บทที่ 143 ดาร์ก เดม่อนเก็บเกี่ยวโดยไม่หว่านเมล็ด

จอมมารแค่อยากเป็นคนดี [反派少爷只想过佛系生活]

บทที่ 143 ดาร์ก เดม่อนเก็บเกี่ยวโดยไม่หว่านเมล็ด
บทที่ 143 ดาร์ก เดม่อนเก็บเกี่ยวโดยไม่หว่านเมล็ด

“เธอเดาถูกแล้ว” เมื่อเผชิญกับคำถามของดาร์ก อาจารย์ใหญ่อาร์เต้พยักหน้าเล็กน้อยและพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “วีรสตรีแห่งศึกสนธยา แคลร์ เคทผู้มีฉายา ‘นักปราชญ์แห่งอสูร’ จะมายังเซนต์แมเรียนในสัปดาห์หน้า!”

หลังจากประกาศอย่างเป็นทางการจากอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ ห้องเรียนก็เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่

แม้ว่าแคลร์จะไม่โด่งดังเท่าผู้กล้าและวัลคีรี แต่เนื่องจากเธอมีฉายาว่า ‘นักปราชญ์’ เธอจึงมีชื่อเสียงพอตัว

ยิ่งไปกว่านั้น บนกำแพงเกียรติยศของบ้านนักปราชญ์ยังมีรูปเหมือนของนักปราชญ์แห่งอสูรด้วย!

นักเรียนที่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากที่สุดคือ นักเรียนของบ้านนักปราชญ์

นักเรียนเหล่านั้นพากันพูดคุย และตั้งตารอวีรสตรีจากบ้านของพวกเขาเอง

ทว่านักเรียนของบ้านคนเขลากลับกระสับกระส่ายเล็กน้อย

จู่ ๆ เด็กสาวจากบ้านคนเขลาก็ยกมือขึ้นแล้วถามว่า “ขออนุญาตค่ะ หนูขอถามได้ไหมว่าคุณแคลร์ เคทจะมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านของบ้านคนเขลาด้วยไหมคะ?”

แต่ละบ้านจะมีหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้าน

แต่หลังจากการลาออกของศาสตราจารย์ดีดี้ ตำแหน่งหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านของบ้านคนเขลาก็ยังคงว่าง และนักเรียนของบ้านคนเขลาก็ถูกทิ้งให้ไม่มีหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้าน

ดังนั้นพอมีศาสตราจารย์คนใหม่ พวกเขาก็จินตนาการไปต่าง ๆ นานา

อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ตอบว่า “แคลร์จะทำหน้าที่เป็นศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ชั่วคราวจนกว่าจะจบเทอม อย่างไรก็ตาม เรื่องว่าเธอจะรับหน้าที่ต่อไป หรือจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านของบ้านคนเขลายังคงต้องใช้เวลาในการพิจารณา…”

หลังจากได้ยินคำตอบของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ ดาร์กก็นั่งลง

ในฐานะเพื่อนร่วมสถาบันคนหนึ่งของวัลคีรี อัลเวตต์ แคลร์ เคทจึงยังคงได้ติดต่ออัลเวตต์หลังสงคราม

แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เธอเคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ดัชเชสชั่วคราวเป็นเวลานาน!

‘นักปราชญ์อสูร’ ผู้นี้เป็นไปตามที่อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กล่าว อ่อนโยน เงียบ เรียนเก่ง และเป็นวีรสตรีที่น่านับถือ

ข้อเสียอย่างเดียวคือเธอชอบทำให้คนเป็นสัตว์!

ดาร์กหลับตาและฟังการสนทนาที่ตื่นเต้นของนักเรียน เขาเพียงแค่คิดว่าเด็กเหล่านี้ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ

พวกเขาสามารถกลายเป็นหมาแมวได้เพียงเพราะทำให้แคลร์โกรธ หรืออาจกลายเป็นหมาแมวเพราะทำให้แคลร์มีความสุข และพวกเขาจะได้รู้ว่าเธอไม่ใช่นักปราชญ์อย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้เลยสักนิด!

โดยภาพรวม นอกจากดาร์กที่ไม่ค่อยประทับใจกับแคลร์แล้ว นักเรียนที่เหลือต่างก็มีความสุขมาก

และหลังจากจบคาบนี้ ข่าวที่ว่า ‘นักปราชญ์แห่งอสูร’ จะมาเป็นศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ชั่วคราว ก็แพร่กระจายไปพร้อมกับการสนทนาในหมู่นักเรียนชั้นปีหนึ่ง

และทั้งสถาบันก็รู้เรื่องนี้ในเวลาไม่นาน

บางคนที่ไม่ค่อยสนใจเหล่าวีรบุรุษในอดีต ได้เริ่มตรวจสอบข้อมูลทีละคน

ท้ายที่สุด แคลร์ เคทถือว่าเป็นวีรสตรีในสนามรบอย่างแท้จริง

ใครจะไม่อยากให้วีรสตรีมาเป็นศาสตราจารย์ของพวกเขา?

ในคืนนั้น

ขณะที่ดาร์กกำลังทำการบ้านในห้องสมุด ไดแอนนาผู้ขี้สงสัยก็ถามเสียงต่ำ “ดาร์ก นายรู้จักศาสตราจารย์คนใหม่ของวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์เหรอ?”

ดาร์กพยักหน้าเล็กน้อยและตอบเบา ๆ “ฉันเคยใช้เวลากับเธอช่วงหนึ่งน่ะ”

ไดแอนนารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “แล้วคุณแคลร์ เคทเป็นคนแบบไหนเหรอ? เธอจะเล่าเรื่องวีรกรรมที่กล้าหาญอย่างที่อาจารย์อาร์เต้เล่าให้เราฟังไหม? เธอจะให้การบ้านเยอะไหม? เธอชอบหมีไหม?”

ดาร์กมองดูดวงตาที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของไดแอนนา ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจแล้วพูดว่า “ฉันควรพูดยังไงดี เธอเป็นคนที่ทำตัวสมกับชื่อของเธอ ฉันคิดว่าไดแอนนาจะต้องใช้ภาษาเดียวกับเธออย่างแน่นอน”

ไดแอนนาตบหน้าอกของเธอและถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เยี่ยมไปเลย”

นักเรียนมีทั้งความคาดหวังและความกังวลเกี่ยวกับอาจารย์คนใหม่

แต่ความคาดหวังนั้นมากกว่าความกังวลอย่างแน่นอน

ดาร์กได้ยินว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งของบ้านนักปราชญ์ และบ้านคนเขลากำลังวางแผนจัดงานเซอร์ไพรส์ให้เธออยู่

แต่ข่าวดีก็คือว่าแคลร์ เคทจะรับหน้าที่ที่เซนต์แมเรียนจนถึงจบเทอมเท่านั้น และคาดว่าเธอจะมาทำหน้าที่เพียงแค่ชั่วคราว

มีโอกาสที่อาจารย์ใหญ่จะหาศาสตราจารย์ที่เหมาะสมกว่านี้ในช่วงเวลานี้

หลังจากกลับมาที่หอพัก ดาร์กก็จัดการดึง [ราคะ] หยดสุดท้ายออกมา

จนถึงตอนนี้

[ราคะ] ที่เก็บไว้ในต้นไม้หนอนมีทั้งหมดห้าหน่วย และ [อัตตา] มีหนึ่งหน่วย

ดาร์กมีแผนสองแผนสำหรับตอนนี้

หนึ่งคือใช้ [ผลแห่งราคะ] สร้างการ์ดวิญญาณเพิ่มอีกสองใบในเดือนหน้า

อีกหนึ่งแผนคือการหาวิธีสะสมต่อไป และหลังจากมี [ราคะ] ยี่สิบหน่วยแล้ว เขาจะสามารถสร้าง [ราคะ IV] ได้!

แน่นอนว่า อย่างแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า

ถึงอย่างนั้น เขากลับคาดหวังกับอย่างหลังมากกว่า อย่างไรก็ตาม ดาร์กไม่แน่ใจว่า [ราคะ] ยี่สิบหน่วยนั้นจะเพียงพอหรือไม่

แต่ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง เขายังมีเวลาให้ครุ่นคิดอีกครึ่งเดือน

วันต่อมาเป็นวันศุกร์

หลังจากคาบการประลองในช่วงเช้าจบลง เหล่านักเรียนต่างตั้งหน้าตั้งตารอที่จะไปถนนนักเดินทาง

ไม่มีการบ้านที่เกี่ยวข้องกับถนนนักเดินทางในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ราวกับว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งไม่ได้สนุกมาเป็นเวลานาน แถมยังได้รับแรงกดดันจากการบ้านมากในช่วงนี้ ทำให้ทันทีที่ถึงเวลาเที่ยงวัน เหล่านักเรียนก็พากันหลั่งไหลเข้าไปที่ถนนนักเดินทาง

ดาร์กรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะออกจากหอพักและเข้าสู่ถนนนักเดินทางในเวลาบ่าย

เขาเดินตรงไปที่ร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้ ทักทายเจ้าแมวน้อยก่อน แล้วจึงถามผู้ช่วยร้านว่า “มิสแคท การพัฒนาหญ้ากระต่ายมีความคืบหน้าบ้างไหมครับ?”

ผู้ช่วยร้านค้าตื่นเต้นมากที่มีคนคิดถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ของเธอ “มันก้าวหน้าไปได้ด้วยดี เราน่าจะได้ผลลัพธ์ภายในสองเดือน เดม่อน เธอคิดว่าหญ้ากระต่ายจะขายดีไหม?”

ดาร์กยิ้ม “มันควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะกระต่ายน่ารักมากครับ”

จากนั้นเขาก็เดินไปรอบ ๆ ห้องลับอีกครั้ง แต่ไม่ได้ซื้อหญ้าแมวตัวใหม่กลับไป

ในช่วงสุดสัปดาห์

ดาร์กใช้เวลาศึกษาภาษาเวทมนตร์มากขึ้น

ความก้าวหน้าของเขาไม่ได้ช้า และเขาก็ค่อย ๆ ฝึกฝนความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาเวทมนตร์

คำแนะนำของรุ่นพี่แพนดอร่าเหมือนกับการเปิดหน้าต่างให้ดาร์ก มันทำให้เขามองเห็นภาพในห้องได้ชัดเจนขึ้น

และในขณะที่เขาพยายามอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้ เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็เข้าไปในทางลับอีกครั้ง ก่อนจะลงมือผจญภัยเพื่อค้นหาขุมทรัพย์

ในทางกลับกัน งานวิจัยของเอ็มม่า มอร์ติสเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังก็มาถึงจุดวิกฤตแล้วเช่นกัน

ในคืนวันอาทิตย์ เอ็มม่าเดินเข้ามาหาดาร์กเพื่อแบ่งปันผลการวิจัยของเธอ

ดาร์กรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะเขาไม่มีเวลาศึกษาจิตรกรรมฝาผนังเลย…

แต่เอ็มม่าไม่ได้บ่นเรื่องนี้

เธอได้อ่านวรรณกรรมมากมาย ถามเพื่อนร่วมบ้านที่เป็นรุ่นพี่ สืบหาข้อมูลและวิเคราะห์อย่างละเอียดตามความคิดของเธอเอง ก่อนที่เธอจะได้ผลลัพธ์ในที่สุด

ดาร์กเข้าไปนั่งข้างใน โดยมีเอ็มม่านั่งอยู่ข้าง ๆ

เมื่อเอ็มม่าแบ่งปันผลลัพธ์ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปาก

เด็กหญิงกางสมุดจดและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ถ้าฉันวิเคราะห์ไม่ผิด ภาพจิตรกรรมฝาผนังชุดนี้น่าจะมาจากยุคโบราณสี่ยุคก่อน สมัยนั้นยังมีเทพอยู่มากมาย บ้างอาศัยอยู่บนท้องฟ้า บ้างอยู่ปะปนกับฝูงชน…”