี้จริงหรือ ใต้เท้าเสนาบดีรับใช้พระองค์มานานหลายปี ทรงไร้หัวใจได้ถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ
มุมปากของจงซานกลับยกหยักขึ้นเล็กน้อย
ฮ่องเต้เป็นคนใจดำ เขาทำงานมาสี่ปีก็ดูออกแล้ว ที่น่าขันก็คือซือถูจ้าวมองสถานการณ์เวลานี้ไม่ออก ดูไม่ออกว่าฮ่องเต้ผิดหวังในตัวซือถูจ้าว อีกทั้งยังรู้สึกว่าซือถูจ้าวหมดประโยชน์แล้ว ไม่คำนึงถึงผู้เป็นนายและไม่คำนึงถึงบ้านเมือง คนประเภทนี้สำหรับฮ่องเต้ก็ไม่มีคุณค่าใดๆ ทั้งสิ้น
อีกทั้งยังยึดตำแหน่งสำคัญอีกทำให้คนอื่นที่ฮ่องเต้เห็นความสำคัญไม่อาจขึ้นดำรงตำแหน่งได้
ดังนั้นวันนี้ฮ่องเต้มีความคิดให้ซือถูจ้าวออกจากราชการจริงๆ ที่น่าขันคือซือถูจ้าวมองไม่ออกเลย ฮ่องเต้ไม่พอใจเขา หาใช่ตำหนิเขา ถึงตรัสคำพูดประโยคนี้ออกมา
สุดท้ายฮ่องเต้ก็ผลักเรือไปตามน้ำแล้ว
ถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนนี้
ฮ่องเต้ตรัส “เสนาบดีช่วยข้าแบ่งเบาภาระหลายปี ต่อให้ออกจากราชการแล้วก็ยังเป็นขุนนางรักของข้า เจ้าวางใจกลับบ้านเกิด มีเหอซั่วอ๋อง ขุนนางจง ยังมีใต้เท้าทุกท่านอยู่ในราชสำนัก ราชสำนักเป่ยเฉินต้องสงบสุขอย่างแน่นอน”
ซือถูจ้าว “…” ไม่เอ่ยถึงเยี่ยเม่ยกับจงซานยังพอทำเนา ทันทีที่เอ่ยถึงสองคนนี้ขึ้นมา ซือถูจ้าวแทบกระอักเลือดแล้ว
สรุปแล้วฮ่องเต้เอาจริงใช่หรือไม่
คนที่เขาไม่อาจวางใจได้มากที่สุดก็คือสองคนนี้ ฮ่องเต้กลับบอกว่าเมื่อมีพวกเขาอยู่ อนาคตของเป่ยเฉินก็ไม่ต้องกังวลแล้ว
ซือถูจ้าวนิ่งเงียบไม่พูดจา
ยามนี้จงซานกล่าวขึ้นถูกสถานการณ์นัก “อย่างไร ท่านเสนาบดีทำไมไม่พูดอะไรเล่า หรือว่าเมื่อครู่ที่ท่านขอเกษียณกลับบ้านเกิด ความจริงแล้วแค่ข่มขู่เราเท่านั้น”
ยากนักที่จะมีโอกาสขับไล่เสนาบดีออกจากราชสำนักโดยไม่อาจกลับมาอีก จงซานย่อมไม่ยอมพลาดโอกาส ทั้งไม่มีทางให้โอกาสซือถูจ้าวเปลี่ยนใจได้
ซือถูจ้าวหน้าเปลี่ยนสี
คำพูดนี้ของจงซานสกัดทางถอยไว้หมดสิ้น หากเขาเปลี่ยนใจตอนนี้ บอกว่าไม่ลาเกษียณกลับบ้านแล้ว นั่นก็ไม่ทำกับยืนยันคำพูดของจงซานที่ว่าเขาขอออกจากราชสำนักเป็นแค่การข่มขู่ฮ่องเต้เท่านั้นแล้วหรือ
ดังนั้น ตอนนี้ต่อให้เขารู้สึกสำนึกเสียใจเป็นร้อยหน
ก็ได้แต่ยืนกรานตอบกลับไปว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฮ่องเต้พยักหน้า ถอนสายพระเนตรกลับ
ส่วนซือถูจ้าวในยามนี้ไม่ใช่ขุนนางในราชสำนักอีกแล้วได้แต่ลุกขึ้น กล่าวว่า “กระหม่อมทูลลา”
คราวนี้ เหล่าขุนนางฝ่ายซือถูจ้าวพากันเอ่ยว่า “ท่านเสนาบดีใคร่ครวญให้ดีก่อน”
ครั้นกล่าวไปแล้ว ค่อยตระหนักได้ว่าดูเหมือนไม่ใช่ท่านเสนาบดีต้องการจากไปเท่านั้น ฝ่าบาทเองก็ไม่คิดเหนี่ยวรั้งคน ดังนั้นพวกเขารีบคุกเข่าลง ขอร้อง “ฝ่าบาททรงใคร่ครวญด้วยเถิด”
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ ตรัสว่า “ข้ากับเสนาบดีตัดสินใจแล้ว ขุนนางทั้งหลายไม่ต้องขอร้องอีก ในเมื่อท่านเสนบดีจากไปแล้ว สมควรหาคนมารับตำแหน่งแทน ทุกท่านมีความเห็นว่าผู้ใดเหมาะสม”
ในยามนี้ เยี่ยเม่ยก้าวออกมาเสนอว่า “เสด็จพ่อ ลูกเห็นว่าใต้เท้าจงซานเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง”
เมื่อนางเสนอออกมา ขุนนางฝั่งจงซานย่อมพากันก้าวออกมา สนับสนุน “ฝ่าบาท กระหม่อมก็เห็นว่าใต้เท้าจงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้”
จงซานและซือถูจ้าว ตอนนี้คนหนึ่งเป็นต้าซือคง อีกคนหนึ่งคือเสนาบดี ล้วนเป็นหนึ่งในสามขุนนางใหญ่ แต่หากพูดตามหลักแล้ว เสนาบดีถึงเป็นหัวหน้าของสามขุนนางใหญ่ ดังนั้นจงซานเป็นเสนาบดีก็นับว่าเป็นการเลื่อนตำแหน่งเล็กน้อย
ฮ่องเต้ได้ฟัง ใคร่ครวญชั่วครู่หนึ่งทรงสรุปว่า “ขุนนางทั้งหลายกล่าวไม่ผิด ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับขุนนางจงอีกแล้ว”
ไม่ว่าอย่างไรในพระทัยฮ่องเต้ ถึงจงซานจะเป็นคนฉลาดล้ำ พระองค์ยังคาดเดาไม่ได้ แต่ว่าคนผู้นี้กลัวตายก็เท่ากับว่าเป็นจุดอ่อน คนประเภทนี้ตามปกติแล้วล้วนขวัญอ่อน ไม่กล้าเอาชีวิตเข้าเดิมพัน ย่อมไม่กล้ามีจิตใจคิดไม่ซื่อ
ดังนั้นฮ่องเต้เห็นว่าเขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
ซือถูจ้าวเพิ่งถอดยศขุนนาง เดินไปถึงหน้าประตูได้ยินข่าวร้ายนี้ รับรู้ว่าตัวเองเพิ่งจากไป ถัดมาศัตรูทางการเมืองก็ขึ้นดำรงตำแหน่งตน ชั่วขณะนั้นไม่อาจรับทนรับได้ กระอักเลือดออกมาแล้ว
คนหน้าประตูเห็นเข้า รีบเอ่ยว่า “ท่านเสนาบดี ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ซือถูจ้าวโบกมือ กลั้นอาการอยากกระอักเลือดเอาไว้ เอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นว่า จู่ๆ ซือถูจ้าวก็กระอักเลือดออกมาที่หน้าประตู ยามนี้ทรงรีบลุกขึ้นเดินลงจากไปบัลลังก์ แสดงความเป็นห่วงซือถูจ้าว ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รับใช้ในราชสำนักมาหลายปี ถึงแม้ในสายพระเนตรตอนนี้ ซือถูจ้าวไม่มีประโยชน์แล้ว แต่ก็ยังมีน้ำพระทัยต่อเขาไม่น้อย
ฮ่องเต้รีบตรัส “ขุนนางซือถู ร่างกายเจ้าป่วยหนักถึงขั้นนี้เชียว”
ซือถูจ้าวเห็นฮ่องเต้ลงจากบัลลังก์ก็พิสูจน์ว่าตัวเองยังได้รับการใส่ใจอยู่ ตอนนั้นก็หลงคิดว่า เขายังมีความหวังที่จะสำนึกเสียใจ มีโอกาสมากที่กลับไปดำรงตำแหน่งเสนาบดีได้
ดังนั้นรีบเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่อยากจากพระองค์ไปเลย”
เดิมคิดว่า ฮ่องเต้ฟังแล้วจะถอนรับสั่งคืน ผลคือฮ่องเต้หาได้เขาใจเขาไม่ ทรงตรัสว่า “ขุนนางรัก แต่ว่าเจ้าถึงขั้นกระอักเลือดแล้ว ร่างกายของเจ้าไม่เหมาะกับการตรากตรำทำงานอีก ต่อให้ไม่อยากจากข้าก็คงได้แต่ต้องจากไปแล้ว”