ตอนที่ 58 เป็นลมแดด / ตอนที่ 59 ที่แท้ไม่ใช่ความฝัน

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 58 เป็นลมแดด 

 

 

สายตาของชุยหังเลื่อนกลับไปมองทางคนที่พึ่งจะเป็นลมแดดเมื่อครู่อีกครั้ง เหล่าบรรดานักศึกษาทางฝั่งนั้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของครูฝึกได้ช่วยกันย้ายนักศึกษาที่เป็นลมแดดสองสามคนนั้นไปไว้ในที่ๆ เย็นสดชื่นและอากาศถ่ายเท จากนั้นก็ให้ทุกคนแยกย้ายแล้ว 

 

 

ทั้งหมดเป็นผู้หญิง ยังไม่มีผู้ชายคนไหนล้มลงเลยสักคน 

 

 

ห้องอื่นๆ ก็มีแล้วจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน เขามองไปทางนั้นอย่างอยากรู้ว่าอาการเป็นลมแดดนี้มันเป็นยังไงกันแน่ 

 

 

คนที่นี่ส่วนใหญ่จะต้องไม่ได้ล้มลงไปเพียงเพราะเหตุผลที่ว่าอากาศร้อนเกินไปอย่างแน่นอน 

 

 

เวลาสิบนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนพากันลุกขึ้นยืนอย่างอืดอาดยืดยาด 

 

 

แสงแดดในยามบ่ายถึงจะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์แพร่ความร้อนออกมาได้อย่างเต็มที่ 

 

 

ชุยหังทอดถอนใจด้วยความหดหู่ใจ แสงอาทิตย์นี้หนาสาดส่องลงมาที่ทุกคนอย่างเต็มกำลังราวกับไม่ต้องการเงินอะไรแบบนั้น 

 

 

ของฟรีก็ไม่ควรจะสิ้นเปลืองขนาดนี้ไหม 

 

 

หลังเสียงคำสั่งของหลูจื้อ ทุกคนก็ยืนท่าระเบียบอย่างเป็นระเบียบ 

 

 

แต่ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้มันถึงได้รู้สึกเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนหน้านี้ 

 

 

อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ได้เห็นคนเป็นลมแดดเพราะฉะนั้นในใจก็เลยรู้สึกกดดันขึ้นมา 

 

 

ผ่านไปได้พักหนึ่งทุกคนก็ได้ยินเสียง ‘ตุ๊บ’ ดังขึ้น มีคนล้มลงไปแล้ว 

 

 

เสียงนี้ดังขึ้นไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก 

 

 

“ครูฝึกครับ โจวเฉวียนเป็นลมแดดแล้วครับ” 

 

 

โจวเฉวียน? หัวหน้าห้องชั่วคราวของพวกเขา? 

 

 

มิน่าเมื่อครู่นี้เขาถึงถามว่าคนที่เป็นลมแดดจะส่งผลกระทบต่อการคัดเลือกเข้าร่วมขบวนกองครั้งสุดท้ายหรือไม่ ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาฝืนไม่ไหวแล้ว 

 

 

ชุยหังไม่ได้หันหลังกลับไปมองแต่อย่างใด เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนไม่ชอบเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่มันคึกครื้นแบบนี้อยู่แล้ว อีกอย่างรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นจะต้องหันไปมองคนอื่นที่ตกอยู่ในสภาพจนตรอกแบบนั้น 

 

 

อีกอย่างเขากังวลว่าถ้าตัวเองดูเสร็จแล้วจะเกิดความเครียดแล้วเป็นลมแดดตามไปอีกคน 

 

 

ได้ยินเพียงแค่เสียงของหลูจื้อสั่งให้คนพาโจวเฉวียนย้ายไปไว้ในที่ๆ เย็นสบายและอากาศถ่ายเท แล้วให้เพื่อนแค่หนึ่งคนอยู่ดูแลเขาตรงนั้น 

 

 

ชุยหังก็พูดไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ตนรู้สึกแค่ว่าจู่ๆ ในหัวมันก็ว่างเปล่า แล้วเบื้องหน้าก็มืดดำสนิท 

 

 

เขานึกว่าเป็นเพราะแสงอาทิตย์มันแรงเกินไปจนส่งผลให้ประสาทสัมผัสการมองเห็นเกิดปัญหาขึ้น 

 

 

แต่ว่าวินาทีที่เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกพร่าเบลอนั้น วินาทีนั้นเขาก็คิดได้เพียงแค่เรื่องเดียวคือ แย่แล้ว เขาก็เป็นลมแดดแล้วเหมือนกัน  

 

 

ตอนที่ชุยหังล้มลงไปนั้นเพื่อนทุกคนก็มองเห็น 

 

 

เพราะเขายืนอยู่แถวด้านหน้าสุดซึ่งมันสะดุดตามาก 

 

 

ขณะที่เหลียงจื้อที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังจะพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั้น หลูจื้อก็ก้าวฉับๆ เข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้น: “พวกนายทุกคนยืนให้ดี ถ้าใครรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายให้จัดการตัวเองให้ผ่อนคลายๆ” 

 

 

จากนั้นเขาก็ย่อตัวลง คว้าหมับเข้าที่ช่วงเอวแล้วอุ้มชุยหังขึ้น โดยที่เขาเลือกอุ้มแบบท่าอุ้มเจ้าหญิง อุ้มชุยหังเดินมุ่งไปทางที่มีร่มเงาและอากาศเย็นสบาย 

 

 

วินาทีนั้นชุยหังไม่มีรับรู้อะไรแล้ว รู้สึกทรมานไปทั่วทั้งร่างกาย มีความรู้สึกเพียงน้อยนิดว่าเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในอ้อมแขนที่แข็งแรง แล้วค่อยๆ เดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ 

 

 

ต่อมาก็มีสายลมเย็นๆ พัดเข้ามากระทบ 

 

 

หลูจื้อไม่รอช้า หลังจากที่วางตัวชุยหังให้นอนราบลงบนพื้นหญ้า เขาก็ใช้มือกดลงกลางลำตัวของชุยหังอย่างแรงในทันที 

 

 

เพราะมันปวดมากจึงทำให้ชุยหังลืมตาพรวดขึ้นมา จากนั้นก็มองเห็นใบหน้าของหลูจื้อที่อยู่ในระยะใกล้ 

 

 

แสงแดดสาดส่องอยู่เหนือหัว ส่องทะลุตามใบไม้ลงมาตกกระทบตามร่างกายของหลูจื้อ ทำให้ใบหน้าของเขาถูกเคลือบไว้ด้วยแสงสว่างที่ดูอบอุ่น 

 

 

ชุยหังหรี่ตามองใบหน้าของหลูจื้อ ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้ามันประทับลงในใจของชุยหังอย่างลึกซึ้ง 

 

 

ฤดูร้อนนั้น ภายใต้แสงแดดสาดส่อง ชุยหังที่นอนราบอยู่บนพื้นกับหลูจื้อที่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ตัวเขา ภาพใบหน้าของครูฝึกที่ถูกเคลือบไว้ด้วยแสงแดดที่อบอุ่น ภายในใจของชุยหังก็ได้ปลูกเมล็ดความหวังขึ้นมา 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 59 ที่แท้ไม่ใช่ความฝัน 

 

 

ชุยหังลืมตาฟื้นขึ้นภายใต้การช่วยเหลือเร่งด่วนอย่างป่าเถื่อนของหลูจื้อ แล้วมองไปทางหลูจื้อ 

 

 

“นายไม่เป็นไรใช่ไหม มองเห็นชัดไหมว่าฉันเป็นใคร” หลูจื้อถาม 

 

 

ภายในหัวของชุยหังเลือนลางไปหมด การเป็นลมแดดเมื่อครู่นี้มันช่างทรมานมากจริงๆ ทรมานเสียยิ่งกว่าเมารถอีก 

 

 

เขามองไปทางหลูจื้อที่ถูกแสงแดดส่องกระทบนั่งอยู่ข้างกายเขา แล้วพูดขึ้น: “รู้สิ นายก็คือครูฝึกที่เอาแต่คิดจะทรมานฉันให้ตายอย่างไม่คิดชีวิตคนนั้นไง” 

 

 

ที่จริงตอนนี้เขายังรู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่ได้สติดี แถมยังคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ด้วย จึงพูดสิ่งที่ใจคิดออกมาจนหมด 

 

 

หลังจากหลูจื้อได้ยินก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปบีบหน้าของเขาเบาๆ แล้วพูด: “ให้นายด่าฉันอีก ตอนนี้นายเป็นลมแดดอยู่ ฉันจะไม่จัดการนายเหมือนปกติ รอให้นายหายดีแล้วคอยดูว่าฉันจะจัดการกับนายยังไง” 

 

 

พูดจบก็ป้อนน้ำให้ชุยหังดื่ม 

 

 

ชุยหังที่อยู่ภายใต้การ ‘ดูแล’ ของหลูจื้อก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติขึ้นมา 

 

 

ตอนที่เขามองไปทางโจวเฉวียนที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเขาเท่าไหร่ถึงรู้สึกตื่นตัวและได้สติ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น  

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะก้าวตามรอยโจวเฉวียนมาติดๆ เป็นลมแดดไปอย่างสมภาคภูมิแล้ว 

 

 

แต่ว่ารู้สึกเหมือนเมื่อครู่นี้หลูจื้อจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาหรือเขาฝันไปเองหรอ 

 

 

เขาทอดสายตามองออกไปในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ขณะที่หลูจื้อกำลังควบคุมพวกนักศึกษาที่ยังคงยืนตัวตรงอยู่อย่างเดิมนั้น เขาก็รู้สึกใจฝ่อนิดหน่อย 

 

 

ถ้าหากตนกลับเข้าไปตอนนี้ เดาว่าผ่านไปไม่นานก็คงจะได้กลับมาอีกแน่ 

 

 

“โจวเฉวียน นายไม่เป็นไรใช่ไหม” ชุยหังกระซิบถามเสียงเบาเพราะกลัวว่าจะถูกคนอื่นสังเกตเห็นว่าเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว 

 

 

โจวเฉวียนพูดขึ้นโดยที่ไม่แม้แต่จะลืมตาตื่นขึ้นด้วยซ้ำ: “ตื่นตั้งนานแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาโอกาสแอบอู้แบบนี้ได้ ทำไมนายลุกขึ้นนั่งแล้วล่ะ” 

 

 

ชุยหังครุ่นคิด อันนี้ก็มีเหตุผล เพียงแต่ว่าตอนที่เขาลุกขึ้นนั่งอีกครั้งนั้นถูกหลูจื้อเห็นเข้าซะแล้ว 

 

 

จากนั้นหลูจื้อก็โยนคนพวกนั้นทิ้งไว้ตรงนั้นแล้วเดินกลับเข้ามา 

 

 

เมื่อเขามองดูท่าทางที่หลูจื้อเดินพุ่งมาทางตัวเอง ชุยหังยังรู้สึกแอบกลัวเลย 

 

 

แต่ว่าในเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาแล้วแถมยังถูกเห็นเข้าแล้วด้วย เขาย่อมไม่สามารถจะล้มกลับลงไปแกล้งตายได้อีกแล้ว 

 

 

เขาต้องยอมนับถือสมองนี้ของโจวเฉวียนอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆ ที่พึ่งคิดออกได้ไม่นาน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิมตรงนั้นเหมือนเดิม ไม่แม้แต่จะกระดุกกระดิก 

 

 

“ทำไม ตื่นแล้ว? แถมยังด่าคนอื่นแล้ว?” หลูจื้อนั่งยองๆ ลงพลางถามเขา 

 

 

เรื่องเมื่อครู่นี้คงจะไม่ใช่ความฝันจริงๆ สินะ  

 

 

ดูเหมือนคำพูดที่ตัวเองด่าเขาไปเมื่อครู่นี้มันจะเคยเกิดขึ้นจริงๆ แถมเขายังได้ยินมันแล้วด้วย 

 

 

เกรงว่าวันดีๆ ของเขามันจะกลับหัวลงอีกครั้งแล้ว 

 

 

เขาอยากจะพ่นคำพูดใหม่มาช่วยชีวิตตัวเองหลังจากดื่มเหล้า แต่มันก็ไม่ทันแล้ว เพราะเมื่อครู่นี้เขาเป็นลมแดดไม่ได้ดื่มเหล้า 

 

 

“ทำไมล่ะ โง่ไปแล้ว? ทำไมไม่พูดล่ะ” หลูจื้อถาม 

 

 

ชุยหังครุ่นคิด พลางยกมือขึ้นลูบหัวของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ: “ลายตา พะอืดพะอม” 

 

 

“มา ดื่มน้ำสักหน่อย” หลูจื้อพูดว่าโอบหัวของชุยหังขึ้นจากนั้นหยิบขวดน้ำที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา 

 

 

ชุยหังไม่ดื่มไม่ได้เพราะตัวเองพูดโกหก ในสถานการณ์นั้นก็ทำได้แค่แสดงมันต่อไป 

 

 

อึก อึก หลังดื่มน้ำลงไปกว่าครึ่งขวด หลูจื้อก็วางตัวชุยหังให้นอนราบลงอีกครั้งแล้วถามต่อ: “เป็นไงบ้าง ไหวหรือเปล่า” 

 

 

“เกือบแล้วล่ะครับ พักอีกเดี๋ยวคงจะดีขึ้น” ชุยหังพูด 

 

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นนายพักอีกหน่อยก็แล้วกัน” คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะฟังเหตุฟังผลถึงขนาดนี้ 

 

 

ชุยหังแอบดีอกดีใจแสดงว่าทักษะการแสดงของเขามันดีเกินไปใช่ไหม 

 

 

รู้แบบนี้เขาคงจะสอบเข้าคณะศิลปะการแสดงตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าในวันจบการศึกษาเขาอาจจะได้รับรางวัลราชาภาพยนตร์อะไรแบบนั้นก็ได้