ซย่าหันโม่ผ่านพ้นนาทีฉุกเฉินมาได้และอยู่ในอาการที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต อย่างไรก็ตามเธอยังไม่ฟื้นขึ้นมา ได้แต่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตร้ายแรง
ถังหนิงต้องนอนติดเตียง หลงเจี่ยกับหลินเฉี่ยนจึงมาเยี่ยมเธอ เมื่อได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พวกเธอก็ถอนหายใจออกมา “ประธานฟ่านคนนี้ล้ำเส้นนายใหญ่ไปซะแล้วนะคะ”
“แล้วซย่าหันโม่ตกลงมาจากโรงแรมได้ยังไง ฝีมือประธานฟ่านเหรอคะ”
ถังหนิงส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าเธอไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน
“พี่หนิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว เลิกถามเธอเถอะค่ะ ถ้าประธานโม่รู้เข้าฉันช่วยคุณไว้ไม่ได้นะคะ” หลินเฉี่ยนเอ่ยขัดขึ้นหลังจากที่เห็นหลงเจี่ยถามมากเกินไป “ปล่อยให้พี่หนิงพักผ่อนกันเถอะค่ะ”
ความจริงแล้วถังหนิงนึกถึงแต่ภาพซย่าหันโม่ที่จมกองเลือดขณะขอร้องให้ยกโทษให้
เธอจะให้อภัยอีกฝ่ายหรือ
เธอมาพูดถึงเรื่องยกโทษให้ได้อย่างไรกัน
หากถังหนิงไม่ปรานีมากเกินไปจนปล่อยให้ประธานฟ่านมีโอกาส พวกเธอคงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นในตอนนี้
“ตอนนี้ทุกคนพากันลือว่าซย่าหันโม่ถูกวางยาแล้วโดนผลักลงมาจากตึก สร้างความแตกตื่นให้คนที่เห็นเหตุการณ์มากเลยล่ะค่ะ”
“คุณยังพูดถึงเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอคะ” หลินเฉี่ยนพูดพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา
เมื่อหลินเฉี่ยนออกปากเตือน หลงเจี่ยก็พยักหน้ารับ “ฉันก็แค่สงสัยนิดหน่อยน่ะ แล้วประธานโม่จะจัดการกับเรื่องนี้ใช่ไหมคะ”
ถังหนิงพยักหน้า
“ประธานฟ่านนี่ชั่วจริงๆ ถ้าฉันเป็นคุณ คงไม่รู้ว่าจะตอบโต้ยังไงให้สาสม แต่ฉันมั่นใจว่านายใหญ่จะต้องมีวิธีทำให้เขาทุกข์ทรมานแน่ค่ะ”
เพื่อทำให้ใครสักคนทรมานใจ จะต้องรู้ให้ว่าเขารัก ต้องการ และให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากที่สุด
ประธานฟ่านรักลูกสาวของตัวเอง แต่เขาไม่ได้มีลูกสาวแค่คนเดียว คนสารเลวคนนี้มีภรรยาน้อยมากมาย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีลูกเยอะ
นอกจากอดีตภรรยาของเขา ผู้หญิงเหล่านี้ต่างเต็มใจที่จะอยู่กับเขา ทั้งที่รู้ว่าเขามีคนอื่นอีกก็ตาม
เช่นนั้นผู้ชายร้ายกาจคนนี้กลัวอะไรกัน
เขามีจุดอ่อนหนึ่งนั่นก็คือพี่สาวของเขา!
ในคืนที่เกิดเหตุการณ์เรื่องซย่าหันโม่ขึ้น ประธานฟ่านซ่อนตัวอยู่ในบ้านพี่สาวเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นข่าว แม้จะไม่มั่นใจว่าซย่าหันโม่จะตายหรือไม่ แต่สิ่งที่เขาทำลงไปก็ยังคงเป็นเรื่องที่เลวร้าย ในขณะที่ตำรวจยังคงไม่รู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้อง เขาจึงแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าต่อให้ซย่าหันโม่ฟื้นขึ้นมากล่าวหาเขา เขาก็เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว
เขาเพียงแค่สั่งสอนบทเรียนให้กับนักแสดงไม่มีหัวนอนปลายเท้าเท่านั้น ทุกคนจำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ
ไม่นานหลังจากนั้น ประธานฟ่านก็สอดส่องจู้ซิงมีเดียและไห่รุ่ย แต่พบว่าพวกเขายังไม่ได้ออกมาพูดอะไร เขาเหยียดยิ้มก่อนเอ่ย “ฉันบอกแล้วไงว่านังนั่นก็แค่ทำเป็นแข็งแกร่งไปอย่างนั้นแหละ แต่ข้างในเธอกลวงสนิทเลยล่ะ ยังไม่มีใครเชื่อฉันอีกหรือไง
“ฉันทำกับศิลปินของเธอถึงขนาดนี้ เธอก็ยังออกมาตอบโต้ไม่ได้เลย”
“น้องรอง นายจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้นะ นายมีคนในครอบครัวตั้งมากมาย เลือกสักคนแล้วไปหาพวกเขาซะสิ” พี่สาวประธานฟ่านบ่น
“พี่ครับ ตอนนี้ผมมีพี่คนเดียวเท่านั้นแหละ ปู่ก็เลือกเข้าข้างฝ่ายศัตรูแล้ว ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่จะไปที่ไหนได้อีกล่ะครับ”
“ก็ได้ ฉันรู้ว่านายเป็นคนยังไง คงไปก่อเรื่องใหญ่มาอีกแล้วสินะ”
พี่สาวของเขาเป็นคุณนายที่มีการศึกษา ยิ่งหลังจากที่เธอแต่งงานกับสามีที่เป็นผู้ถือหุ้นในไห่รุ่ยด้วยแล้ว แม้กระนั้นเธอก็รักน้องชายของเธอไม่น้อย
“พี่ครับผมช่วยพี่เขยแก้แค้นไว้นะ”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน พี่เขยของประธานฟ่านก็กลับมาถึงบ้าน เมื่อเห็นภรรยาของตัวเองกับประธานฟ่านกระซิบกระซาบกัน เขาเข้ามาหาด้วยความสงสัย
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว ทำไมคุณยังมัวเสียเวลาชีวิตไปกับเขาอีกล่ะ” เขาเอ่ยถามพี่สาวประธานฟ่าน
เธอนิ่งค้างไปด้วยตกที่นั่งลำบาก “เราเป็นพี่น้องกันนะคะ ถึงยังไงฉันก็ต้องคิดถึงเขาบ้างสิ”
“อะไรกัน พวกคุณวางแผนจะไปสักที่กันเหรอ” ประธานฟ่านถามขณะนั่งกินข้าวกับผักอยู่
“นี่น้องชาย จริงๆ แล้ว…ของที่นายบอกให้ฉันเก็บไว้ให้ ฉันเอาออกมาขายไปหมดแล้วล่ะ” พี่สาวของเขาตอบ เธอไม่ได้ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเขา แต่เธอต้องทำในท้ายที่สุด
“หมายความว่าอะไรกัน” ประธานฟ่านยังคงงุนงง
“นายไม่ได้พยายามฆ่าใครบางคนหรอกเหรอ ยังไงก็ใช้ของพวกนั้นในคุกไม่ได้อยู่แล้วนี่” เธอว่าพลางลุกขึ้นยืนอย่างผิดหวัง “ฉันถึงได้ขอให้ทางทนายความจัดการแล้ว”
“ไม่นะ พี่พูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ พี่ทำอะไรลงไป”
“เธอพูดถึงเรื่องอะไรน่ะเหรอ นายยังไม่เข้าใจอีกงั้นเหรอ พี่สาวของนายต้องการตีตัวออกหากจากฆาตกรยังไงล่ะ” พี่เขยของเขาตวาดลั่น
“เรียกใครว่าฆาตกรกัน” ประธานฟ่านคำรามในลำคอ “พี่เขยที่รัก อย่าลืมนะครับว่าเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
“ใครอยู่เรือเดียวกับนายไม่ทราบ” เขาดึงภรรยาของตัวเองมาอยู่ด้านหลังเพื่อปกป้องเธอ “ถ้าเป็นเรื่องของคนทรามๆ อย่างนาย พี่สาวของนายกับฉันจะหนีให้ห่างกับนายที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ”
“คราวนี้คุณพยายามจะกำจัดผมเพราะหมดประโยชน์แล้วงั้นสิ ไม่รู้หรือยังไงว่าผมดีกับพวกคุณแค่ไหน ทำอย่างนี้กับผมลงได้ยังไงกัน”
“อย่างนั้นก็อธิบายเรื่องของซย่าหันโม่มาสิ ประธานโม่ติดต่อฉันมาเพราะเรื่องนี้แล้ว นายจะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ผลักเธอตกจากตึกเหรอ”
เมื่อได้ยินคำพูดของพี่เขย ประธานฟ่านก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นทันที เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองสินะ
“โม่ถิงติดสินบนคุณเหรอ”
เขาไม่อยากเสียเวลากับประธานฟ่านอีกต่อไป จึงหันไปทางประตูและตะโกน “เข้ามาได้”
บอดีการ์ดไม่กี่คนก้าวเข้ามาในบ้านก่อนจับตัวประธานฟ่านเอาไว้ สวมถุงไว้บนศีรษะและใช้เชือกมัดเขาไว้ ก่อนจะแบกเขาขึ้นไปชั้นดาดฟ้าของบ้าน
“พวกแกจะทำอะไรน่ะ”
ไม่มีใครตอบเขาและเขาก็มองอะไรไม่เห็น รู้สึกได้เพียงลมเย็นจากด้านนอก
“พวกแก…”
ไม่ทันที่เขาจะได้พูดต่อ ประธานฟ่านก็ถูกผลักให้ตกลงมาจากชั้นดาดฟ้า เขามองไม่เห็นอะไร สัมผัสได้เพียงร่างกายที่ร่วงหล่นงลงมาและความเร็วที่มากขึ้นเมื่อใกล้ถึงพื้น
แม้ว่าบ้านสี่ชั้นจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็ยังน่าหวาดหวั่น
ในจังหวะที่เขาคิดว่าตัวเองจะตกลงไปกองกับพื้นและได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างเขาก็หยุดค้างไว้
ประธานฟ่านหวาดกลัวจนเหงื่อแตกพลั่กไปเกือบทั้งตัว…เมื่อเขาถูกดึงตัวขึ้นมา ทั้งร่างก็สั่นระริก
“พวก…พวกนายจะทำอะไร”
“เราแค่กำลังให้คุณลิ้มรสชาติที่ซย่าหันโม่เคยเจอครับ” หนึ่งในบอดีการ์ดเอ่ย จากนั้นจึงพาเขากลับไปที่ห้องอาหารและถอดถุงที่คลุมศีรษะเอาไว้ออก ในตอนนี้เองที่ร่างสูงได้ปรากฏสู่สายตา โม่ถิงนั่นเอง
ปกติแล้วโม่ถิงไม่ชอบสวมชุดสีดำที่ทำให้เขายิ่งน่ากลัว แต่วันนี้เขาตั้งใจใส่มาราวกับว่ากำลังเข้าร่วมงานศพของใครบางคน
“เป็นคุณนี่เอง โม่ถิง ช่างวางแผนดีนี่” ประธานฟ่านว่าเย้ยหยัน เขายังคงพยายามตั้งสติจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
ความรู้สึกสมจริงของความตายที่เกือบเข้ามาปรากฏตรงหน้า